
เบเกอรี่ยอดนิยมไม่ว่าจะเป็น มาการอง-มาการูน, เอแคลร์-ชูครีม, เบลเจียนวาฟเฟิล ล้วนเป็นขนมหวานที่ยังมีความสับสนในเรื่องของชื่ออยู่มาก ทั้งชื่อที่ออกเสียงคล้ายกัน รูปลักษณ์ขนมและรสชาติที่คล้ายกัน หรือแม้เข้าใจผิดเรื่องสัญชาติของขนม เอาสิ! เราเลยขอล้วงลึกถึงที่มาที่ไปของชื่อขนมหวานแต่ละชนิดแบบถึงลูกถึงคน เพื่อคลายความสับสนของมวลมนุษยชาติกัน!
มาการอง vs มาการูน

มาการอง เอ๊ะ! หรือ มาการูน เอ๊ะ! สรุปต้องเรียกยังไง?
ว่ากันด้วยเรื่องชื่อขนมสีสวยสุดฮิตที่ปีหลังๆ มานี้ได้เข้ามาสร้างสีสันในบ้านเรา ทำเอาสาวๆ ในยุคนี้หลายคนหลงรักรสชาติอันหอมหวานติดปลายลิ้น และสีสันสวยงามของขนมทรงกลมจากฝรั่งเศส อย่าง ‘มาการอง’ (Macaron) แต่ก็มีขนมหวานอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อคล้ายกันซะจนหลายคนเรียกชื่อผิด แต่รูปร่างหน้าตาและรสชาติไม่คล้ายนะจ๊ะขอบอก นั่นก็คือขนมที่มีชื่อว่า ‘มาการูน’ (Macaroon) อ่ะๆ อย่าเพิ่งงง เรามารู้จักที่มาที่ไปของขนมหวานทั้ง 2 ชนิดนี้กันดีกว่า
ชื่อของมาการองนั้น มาจากภาษาอิตาเลี่ยนคือคำว่า Maccarone (มัก-กะ-โร-เน่) ซึ่งแปลว่า ทุบ หรือ บด มีที่มาจากการเอาอัลมอนด์มาบดเพื่อทำเป็นขนมนั่นเอง แต่เนื่องจากต้นตำรับของมาการองอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส Macaron จึงสะกดตามภาษาฝรั่งเศส เขียนเป็นคำอ่านในภาษาไทยได้ว่า มา-กา-ฆง โดยตัวอักษรตัว ฆ ระฆัง จะใช้แทนเสียงที่อยู่ระหว่าง ค ควาย กับ ฮ นกฮูก ซึ่งเสียงจะหนักกว่าค ควาย และมีเสียงลมในลำคอคล้ายกับการเปล่งเสียง ฮ นกฮูก
มาการองเป็นขนมที่ทำจากไข่ขาว อัลมอนด์บดละเอียด และน้ำตาล ทำเป็นทรงโดมครึ่งวงกลม แต่งสีแต่งกลิ่นได้หลากหลาย แล้วนำไปอบ สอดไส้ด้วย ครีมเนยสด ช็อกโกแลต หรือแยมรสชาติต่างๆ เรียกว่า กานาช (Ganache)
สำหรับประวัติของมาการองนั้นมีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมัยนั้นข้าวยากหมากแพง เนื้อสัตว์ไม่ค่อยมีให้รับประทาน เหล่าแม่ชีชาวอิตาเลียนที่อพยพมายังประเทศฝรั่งเศสจึงดำรงชีพอยู่ด้วยอัลมอนด์ เพราะมีคุณค่าทางอาหารไม่แพ้เนื้อสัตว์ โดยนำมาประกอบเป็นอาหารหรือขนมหลายประเภท ซึ่งภายหลังมาการองก็กลายเป็นขนมหวานที่ชาวฝรั่งเศสชื่นชอบมาจนถึงปัจจุบัน

