สาว ๆ เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเราชอบรู้สึกปวดขา หรือว่าขาบวมขึ้นมาช่วงตอนเย็นหลังเลิกงาน จริง ๆ แล้วเป็นเพราะระบบการไหลเวียนเลือดของเราไม่ดี ซึ่งมันเกิดได้จากปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะกินเค็มเอย นั่งทำงานนานเอย หรือร่างกายขาดน้ำก็เป็นไปได้ นอกจากนี้ยังมีอาการที่ส่งผลต่อการปวดขา หรือขาบวมได้อีกเยอะเลยค่ะ
สาเหตุของการปวดขา
- การห้อเลือด : การบาดเจ็บอาจทำให้มีเลือดออกในเนื้อเยื่อและข้อต่อ ทำให้เกิดอาการบวมและเจ็บปวด
- ตะคริว : ตะคริวมีลักษณะเป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจจะมีอาการแดงและบวมตามมา สาเหตุหลักของการเป็นตะคริวคือร่างกายขาดน้ำ กล้ามเนื้อตึงหรืออ่อนแรงจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่นานหรือหนักเกินไป รวมไปถึงการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) หรือสแตติน (Statins) เป็นต้น
- ปวดข้อ : อาจเกิดขึ้นจากการบาดเจ็บหรือโรคประจำตัว อย่างพวก โรคข้ออักเสบ และโรคเกาต์
- ปวดกล้ามเนื้อ : มักเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อที่มากจนเกินไป เช่น การเดินหรือยืนนาน ๆ การออกกำลังกายอย่างหนัก หรืออาจปวดกล้ามเนื้อจากการติดเชื้อในร่างกาย
- หน้าแข้งอักเสบ : คืออาการปวดและบวมบริเวณหน้าแข้งจากการใช้หน้าแข้งที่มากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการกระโดด วิ่ง หรือเต้น ถ้าไม่รักษาหรือยังทำกิจกรรมต่อ อาจทำให้กระดูกหักได้
- กล้ามเนื้อเคล็ดหรือแพลง : เกิดจากการยืดกล้ามเนื้อมากเกินไปจนทำให้เนื้อเยื่อ เส้นเอ็น หรือกล้ามเนื้อฉีกขาด ทำให้บวม อักเสบ และเจ็บปวด
- กระดูกหัก : กระดูกหักทำให้ปลายประสาทในเยื่อหุ้มกระดูกอักเสบและเสียหาย จึงทำให้กล้ามเนื้อรอบ ๆ กระดูกที่หักมีอาการตึง ทำให้รู้สึกเจ็บมากขึ้น
- เอ็นอักเสบ : คือการอักเสบของเส้นเอ็น ที่กระทบข้อต่อบริเวณใกล้เคียง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่เอ็นร้อยหวาย หรือกระดูกส้นเท้า
ทีนี้พอเรารู้แล้วว่าความเสี่ยงของการปวดขา หรือขาบวมมันเกิดขึ้นจากอะไรได้บ้าง หลังจากนี้เราไปดูท่าบริหารขากันเลยดีกว่า ว่าแต่ละท่าจะทำยังไง ทำนานแค่ไหน ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ
ท่าที่ 1 : ยืด เส้นช่วงล่าง ยกขาขึ้นพิงกำแพง
เปิดท่าแรกด้วยการยืดเส้นช่วงล่างกันเลย สำหรับท่านี้เราทำเพื่อให้เส้นตึง ๆ ที่ขารู้สึกผ่อนคลาย สาวคนไหนที่ยังไม่เคยทำท่านี้เลย ก็ลองนอนหันตัวเข้ากำแพงแล้วค่อย ๆ ยกขาขึ้นพิงกำแพงได้เลยค่ะ แรก ๆ อาจจะตึง ๆ เพราะไม่ค่อยได้ทำหรือยืดเส้นที่ช่วงขา แต่ถ้าทำบ่อย ๆ จนชินเราจะรู้สึกว่าเส้นที่ขาไม่ตึงอีกต่อไป
จำนวนครั้ง : 30 วินาที / 3 ครั้ง
ท่าที่ 2 : ยืดขาแก้อาการปวดข้อต่อ
