ยุคสมัยนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นร้านอาหารญี่ปุ่นทยอยเปิดขึ้นใหม่ละลานตา เป็นการตอกย้ำได้เป็นอย่างดีว่าคนไทยกำลังให้ความสนใจกับอาหารญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากมีร้านอาหารญี่ปุ่นน้องใหม่เกิดขึ้นมาก ซึ่งส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในตัวเมืองเป็นหลักทำให้ต้องเสียเวลาเดินทางโดยใช่เหตุ แต่ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปเพราะร้าน “Freshii Sushi Bar” เปิดเอาใจคนชานเมืองที่หลงใหลในการทานอาหารญี่ปุ่น ให้ได้ลิ้มลองรสชาติอาหารญี่ปุ่นกันอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรถติดอีกต่อไป
“Freshii Sushi Bar” ตั้งอยู่ในโครงการ Beehive ชั้น 2 ฝั่งทางเข้าเมืองทองธานี (ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยสุโขทัย) เมื่อเปิดประตูเข้ามาคุณจะพบกับการตกแต่งแบบ modern ดูเรียบหรู แต่แฝงความอบอุ่นด้วยโทนสีไม้ อาหารญี่ปุ่นของที่นี่คัดสรรทั้งวัตถุดิบชั้นดีและใช้วิธีการปรุงอย่างละเมียดละไมทำให้ทุกเมนูมีแต่ความอร่อย ซึ่งวัตถุดิบต่างๆ ถูกส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น แบบวันต่อวัน โดยไม่ผ่านการแช่แข็ง ทำให้ปลามีคุณภาพเทียบเท่ากับญี่ปุ่น บวกกับฝีมือของเชฟที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการเคยเป็นผู้ช่วยเชฟ Masaharu Morimoto หรือที่รู้จักกันในนามเชฟกระทะเหล็กอาหารญี่ปุ่น ประเทศอเมริกา ทำให้ซูชิของทางร้านไม่ใช่แนวญี่ปุ่นแท้ ไม่ใช่ซูชิฟิวชั่น แต่เป็นซูชิร่วมสมัยที่นำความแปลกใหม่เข้ามาเล่นกับเมนู การผสมผสานความแปลกใหม่นี้เองทำให้ซูชิของทางร้านมีความพิเศษ เป็นเอกลักษณ์ และไม่เหมือนใคร
เริ่มต้นความอร่อย กับ “Baked Salmon” (ราคา 200 บาท) เพื่อไม่ให้มันจนเกินไปทางร้านจึงเลือกแต่ปลาแซลมอนส่วนระหว่างกลางท้องและหลัง ซึ่งเป็นส่วนที่ได้ทั้งความมันจากส่วนท้องนิด พร้อมด้วยความนุ่มชุ่มฉ่ำจากเนื้อปลา ราดด้วยซอสหวานสูตรเฉพาะของทางร้านแล้วจึงนำไปอบ ความร้อนจะเบิร์นตัวซอสให้แทรกซึมเข้าไปในเนื้อแซลมอน พร้อมส่งกลิ่นหอมไหม้นิดๆ ขึ้นมา ปิดท้ายด้วยการท๊อปเห็ดหอมหมักและไข่ปลาโทบิโกะสีแดงสด เมื่อทานเข้าด้วยกันจะได้ทั้งรสหวานมันเค็ม ผสมผสานกับกลิ่นหอมของเห็ดและ texture กรุบๆ ของไข่ปลาโทบิโกะ เป็นความอร่อยที่ลงตัวจนหยุดทานไม่ได้ !