มาการูน
ส่วน ‘มาการูน’ (Macaroon) นั้น เป็นขนมหวานที่ชาวอเมริกันนั้นดัดแปลงมาจากมาการองของประเทศฝรั่งเศส โดยใช้ มะพร้าวป่น แทนอัลมอนด์บด มาผสมกับไข่ขาวแล้วนำไปอบ เมื่อทำเสร็จแล้วหน้าตาจะออกมาคล้ายกับคุกกี้ หรือขนมบ้าบิ่นบ้านเรา เป็นขนมที่พบได้ทั่วทั้งทวีปอเมริกา บางแห่งก็นิยมตกแต่งขนมด้วยเชอร์รี่เชื่อมลูกเล็กๆ บางแห่งก็นิยมเคลือบช็อกโกแลต เนื่องจากสูตรที่นิยมของมาการูนทำจากมะพร้าว จึงมักเรียกพ่วงกันเป็น โคโค่นัท มาการูน (Coconut Macaroon) นั่นเอง
แต่ในศตวรรษที่ 20 ขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศสก็เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในอเมริกามากขึ้น มาการูนจึงได้รับความนิยมน้อยลง รวมถึงมะพร้าวมีราคาแพงและค่อนข้างหายาก ร้านขนมต่างๆ จึงหันมาใช้อัลมอนด์บดเหมือนกับมาการอง จึงเป็นที่มาของความสับสนของชื่อขนมหวาน 2 ชนิดนี้
เอแคลร์ vs ชูครีม

เอแคลร์
เอแคลร์ของแท้ต้องรีๆ ยาวๆ เจ้าลูกกลมๆ ที่นิยมกันมาแต่เล็กแต่น้อยมันคือ ชูครีม!
สำหรับ ‘เอแคลร์’ ขนมหวานชื่อติดหูมาตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ เชื่อว่าทุกวันนี้หลายคนก็ยังคิดว่ามันคือขนมก้อนกลม ข้างในสอดไส้ครีม ไส้ช็อกโกแลต ฯลฯ ที่เห็นวางขายกันตามท้องตลาด อยากจะบอกว่าเราเรียกผิดกันมาเป็นร้อยปี!
ย้อนไปเมื่อประมาณ พ.ศ. 2443 ได้มีชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาเมืองไทย และได้นำขนม 2 ชนิดซึ่งก็คือ เอแคลร์ (Éclair) และ ชู อา ลา เครม์ (Choux à la crème) มารับประทาน แล้วก็ได้ทดลองทำในเมืองไทย แต่ขณะที่ทำขนมทั้งสองชนิดอยู่นั้นมีสาวชาวไทย เข้าไปช่วยทำและถามชื่อขนมว่าคืออะไร ก็ได้รับคำตอบว่านี่คือ ชู อา ลา เครม์ กับ เอแคลร์ ซึ่งชื่อ ชู อา ลา เครม์ เรียกยากมาก จึงไม่นิยม คนไทยจึงเรียกชื่อขนมทั้ง 2 ชนิดรวมเป็นชื่อเดียวกันคือ ‘เอแคลร์’ จนมาถึงปัจจุบัน
ซึ่งรูปทรงของเอแคลร์นั้นจริงๆ แล้วจะเป็นทรงยาวๆ รีๆ บางครั้งมีการราดช็อกโกแลตด้านบน และในแบบดั้งเดิมนั้น จะราดด้วยฟงดองท์ (Fondant) ส่วนที่ได้ชื่อว่าเอแคลร์นั้น ก็น่าจะมาจากความอร่อยของขนม ที่เอาใส่ปากแล้วกินได้หมดอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าแลบ ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสนั้น Éclair แปลว่า ฟ้าแลบ นั่นเอง

