#วงในบอกมา
- It's "Happened To Be" a Closet เปิดมาแล้วกว่า 17 ปี เดินทางมาตั้งแต่ สยาม ถนนข้าวสาร เอ็มโพเรียม ก่อนจะมาลงตัวอยู่ ณ บ้านสองชั้นในซอยสุขุมวิท 23 เป็นร้านอาหารอิตาเลียนคลาสสิกที่ให้คนกินสนุกกับการจับคู่วัตถุดิบเข้ากับเมนูโปรด และหากเมนูไหนจับคู่ได้ลงตัวจริง ๆ ก็จะเพิ่มไว้ในลิสต์เมนูของทางร้านด้วยเลย
- นอกจากเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ และขายเสื้อผ้าดีไซน์เก๋แล้ว ยังมีการจัดเวิร์กช็อปกิจกรรมต่าง ๆ หมุนเวียนกันทุกอาทิตย์ เป็นอีกแหล่งคอมมูนิตี้ขนาดย่อมรอให้ทุกคนได้มาใช้เวลาร่วมกัน
- เมนูซิกเนเจอร์ของที่ร้าน คือ "Nero Spaghetti Black Ink Seafood" สปาเกตตีซอสหมึกดำ พิถีพิถันตั้งแต่การเลือกใช้ดีหมึกจากปลาหมึกพันธุ์ดีสด ๆ เคี่ยวหลายชั่วโมง กรองแล้วกรองอีก ออกมาเป็นซอสหมึกดำเข้มข้นสูตรเฉพาะของทางร้าน
มีคนบอกว่า “เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริง” กุ๋ยคิดทบทวนคำกล่าวนี้ในหัว ขณะสองเท้าก้าวผ่านรั้วสีดำเข้ามา ปรากฏเห็นเป็นบ้านสองชั้นในสวนสวยใจกลางย่านสุขุมวิทตึกระฟ้าเช่นนี้ เมื่อผลักประตูเข้าไปก็ต้องหยุดให้กับภาพตรงหน้า...ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าอลิซรู้สึกยังไงตอนโผล่ออกมาจากอุโมงค์กาลเวลา
ไม่ต้องพยายามหาคำจำกัดความใด ๆ ให้กับ It's "Happened To Be" a Closet ด้วยระยะเวลาการเดินทางของร้านกว่า 17 ปี ที่นี่จึงเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ของคนชอบสะสมความทรงจำ ทั้งการตกแต่งด้วยของสารพัดของกระจุกกระจิกจากทั่วทุกมุมโลก วอลล์เปเปอร์ลายสัตว์สีฉูดฉาด ไปจนถึงพื้นกระเบื้องสีดำขาวปูสลับกัน ทุกรายละเอียดผสมผสานกันได้อย่างลงตัว อดใจไม่ไหวอยากทำความรู้จักร้านให้มากกว่าแค่ตาเห็น ก็ขอสำรวจเมนูก่อนให้ปากและท้องออกเดินทางกันสักหน่อย
เริ่มด้วยจาน Starter เปิดต่อมรับรสกระตุ้นความอยากอาหารกับ Parmaham Melon (590 บาท) พาร์มาแฮมชิ้นใหญ่โปะบนเมลอนชุ่มฉ่ำ พาร์มาแฮมคือการถนอมอาหารของชาวอิตาลี และเป็นหนึ่งใน Salumi ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยกลิ่นหอมเฉพาะตัว และรสชาติเค็มแต่ติดหวานเล็ก ๆ ที่ปลายลิ้น จึงเข้ากันได้ดีอย่างเหลือเชื่อกับผลไม้หวานฉ่ำชื่นใจเช่นนี้
