




“KRAM Cafe & Thai Kitchen” หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันในชื่อ “คราม” ร้านอาหารไทยแท้แบบดั้งเดิมตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 39 (ซอยพบมิตร) บ้านไม้สีขาวหลังนี้เพียงแค่ได้มองจากข้างนอกก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แต่พอเข้ามาในร้านก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกพิเศษ ทั้งกลิ่นหอมของเฟอร์นิเจอร์ไม้ และของตกแต่งต่างๆ ที่ตั้งใจประดับประดาให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด เปรียบได้กับความรู้สึกที่เราได้เห็นท้องฟ้าสีครามหรือน้ำทะเลสีคราม แค่เพียงได้เห็นก็ลืมเรื่องหนักใจไปชั่วขณะหนึ่งเหมือนรอบตัวเรานั้นเบาสบายดั่งปุยนุ่นพร้อมที่จะลอยไปยังท้องฟ้าสีครามแห่งนี้




นอกจากนี้ด้านนอกยังมีสวนสวยรายล้อมไปด้วยสีเขียว ตกแต่งด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ พร้อมให้คุณสูดอากาศสดชื่นกลับไปแบบเต็มปอด ยามเย็นประดับไปด้วยไฟสลัวๆ ให้คุณได้นั่งรับลมเย็นๆ พร้อมดื่มเบียร์กับคนรู้ใจ ยกแก็งค์มาสังสรรค์กับเพื่อนๆ หรือจะทานข้าวกับครอบครัวในบ้านไม้สีขาว บอกได้เลยว่าไม่มีอะไรสุขใจไปกว่านี้แล้ว


เริ่มต้นด้วยเมนูแรกที่ขายดีที่สุด ! ไม่ว่าใครมาก็เป็นอันต้องสั่ง “แกงคั่วปูใบชะพลู” (ราคา 340 บาท)แกงคั่วดั้งเดิมจากภาคใต้ที่ทางร้านลงมือตำเครื่องแกงเองกับมือ โดยมีใบชะพลูผักที่จัดว่าเป็นสมุนไพรแต่โบร่ำโบราณ แถมยังอุดมไปด้วยประโยชน์สารพัดชนิดเป็นส่วนผสมหลัก อีกทั้งยังพิถีพิถันเลือกแต่เนื้อปูที่สด ชิ้นใหญ่ เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด ความลงตัวของปู, เครื่องแกง และใบชะพลู เมื่อทานด้วยกันแล้วมันได้รสชาติที่กลมกล่อม ครบทุกรสชาติ ทั้ง เผ็ด, เค็ม, มัน ไม่มีรสใดรสหนึ่งโดดจนเกินไป ยิ่งทานกับข้าวสวยร้อนๆ สักถ้วยบอกได้เลยว่าฟินสุดๆ ด้วยความอร่อยแบบปากต่อปากทำให้เมนูนี้ถูกสั่งออกไปมาก และกลายเป็นเมนู Signature ของทางร้านไปโดยปริยาย

ต่อด้วยเมนูน้องใหม่ล่าสุด “กุ้งสามพี่น้อง” (ราคา 690 บาท) สำหรับกุ้งเลิฟเวอร์โดยเฉพาะ กุ้งสามชนิด ทั้ง กุ้งแม่น้ำ, กุ้งก้ามกราม และกุ้งขาว นำไปโดนน้ำมันนิดหน่อยพอสะดุ้งไฟ จากนั้นจึงนำมันกุ้งมาเคี่ยวแล้วนำมาผัดกับกุ้งจนสุก โดยใส่กระเทียมและผักชีฝรั่งลงไปด้วยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมของผักนิดหน่อย เวลาทานบอกได้เลยว่าคนขอบทานกุ้งจะแฮปปี้มาก เพราะนอกจากจะได้ทานเนื้อกุ้งแน่นแบบเต็มคำแล้ว ยังได้รสชาติและความหอมของมันกุ้งอบอวลไปทั่วปาก หรือจะทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรเฉพาะของทางร้านไว้แก้เลี่ยนก็อร่อยเด็ดอย่าบอกใคร


“ไข่เจียวหม้อเนื้อปู” (ราคา 200 บาท) ถึงจะดูเป็นเมนูง่ายๆ แต่บอกไว้ก่อนเลยว่าเมนูนี้ไม่ธรรมดา เพราะเคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่การนำไข่ไปทอดในหม้อทรงสูง โดยใช้ไฟอ่อนๆ ทำให้ได้ไข่สีเหลืองทองที่มีความฟูเป็นพิเศษ ทั้งยังกรอบด้านนอก นุ่มด้านใน เพิ่มความพิเศษยิ่งขึ้นด้วยการคัดสรรแต่เนื้อปูม้าก้อนใหญ่ ชิ้นโต ในปริมาณมาก บอกได้เลยว่าไม่ว่าจะตักทานส่วนไหนก็เจอแต่เนื้อปูชิ้นโตๆ ให้คุณได้ฟินตลอดการทาน