ชูครีม
ส่วนชูครีม (Choux Cream) อย่างที่บอกไปว่าชื่อเต็มๆ ของมันคือ ชู อา ลา เครม์ (Choux à la crème) โดยแรกเริ่มเดิมทีนั้น ได้มีการเรียกแป้งที่ทำชูครีมว่า Pâte à Chaud แต่ภายหลังนิยมเปลี่ยนมาเรียกเจ้าแป้งนี้กันว่า Pâte à Choux สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากรูปร่างหยักๆ ของขนม ที่คล้ายกับหัวของกะหล่ำปลีนั่นเอง ซึ่งคำว่า ชู (Choux) ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่ากะหล่ำปลี แต่ปัจจุบันจะให้เรียกชื่อขนมว่า ชู อา ลา เครม์ ก็จะดูยาวเกินไป ชาวต่างประเทศเองจึงนิยมเรียกให้สั้นลง และง่ายต่อการออกเสียงเป็น ‘ชูครีม’
แต่ชูครีมเมื่อไปอยู่ในบางประเทศอย่างอังกฤษ ก็มีชื่อเก๋ไก๋ว่า ครีมพัฟ (Cream puff) ที่แปลว่าขนมสอดไส้ครีม ซึ่งหน้าตาก็จะออกกลมๆ มีหยักมากน้อยก็ตามแต่ บางที่ก็อาจเรียกเจ้าชูครีมนี้ว่า โปรฟิเทอร์โรล (Profiterole) นั่น! งงไปอีก แต่ส่วนใหญ่โปรฟิเทอร์โรลที่หน้าตาเหมือนชูครีมเปี๊ยบนั้น มักจะเปลี่ยนเป็นการสอดไส้ด้วยไอศกรีม แล้วราดด้วยซอสช็อกโกแลตอีกที

โปรฟิเทอร์โรล
กล่าวโดยสรุปคือจริงแล้วๆ เอแคลร์กับชูครีมแตกต่างกันที่รูปร่างภายนอก แต่แป้งและครีมข้างในจะคล้ายๆ กัน ซึ่งขนมหวานทั้ง 2 อย่างสามารถใช้สูตรแทนกันได้ค่ะ
เบลเจียน วาฟเฟิล

เบลเจียนวาฟเฟิล
เบลเจียนวาฟเฟิล ไม่ได้มาจากประเทศเบลเยี่ยมนะจ๊ะ!
เชื่อว่าหลายคนที่ได้ยินชื่อ ‘เบลเจียนวาฟเฟิล’ จะต้องเชื่อไว้ก่อนว่าต้องเป็นขนมหวานสัญชาติเบลเยี่ยมแน่ๆ ซึ่งมันถูกแค่ครึ่งเดียว เนื่องจากคนที่ทำวาฟเฟิลคนแรกเป็นชาวเบลเยี่ยม นามว่า Maurice Vermersch แต่เขาได้ผลิตเบลเจียนวาฟเฟิลนี้ขึ้นในสหรัฐอเมริกา และกลายเป็นเมนูขนมหวานยอดนิยมของชาวอเมริกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
โดยชาวอเมริกันนิยมรับประทานเบลเจียนวาฟเฟิลเป็นอาหารเช้า ท้อปปิ้งด้วยวิปปิ้งครีม, น้ำตาลไอซิ่ง, ผลไม้และช็อคโกแลต น้ำเชื่อมไซรัป และเนยหรือมาการีน บางครั้งเสิร์ฟพร้อมกับไอศครีมวานิลลาและผลไม้สด เป็นขนมหวานแสนอร่อย
ซึ่งในตอนแรกชื่อของวาฟเฟิลนี้คือ เบล-เจมวาฟเฟิล (Bel-Gem Waffle) เนื่องจากผู้ผลิตได้ใช้วัตถุดิบที่คล้ายกันกับ บรัสเซลส์วาฟเฟิล (Brussels waffle) วาฟเฟิลที่เป็นที่นิยมในประเทศเบลเยี่ยมบ้านเกิด โดยเบลเจียนวาฟเฟิลไซส์มาตรฐานจะเป็นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ แป้งเบา จึงจะมีความกรอบกว่าวาฟเฟิลธรรมดา เนื่องจากเบลเจียนวาฟเฟิลแบบดั้งเดิมจะใช้ยีสต์แทนผงฟู แต่เบลเจียนวาฟเฟิลสมัยใหม่มักจะใช้ผงฟูเป็นส่วนประกอบ

เบลเจียนวาฟเฟิลไม่ได้มาจากประเทศเบลเยี่ยมนะจ๊ะ
แต่ก็ไม่วายที่ชาวมะกันและชนชาติอื่นๆ เข้าใจว่าเบลเจียนวาฟเฟิลนั้น เป็นขนมหวานสัญชาติเบลเยี่ยม ที่นี้พอเข้าใจว่ามาจากเบลเยี่ยม ก็เรียกเพี้ยนเป็น ‘เบลเจียม’ (Belgium) ตามชื่อประเทศกันไปหมด ทีนี้คนไทยก็เลยเรียกตามสำเนียงไทยกลายเป็น ‘เบลเยี่ยมวาฟเฟิล’ เลยก็มี เรียกได้ว่าเป็นการเข้าใจผิดกันระดับนานาชาติเลยทีเดียว!