และหากเปรียบ "Orange Mandarin Salad, Whiskey Malt Cheese and Anchovy" (790 บาท) เป็นการผสมสี ความสดชื่นของส้มแมนดารินเปล่งประกายสีส้มสดใส ขณะเดียวกันความเค็มปร่าของแอนโชวี ก็คือสีที่คอยเติมแต่งให้สีส้มนั้นละมุนขึ้นเรื่อย ๆ จุดเด่นของจานอย่าง Whisky Malt Cheese ไม่ขอแสดงตัวออกมาอย่างประเจิดประเจ้อ หากถูกหั่นอย่างพอดีคำรอการค้นพบความหอมของมอลต์ ไม่บ่อยนักที่กุ๋ยจะสนุกกับการผสมกันของรสธรรมชาติวัตถุดิบในปาก หลับตาพริ้มเห็นเป็นภาพสีสันสดใสราวกับผลงานของจิตรกรชั้นเยี่ยม จนลืมไปแล้วว่ากำลังกินผักอยู่ ทุกอย่างในจานล้วนถูกจัดองค์ประกอบทางรสชาติออกมาได้อย่างลงตัว
“Nero Spaghetti Black Ink Seafood” (590 บาท) แค่เห็นพรีเซนเทชัน ก็ขอยกนิ้วชื่นชมความกล้าในการจับคู่สีดำของอาหาร กับจานกระเบื้องสีแดงสดใส เคล็ดลับของจานซิกเนเจอร์นี้อยู่ที่ การปรุงซอส Black Ink จากดีหมึกคุณภาพ เส้นสปาเกตตีซึมซับรสละมุนของซอสหมึกดำได้อย่างครบถ้วน ความมืดสนิทที่ปกคลุมซีฟู้ดทุกชิ้น ถือเป็นความสนุกอย่างหนึ่งให้คนกินได้เสี่ยงดวงสุ่มจิ้มว่าจะได้ กุ้ง หมึก หรือหอย กลิ่นหอมของเบซิล และความเผ็ดลิ้นเล็ก ๆ พอให้คึกคัก คอยเชียร์ให้หมุนส้อมลงไปแหวกว่ายในมหาสมุทรสีดำสนิทเช่นนี้จนหมดจาน
“Pappardelle French Blue mussels Arrabbiata” (950 บาท) คงไม่มีอะไรโอบอุ้มรสชาติมะเขือเทศแล้วทำให้แตกซ่านในปากได้ดีเท่ากับ เส้นสดทำเองนุ่มหนึบหนับอย่างเส้น Pappardelle ยิ่งได้ Cherry tomato สด ๆ ฉ่ำ หวาน ผ่านความร้อนด้วยการผัดจนผิวนอกเปื่อยยุ่ย เนื้อใน juicy แต่ไม่เละ เพิ่มไอเท็มลับอย่างหอยแมลงภู่จากฝรั่งเศสไซส์กำลังกิน เนื้อนุ่มหนึบลิ้น ได้กลิ่นทะเลแผ่ออกมาทุกคำที่เคี้ยว เท่านี้ก็รู้ซึ้งแล้วว่านิพพานในปากมันเป็นอย่างไร
ไม่ค่อยแน่ใจในพิซซ่าตรงหน้ามากเท่าไหร่ ขณะสองมือค่อย ๆ หยิบยก “Homemade Pizza Margaritta” (590 บาท) พิซซ่าแป้งบางกรอบตรงหน้าใส่จานตัวเอง ด้วยส่วนประกอบหลักเพียง แป้ง, ซอสมะเขือเทศ และ ชีส แทรกด้วยเบซิลพอให้ได้สีและกลิ่น ทว่าคำแรกที่กัดก็ต้องบอกลาทุกความคิดก่อนหน้า ซอสมะเชือเทศปรุงรสและเคี่ยวมาได้เข้มข้นถึงใจ ยิ่งมีชิ้นมะเขือเทศหันแว่นหนากำลังพอดี ความบางกรอบของแป้งพิซซ่าโอบอุ้มทุกรสชาติวัตถุดิบไว้อย่างครบครัน ท็อปด้วยออริกาโนพอให้หอมเตะจมูก เรียกได้ว่า Simply is the best. ที่แท้จริง
มาถึงจานหลักขอออกตัวไว้ก่อนว่าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้เนื้อแกะ ด้วยเทกซ์เจอร์ที่ค่อนข้างหยาบ และกลิ่นเฉพาะตัวที่ไม่เคยเข้าใจ ทำให้ขยาดทุกครั้งหากเพื่อนร่วมโต๊ะตัดสินใจสั่งเมนูนี้ แต่หากนี่คือการเดินทาง การเปิดใจอาจคือสิ่งสำคัญในการหลงลืมตัวเองในอดีต แล้วปล่อยปัจจุบันให้ไหลไปสภาวะตรงหน้า “Lamb rack with Black salt and Risotto” (970 บาท)
