
เนื่องจากการดัด ยืด หรือทำสีผมนั้น น้ำยาเคมีต่างๆ จะมากระทบกับเส้นผมเราโดยตรง เพราะต้องใช้น้ำยาเคมีมาเป็นตัวช่วยในกระบวนการต่างๆ ผมของเราจึง #โดนทำร้ายหนักมาก

แล้วจะทำอย่างไรดีหนอที่จะทำให้ผมกลับมาสวย ไม่แห้งเสีย ดูดี มีประกายเงางาม

แต่จะให้ไปทำทรีทเม้นท์ผมตามร้านหรูๆ ก็สู้ราคาไม่ไหว สาวยุคใหม่วัย(จำเป็นต้อง)ประหยัดอย่างเรา แค่หาวัตถุดิบเหล่านี้ที่หาซื้อได้ง่าย มาทำทรีทเม้นท์หมักผมด้วยดัวเอง แค่นี้ผมก็สวยล้าวววว มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง...

อัลมอนด์

ฟังอาจจะดูไฮโซ แต่เชื่อว่าหลายๆ บ้านน่าจะมีอัลมอนด์ติดครัวอยู่แล้ว ซึ่งการรับประทานอัลมอนด์เป็นประจำนั้น จะช่วยบำรุงเส้นผมจากภายในสู่ภายนอกได้เป็นอย่างดี (หมายถึงอัลมอนด์อบ ไม่ใช่อัลมอนด์เคลือบช็อกโกแลตนะจ๊ะเด็กๆ)
แต่ไม่ได้จะให้เอาเม็ดอัลมอนด์มาหมักผมหรอกนะ ที่จะแนะนำก็คือ น้ำมันอัลมอนด์ ต่างหาก หาซื้อไม่ยากเลยค่ะ ตามเชลฟ์ที่วางขายน้ำมันมะกอกก็มีจ้ะ
เพราะอัลมอนด์เป็นพืชที่มีน้ำมันธรรมชาติ อุดมไปด้วยวิตามินอี และวิตามินดี ที่มีคุณสมบัติที่ช่วยในการบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะให้มีสุขภาพดีและเงางาม
สูตรนี้จะช่วยแก้ปัญหาของผู้ที่มีเส้นผมแห้งเสียอย่างรุนแรง และเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพจะต้องมีตัวช่วยอย่างน้ำผึ้ง และกล้วยหอมมาร่วมด้วย



วิธีทำ
นำน้ำมันอัลมอนด์ 3-4 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงในถ้วย
ใส่น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ และกล้วยหอมหั่นเป็นชิ้นๆ ประมาณครึ่งลูก
ใช้ช้อนบดกล้วยให้ละเอียด แล้วคนให้ส่วนผสมเป็นเนื้อเดียวกัน
เสร็จแล้ว เอามาหมักผมทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง แล้วจึงล้างออก
กล้วย

เมื่อกี๊กล้วยเป็นตัวช่วยของอัลมอนด์ไปแล้ว คราวนี้ถึงตาเป็นพระเอกบ้าง
ดังที่รู้ๆ กันว่ากล้วยไม่เพียงแต่เป็นผลไม้ที่รับประทานเพื่อสุขภาพเท่านั้น ยังถือเป็นผลไม้เพื่อความงาม ไม่น้อยไปกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ เลยทีเดียว
โดยเฉพาะสาวๆ ที่มีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเส้นผม ก็สามารถนำกล้วยมาใช้ในการหมักผมได้เช่นเดียวกัน นอกจากจะมีราคาถูกแล้ว ยังปลอดภัยและหาซื้อได้ง่ายมากอีกด้วย
ซึ่งสูตรนี้เหมาะมากกก กับสาวๆ ที่ชอบทำสีผม ดัด ยืด รวมถึงโดนความร้อนบ่อยๆ เพราะจะช่วยฟื้นฟูผมให้กลับมาแข็งแรง และมีน้ำหนัก


วิธีทำ
นำกล้วยหอมครึ่งลูกถึง 1 ลูก (ขึ้นอยู่กับความยาว และความหนาของเส้นผม) ใส่ลงในถ้วย
นำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น 2-3 ช้อนโต๊ะ หรือกะปริมาณให้พอดีกับกล้วยที่ใช้ กวนให้เข้ากันแล้วพักไว้
สระผมให้สะอาด เช็ดผมให้พอหมาด แล้วนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ เอามานวดให้ทั่วเส้นผม และหนังศีรษะ
หมักทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาทีค่อยล้างออก แล้วเช็ดผมให้แห้งสนิท
มันฝรั่ง

มันฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุมากมาย การนำน้ำที่คั้นจากมันฝรั่งสดมาหมักผม จะช่วยให้ผมแห้ง กระด้าง ชี้ฟู กลับมาเงางาม ดูสุขภาพดีขึ้น และมีชีวิตชีวาอีกครั้ง


วิธีทำ
นำน้ำมันฝรั่งคั้นสดผสมกับว่านหางจระเข้ โดยกะปริมาณให้เหมาะสมกับความยาวของผม แล้วใช้หมักเส้นผม ก่อนทำการสระหรือล้างออก
โยเกิร์ต

โยเกิร์ตธรรมชาติจะช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง โดยเฉพาะสาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องผมแตกปลายและแห้งเสียอย่างหนัก โยเกิร์ตช่วยสาวๆ ได้แน่นอนจ้า


วิธีทำ
นำโยเกิร์ต 5 ช้อนโต๊ะ และไข่แดง 1 ฟอง ผสมเข้าด้วยกัน
นำส่วนผสมที่ได้มาหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที โดยใช้หมวกคลุมผมคลุมผมให้เรียบร้อย
(ถ้าใครผมเสียมากให้หมักผมเพิ่มอีก 10 นาทีก็จะดีค่ะ)แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ผงฟู

ใช่แล้ว! ผงฟูที่เราใช้ทำขนมนี่แหละค่ะ นำมาผสมกับแชมพูสำหรับผมทำสี จะช่วยฟื้นฟูผมที่โดนทำร้ายได้เป็นอย่างดี


วิธีทำ
ผสมผงฟู 1 ช้อนชา กับแชมพู 1 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน
ล้างผมให้สะอาดด้วยน้ำเปล่าจนเปียกชุ่ม
ชโลมส่วนผสมที่ทำไว้ลงบนผมจนทั่วศีรษะ ปล่อยทิ้งไว้จนกระทั่งเกิดฟอง
จากนั้นใช้น้ำสะอาดล้างออก แล้วจึงใช้แชมพูสระผมตามปกติ
เบกกิ้งโซดา

เหมาะสำหรับสำหรับผมที่มีสารเคมีตกค้าง เพราะเบคกิ้งโซดาจะช่วยยับยั้งความเป็นกรดของผมที่โดนทำร้ายจากน้ำยาเคมี
วิธีทำ
ผสมเบคกิ้งโซดา 1-2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำเล็กน้อย
นวดลงบนเส้นผมเปียกหมาดๆ ทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วสระผมด้วยแชมพูปกติ โดยสูตรนี้ควรทำทุก 2 สัปดาห์เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดี
เป็นไงบ้างกับสูตรทรีทเม้นท์หมักผมจากวัตถุดิบที่หาง๊ายง่าย ที่วงในบิวตี้นำมาฝากในวันนี้ สาวๆ ลองไปทำกันดู แล้วจะรู้ว่าผมสวยด้วยตัวเองนั้น ทำได้ไม่ยากเลยค่ะ เอ้า...สะบัดผม!!!!

เรียบเรียงโดย Miss Beauty
ภาพประกอบจาก : www.pinterest.com
ส่วนสาวคนไหนที่ขี้เกียจหมักผมเอง ลองไปทำทรีทเม้นท์ตามซาลอนเก๋ๆ เหล่านี้ดูค่ะลูก...
The Element Lifestyle Salon

ซาลอนสุดชิคย่านเอกมัย ที่นี่เขามีโปรแกรมทรีทเม้นท์ผมด้วยผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยมแบรนด์ AVEDA ด้วยนะ ถ้าอยากทำทรงอื่นที่นี่เขามีสไตลิสต์ผมคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเลยล่ะ
Libertish Salon Cafe

บูทีคซาลอนแห่ง RCA ซึ่งมีโปรแกรมทำทรีทเม้นท์สูตรลับเฉพาะของทางร้าน แถมตอนนี้ยังมีโปรโมชั่นลดราคากับทางวงในบิวตี้อยู่ด้วยนะเธอ แต่อย่าลืมโทรไปจองคิวก่อนล่ะ!