มาต่อด้วยท่ายืดขาแก้อาการปวดข้อต่อ ใครที่มีอาการเลือดไหลเวียนไม่ดี ต่อมน้ำเหลืองช่วงขาหรือสะโพกทำงานไม่ปกติ เราแนะนำให้มาทำท่านี้กันเถอะ เพราะท่านี้จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและต่อมน้ำเหลืองบริเวณขากับสะโพกได้ดี อะ ! ใครชอบนอนเล่นหรือดูซีรีส์อยู่เฉย ๆ ก็ลองทำตามกันไปบอกเลยว่าดี
จำนวนครั้ง : 10 วินาที / 3 ครั้ง
ท่าที่ 3 : กระชับขาด้วยผ้าขนหนู
ไปต่อกันด้วยท่ายืดกระชับขาด้วยผ้าขนหนู ใครอยากลองทำท่านี้เวลาจะยืดกระชับด้วยผ้า ตอนทำให้เกร็งขาไว้ไม่ให้แยกออกจากกันตามแรงดึง ท่านี้จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณต้นขา และช่วยทำให้ต้นขาของเรากระชับขึ้น ถ้าทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นสาว ๆ ที่อยากมีขากระชับและเส้นไม่ตึง ก็ทำตามท่านี้ได้แบบสบาย ๆ เลยค่าาา
จำนวนครั้ง : 10 วินาที / ข้างละ 5 ครั้ง
ท่าที่ 4 : ท่ายืดแก้ปวดขา
พอยืดเส้นเพื่อผ่อนคลายกันเสร็จแล้ว มาต่อกับการยืดขาเพื่อลดอาการปวดขากันบ้างดีกว่า สำหรับท่านี้ไม่ว่าเราจะอยู่ที่บ้าน หรือที่ออฟฟิศก็สามารถทำได้ใช้เวลาไม่เยอะ แค่เรานั่งหลังตรง ยืดขา และเกร็งเท้าให้แตะพื้นทั้งสองข้างจนเข่าตึง จากนั้นโน้มตัวลงไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วค้างเอาไว้เท่านั้นเอง ท่านี้จะช่วยลดอาการปวดขา ปวดเข่า อีกทั้งยังทำให้ต่อมน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดีขึ้นด้วยนะจ๊ะ
จำนวนครั้ง : 10 วินาที / 3 ครั้ง
ท่าที่ 5 : บริหารขาลดน่อง
หลังจากนั้นเรามาบริหารขาเพื่อลดอาการปวดน่องกันต่อเลย ใครที่เวลาเดินทางกลับบ้านแล้วต้องยืนนาน ๆ เราว่าเหมาะมากที่จะบริหารขาด้วยท่านี้ การทำท่านี้ที่ถูกต้องคือน่องเราต้องตึง ๆ ทำแบบนี้บ่อย ๆ จะช่วยบรรเทาอาการปวดน่องและเส้นตึงได้ค่ะ ว่าแล้วแอบไปทำตามท่านี้หน่อยดีกว่ารู้ว่าน่องที่ขาจะตึง ๆ
จำนวนครั้ง : 10 วินาที / ข้างละ 3 ครั้ง
ท่าที่ 6 : ไขว้ขาสลับไปมาที่กำแพง
ปิดท้ายกันด้วยท่าที่ทำให้เลือดช่วงขาไหลเวียนได้ดีกันหน่อยดีกว่า ท่าบริหารท่านี้เราจะไขว้ขาแตะเท้าสลับไปมาที่กำแพง เวลาทำสาว ๆ จะต้องกระดกปลายเท้าแล้วแตะกำแพงสลับกันไปมา ประโยชน์ของท่านี้คือเค้าจะทำให้เลือดช่วงขาไหลเวียนสะดวก บวกกับกล้ามเนื้อเกิดความผ่อนคลาย ซึ่งเราว่าอันนี้ดีต่อสุขภาพขาของเรามาก ๆ เลยค่ะ
เอาละค่ะ ! ทีนี้สาว ๆ ก็รู้แล้วว่าถ้าอยากบริหารขาจะทำยังไงได้บ้าง และถึงอาการปวดขาจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ ก็เป็นกัน แต่เราก็ไม่ควรละเลยที่จะใส่ใจขาของตัวเองสักหน่อย ฉะนั้นเวลาปวดขาอย่ารอให้มันปวดหนักจนทนไม่ได้แล้วค่อยไปหาหมอทีเดียวเลยค่ะ ลองเริ่มหันมาทำท่าบริหารจากท่าง่าย ๆ เหล่านี้ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีไม่น้อยเลยใช่ไหมล่าาา
บทความท่าบริหารอื่น ๆ