ต่อด้วยอีกหนึ่งความอร่อยจนกลายเป็นเมนู Signature ของทางร้าน กับ “Michigan” (ราคา 650 บาท) โรลที่ด้านในอัดแน่นไปด้วย กุ้งเทมปุระ, ครีมชีส, อโวคาโด และปูอัด ด้านบนท๊อปด้วยปลา 2 ชนิด 2 รสชาติ ทั้ง ปลาแซลมอนและเอนงาวะนำมาเบิร์นนิดหน่อยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม เพิ่มรสจัดจ้านและกลมกล่อมอีกนิดด้วยวาซาบิเมโยซอสและอุนางิซอส (ซอสปลาไหล) โรยด้วยเกล็ดเทมปุระและไข่ปลาโทบิโกะเพื่อเพิ่มความสนุกในการทานมากยื่งขึ้น เป็นโรลที่ทานแล้วจะได้รสชาติหลายๆ รสชาติแย่งกันออกมาในคำเดียว ถือเป็นจุดเด่นที่ไม่ว่าใครทานแล้วก็ต้องหลงรัก
เสิร์ฟอย่างอลังการด้วยกุ้งล็อบสเตอร์สีแดงสดตัวใหญ่ “Maine Street” (ราคา 600 บาท)อีกหนึ่งโรลขวัญใจที่ใครมาก็เป็นอันต้องสั่ง ตัวโรลที่มีวัตถุดิบหรูอย่างกุ้งลอบเตอร์เป็นส่วนผสมหลัก เพิ่มความนุ่มละมุนด้วยอะโวคาโด สอดแทรกความเปรี้ยวสดชื่นของแอปเปิ้ล โรยด้วยเกล็ดเท็มปุระคั่น ทีเด็ดอยู่ที่ชีสเยิ้มๆ จากมอสซาเรลล่าชีสที่ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมพร้อมรสเค็มๆ มันๆ ได้เป็นอย่างดี ราดทับด้วยวาซาบิเมโยซอสและอุนางิซอส นอกจากนี้ยังมีไข่ปลาโทบิโกะและพริกแมกซิกันเพิ่มรสเผ็ดร้อนเล็กๆ ช่วยตัดเลี่ยนอีกด้วย
“Gindara Yaki” (ราคา 500 บาท)ปลาตระกูล Sea bass ชิ้นโตถูกนำมาย่างกับซอสสูตรพิเศษของทางร้าน จนได้กลิ่นหอมของตัวซอสออกมา เวลาทานจะได้รสสัมผัสเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ พร้อมรสชาติเค็มๆ มันๆ กลมกล่อมกำลังดี จะบีบเลมอนหรือจะจิ้มทานกับน้ำพริกเผาของญี่ปุ่นเพิ่มรสเผ็ดนิดหวานหน่อย ทานคู่กันได้รสชาติมากยิ่งขึ้น เสิร์ฟพร้อมฟรุ๊ดสลัดราดด้วยน้ำสลัด fruit dressing ออกรสหวานอมเปรี้ยว ก็อิ่มอร่อยอยู่ท้องได้อีกมื้อ
“Lamb Rack Yaki” (ราคา 600 บาท)ซี่โครงแกะนำมาย่างกับซอสที่ทางร้านคิดขึ้นมาเป็นพิเศษ โดยเคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่เทคนิคการใช้ไฟ ซึ่งทางร้านใช้ไฟอ่อนเพื่อไม่ให้ตัวเนื้อแกะไหม้และร้อนจนเกินไป นอกจากนี้ยังการใช้ไฟอ่อนยังทำให้เนื้อแกะมีสัมผัสที่นุ่มชุ่มลิ้น จนแทบละลายในปาก หรือหากอยากเพิ่มรสชาติก็หยดเลมอนไปสักนิดก็ช่วยตัดเลี่ยนได้เป็นอย่างดี เสิร์ฟพร้อมฟรุ๊ตสลัดทานคู่กันก็ได้รสชาติที่เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ
“Nabe Gindara” (ราคา 550 บาท) ต้มซุปสไตล์ญี่ปุ่นสำหรับคนรักสุขภาพ จุดเด่นอยู่ที่ทางร้านเลือกใช้แต่ปลาตามฤดูกาลจึงมั่นใจได้ว่าจะได้ทานเนื้อปลาที่สดใหม่ ยิ่งนำมาต้มกับน้ำซุปที่มีรสชาติหอมอมหวาน ความหวานของน้ำซุปจะเข้าไปแทรกซึมในเนื้อปลา ทำให้เนื้อปลาที่หวานอยู่แล้วมีความหวานกลมกล่อมขึ้นไปอีก ทานเคียงกับผักสดนานาชนิด อร่อยแถมยังได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ
“Ribeye Hoda Yaki” (ราคา 550 บาท) เนื้อริบอาย หรือ เนื้อส่วนที่ติดอยู่กับซี่โครง เป็นส่วนที่ขึ้นชื่อได้ว่ามีความอร่อยชุ่มฉ่ำเพราะมีไขมันแทรกอยู่เป็นจำนวนมาก เหมาะสำหรับนำมาย่างที่สุด ยิ่งราดซอสที่มีส่วนผสมของน้ำพริกเผาญี่ปุ่น แล้วย่างบนใบโฮดะ ได้รสชาติมันๆ พร้อมความเผ็ดๆ นิดๆ ตามด้วยกลิ่นหอมของใบโฮดะชูขึ้นมาเป็นเอกลักษณ์
ปิดท้ายด้วย “Sashimi Sumo Set” (ราคา 2,800 บาท) ทางร้านได้รวบรวมซาชิมิเกรดพรีเมี่ยมที่ถูกคัดสรรอย่างพิถีพิถันมาให้คุณลิ้มลองถึง 11 ชนิด ทั้ง O-toro, Chu-toro, Salmon, Hamachi, Madai, Kohada, Amaebi, Ikura, Shimaji, Hirame และ Uni ให้คุณได้ดื่มด่ำกับความหลากหลายของซาชิมิ เสิร์ฟมาบนน้ำแข็งเพื่อคงความสดเสมือนได้นั่งทานอยู่ที่แดนปลาดิบเลยทีเดียว