ซี่โครงแกะหมักซอสไวน์แดง โรสแมรี และไทม์ ย่างผ่านความร้อนด้วยอุณหภูมิและเวลาอันเหมาะสม เพียงแค่จรดปลายมีดออกแรงพอให้รู้สึกถึงความพยายาม เนื้อแกะชิ้นพอดีคำอวดเนื้อในสีชมพูสวย จิ้มเกลือสีดำเล็กน้อย ให้ความเค็มของเกลือดึงรสชาติเฉพาะตัวของเนื้อแกะออกมาให้มากที่สุด อืมมม..นุ่ม กลิ่นแกะที่เคยคิดว่าไม่เข้าใจ กลับกลายเป็นความหอมเฉพาะตัวเชื้อเชิญให้กุ๋ยอยากทำความรู้จักกับมันให้มากขึ้น คำเดียวไม่พอแล้วแหละแบบนี้ :)
อีกหนึ่งจานหลักหนักท้องสำหรับคนรักเนื้อ “St.Helen tenderloin 250 g. with Black Salt” (1,950 บาท) แค่ชื่อก็บอกเลยว่าประทานมาจากสรวงสวรรค์แน่นอน อาจจะเวอร์ไปหน่อย แต่เนื้อสัน St. Helen วัวสายพันธุ์ดีจากอเมริกา ความสุข เอ้ย สุก! ระดับ medium rare แบบนี้ เหมาะสำหรับคนชอบเนื้อนุ่ม ๆ ไม่ต้องออกแรงเคี้ยวมาก ย่ิงได้กินคู่กับซอสเกรวีมัชรูมพริกไทยดำ กลิ่นหอมของพริกไทยช่วยดึงกลิ่นเนื้อให้เด่นชัดขึ้นหรือจะเลือกจิ้มเกลือสีดำพอกรุบกริบ ให้ความเค็มกลมกล่อมแบบฉบับเกลือธรรมชาติ สอดประสานไปกับรสชาติของเนื้อ เป็นอะไรที่เข้ากันดีกับที่หัวใจบอกไว้จริง ๆ
เดินทางกันมาจนพุงเริ่มจะปริ แต่ยังมีอีกหลายความสนุกยังรอส้อมและมีดในมือไปค้นพบ ตามแบบฉบับอิตาเลียนคลาสสิก ที่ไม่หยุดนิ่งตามกาลเวลา หากยังเคลื่อนไหวไหลไปตามรสนิยมของเหล่านักเดินทาง แต่ตอนนี้กุ๋ยขอนั่งนิ่ง ๆ (เพราะอิ่มมากก..) ซึมซับทุกดีเทลทั้งรสชาติและบรรยากาศ ก่อนถึงเวลาจ่ายเงิน ขออนุญาตปาดเหงื่อเบา ๆ ก็ทุกจานมาแบบใหญ่เบิ้ม จัดเต็มถึงเครื่องขนาดนี้ โชคดีจริง ๆ ที่ร้านเขาเดินทางไวเท่าสังคมยุค 4.0 สามารถชำระเงินผ่าน QR Code แม่มณี เป็นอีกหนึ่งมื้อพิเศษถูกใจคนไม่ชอบพกเงินสดเป็นที่สุด
ก่อนกลับกุ๋ยย้อนถามตัวเองอีกรอบที่ว่า “เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริง” จริงเท็จแค่ไหน? เพราะทุกองค์ประกอบและทุกกระบวนการปรุงอาหาร ไม่มีอะไรที่เรียกว่าบังเอิญ ทุกอย่างล้วนผ่านการคิดมาอย่างถี่ถ้วนตั้งแต่คอนเซปต์ไปจนถึงการเลือกลายบนจานจัดเสิร์ฟ แต่ที่เรียกว่าบังเอิญจริง ๆ ก็น่าจะเป็นการที่กุ๋ยได้เดินเข้าตู้เสื้อผ้าแห่งนี้ และค้นพบว่ามันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น :)
การเดินทาง
ใครกำลังมองหาร้านอาหารสุขุมวิทดีไซน์เก๋ บรรยากาศดี ฉบับอิตาเลียนคลาสสิก แค่นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีอโศก ต่อมอเตอร์ไซด์เข้ามาทางสุขุมวิท 23 ไม่เกิน 20 บาท หรือหากขับรถมาก็สามารถจอดรถได้ที่ร้านนาร์ซิสซัสฝั่งตรงข้าม สะดวก ง่าย หาไม่ยากเลย