เปรียบเทียบเบลเจียนวาฟเฟิล กับ วาฟเฟิลธรรมดา ให้เห็นหน้าตากันจะจะ!
เป็นไงกันบ้างกับเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยของที่มาที่ไปเรื่องชื่อเบเกอรี่ยอดนิยมชนิดต่างๆ ทั้งมาการอง-มาการูน, เอแคลร์-ชูครีม และ เบลเจียนวาฟเฟิล หวังว่าจะช่วยคลายความสับสนสงสัยให้กับทุกคนแล้วนะจ๊ะ จากนี้ไปก็อย่าไปเผลอเรียกชื่อขนมเหล่านี้ผิดอีกล่ะ เห็นใครเรียกชื่อผิดก็บอกเค้าไปเลย นี่! ดูดีมีความรู้มากๆ ว่าแล้วขอออกไปหาขนมหวานมาเพิ่มน้ำตาลในเลือดก่อนนะ เห็นรูปแล้วน้ำลายไหลอ่ะ!
--- ชี้แจงเรื่องการปรับแก้ข้อมูล ณ วันที่ 18 กรกฎาคม 2557 โดยทีมงานวงใน ---
สวัสดีค่ะทุกท่าน ^^
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านและร่วมแสดงคิดเห็นในรีวิว "คุณรู้จักมาการอง เอแคลร์ เบลเจียนวาฟเฟิล ดีแค่ไหน? รู้หรือไม่? เรายังเรียกผิดกันอยู่!" นี้นะคะ ทีมงานไม่ได้นิ่งนอนใจและได้ทำการตรวจสอบเพื่อเพิ่มเติมเรื่องข้อมูลขนมตามที่ได้รับทักท้วงมา และได้ดำเนินการแก้ไขเพื่อให้ถูกต้องโดยมีข้อชี้แจงดังนี้ค่ะ
1.จุดประสงค์ของทางทีมงาน ต้องการสื่อแค่ประเด็นความเข้าใจผิดในการเรียกชื่อขนมแต่ละชนิดเท่านั้น แต่ในส่วนของข้อมูลที่มีการท้วงติงมา ทางทีมงานก็ขอน้อมรับความผิดที่ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนค่ะ เมื่อทราบจึงได้รีบแก้ไขในทันที
2.ทางทีมงานไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ จากการเขียนบทความนี้ค่ะ เพียงแค่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลตามจุดประสงค์ในข้อ 1.
3.เรื่องการใช้ภาษาคำว่า "มั่กๆ" ทางทีมงานทราบดีค่ะว่าเป็นการเขียนที่ผิดหลักการสะกดภาษาไทย แต่เจตนาที่ใช้ภาษาพูดคำว่า "มั่กๆ" แทนที่จะเป็น "มากๆ" เพียงเพื่อต้องการให้ผู้อ่านรู้สึกถึงความเป็นกันเอง เหมือนเพื่อนกับเพื่อนมาเล่าสู่กันฟัง แต่หากกังวลใจว่าจะเป็นตัวอย่างการใช้ภาษาที่ไม่ถูก ทางเราจึงได้ทำการแก้ไขแล้วค่ะ
ข้อมูลที่ได้ทำการแก้ไขแล้วสรุปได้ดังนี้ค่ะ
-เรื่องการออกเสียงชื่อขนมมาการอง
-เรื่องความหมายของขนมเอแคลร์
-เรื่องความหมายของชื่อขนมชูครีม
-เรื่องการใช้ภาษา "มั่กๆ" แก้ไขเป็น "มากๆ"
ทั้งนี้ทีมงานขออภัยในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อการปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^^
-ทีมงานวงใน