“ปลารากกล้วยผัดพริกขิง” (ราคา 220 บาท) ตรงๆ ตามชื่อปลารากกล้วยถูกนำไปทอดจนเหลืองกรอบ จากนั้นจึงนำไปผัดกับพริกขิงสูตรโบราณ ปลาไซส์เล็กที่ไม่ได้มีดีแค่ความกรอบเท่านั้นแต่ยังได้รสชาติของเนื้อปลา บวกกับรสชาติที่กรอบ หวาน หอมกลิ่นเครื่องเทศ ชวนน้ำลายสอเป็นที่สุด


“ใบเหลียงผัดไข่” (ราคา 160 บาท) ความอร่อยของเมนูนี้คือการคั่วใบเหลียงกับไข่ ผัดกันให้ติดกลิ่นของกระทะขึ้นมานิดหน่อย ซึ่งการผัดในลักษณะนี้ต้องใช้เชฟผู้มีประสบการณ์เพราะต้องควบคุมระดับไฟได้ดีจึงจะได้ใบเหลียงที่สด กรอบ หอมกลิ่นที่ติดกระทะขึ้นมานิดหน่อย บวกกับไข่ที่ฟูนุ่ม และสัมผัสกรุบๆ จากกุ้งแห้งแล้วได้รสชาติเค็มๆ มันๆ ถูกใจหลายคนกันมานัดต่อนัด

“หมูอร่อย” (ราคา 160 บาท) เมนูชื่อกวนที่หลายๆ คนคงอดคิดไม่ได้ว่ามันจะอร่อยจริงๆ แน่หรอ วันนี้เราจึงมาขอท้าพิสูจน์ เริ่มจากหมูสันคอติดมันนิดหน่อยถูกนำมาแล่เป็นชิ้นให้แต่ละชิ้นหนาพอดีคำ จากนั้นจึงนำไปผัดกับเครื่องเทศทั้ง ขิง, ข่า และตะไคร้ ให้มีกลิ่นหอมของสมุนไพร เพิ่มความหวานซ่อนเปรี้ยวนิดหน่อยด้วยน้ำมะขามเปียก หมูเนื้อนุ่มบวกกับรสชาติที่อร่อยหวาน อีกทั้งยังหอมกลิ่นเครื่องเทศแบบธรรมชาติ แนะนำให้ลองมาทานแล้วจะรู้ว่ามันอร่อยสมชื่อจริงๆ


อย่าลืมเหลือท้องไว้สำหรับของหวาน “Kram Signature” (ราคา 85 บาท) ไอศกรีมสีครามที่เพียงได้เห็นแค่สีก็ต้องมนต์เสน่ห์อันน่าหลงใหล ไอศกรีมกะทิถูกนำไปอบกับควันเทียน โดยใช้เทียนหอมสำหรับทำขนมโดยเฉพาะ เวลาทานจะได้รสชาติหวานมันของกะทิตามมาด้วยกลิ่นของเทียนอบอวลไปทั่วปาก ได้รสชาติคล้ายๆ กับขนมผิง หอม นุ่ม หวานมัน ทานคู่กับข้าวเหนียวใบเตยร้อนๆ สลับกับไอศกรีมเย็นฉ่ำ อีกทั้งยังได้ texture กรุบๆ ของถั่วเหลืองที่โรยมารอบๆ บอกได้คำเดียวว่าห้ามพลาด หากอยากทานที่อื่นก็หาไม่ได้เพราะมีให้ทานแค่ที่นี่ที่เดียว !

ปิดท้ายด้วย “ไอศกรีมมะพร้าว” (ราคา 85 บาท) ไอศกรีมมะพร้าวเนื้อเนียนนุ่ม เข้มข้น หวานมัน จะทานเปล่าๆ ก็อร่อยหรือจะสั่งทานคู่กับเบียร์ “HazelNut Brown Nectar” (ราคา 250 บาท) เบียร์ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของฮาเซลนัท ใครที่ไม่ชอบทานเบียร์ก็ทานได้เพราะมีรสชาติที่นุ่ม ไม่ขมมาก ช่วยเสริมความอร่อยให้กับไอศกรีมมะพร้าวได้อย่างพอเหมาะพอดี



นอกจากนี้ในช่วง weekend ของต้นเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงสิ้นปี ทางร้านก็ยังมีปาร์ตี้บาร์บีคิว ทั้งเซ็ต Seafood และเซ็ต Beef ให้คุณได้ปิ้งย่างกับกลุ่มเพื่อนกันในสวน รับลมหนาวที่โชยมา พร้อมดื่ม Craft Beer เย็นๆ หาทานได้ยากที่อิมพอร์ตมาจากหลายหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Deschutes River Ale, Yo-Ho Yona Yona Ale และ Yoho Suiyoubi No Neko Wheat Beer
หนาวนี้ลองแวะมาให้ “KRAM Cafe & Thai Kitchen” ช่วยเติมเต็มความอุ่นกายและใจให้กับคุณไปตลอดทั้งวัน