วันดีคืนดีเงินสดหมด แล้วนั่งแท็กซี่มาถึงที่หมาย แต่ดันจ่ายไม่ได้เพราะเขาไม่รับสแกน? เป็นเราจะทำยังไง จะวิ่งหนี? ขอจ่ายคืนทีหลัง? หรือจะอ้อนให้พี่แท็กซี่ใจอ่อนยกให้ฟรีไปเลย?
แล้วถ้ามีสาวคนหนึ่งบอกว่า เธอนั่งแท็กซี่ฟรีได้ "เป็นเดือน ๆ" เพราะ "โชคดี" ล่ะ จะรู้สึกยังไง?
ช่วงท่ีผ่านมามีคลิปของสาวคนหนึ่งเล่าประสบการณ์นั่งแท็กซี่ฟรีเพราะไม่มีเงินสด แต่พี่คนขับยกให้ฟรีเพราะเธอเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังพี่คนขับระบายได้ตลอดทาง และอ้างว่าเธอทำแบบนี้ได้ประจำ แน่นอนว่าไม่ต้องรอให้รถทัวร์เข้ามาจอด เพราะคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์ได้เข้ามา "จอดเรียงหน้า" แบบไม่ต้องรอให้ส่งสัญญาณเรียกเลย
.
คำว่า “Lucky Girl Syndrome” เลยถูกหยิบมาถกในโลกโซเชียลอีกครั้ง ว่านี่เป็นคำที่เอาไว้แค่ “อวยตัวเองว่าโชคดี” หรือมันเกี่ยวข้องกับการคิดบวกตามหลัก “Law of Attraction” ที่เชื่อว่าหากเรามองโลกดี สิ่งดี ๆ จะถูกดึงดูดเข้ามาในชีวิต แต่ในอีกมุมก็มีคนเตือนว่าถ้าความโชคดีนั้นต้องแลกกับการมีใครบางคนเสียผลประโยชน์ ก็อาจกลายเป็นการเอาเปรียบโดยไม่รู้ตัว
เอาล่ะ! วันนี้ Beauty Story เลยจะมาพูดถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Lucky Girl Syndrome" กันว่า เส้นแบ่งระหว่างการมีโชคดีกับการเอาเปรียบคนอื่นมันอยู่ตรงไหนกันแน่นะ?
.
(1) ทำความรู้จัก “Lucky Girl Syndrome”
“Lucky Girl Syndrome” พูดง่าย ๆ ก็คือ การที่เรารู้สึกว่า “ชีวิตฉันช่างโชคดีเหลือเกิน” อาจเกิดจากการปรับมุมมองตัวเองให้คิดบวก ตามหลัก “Law of Attraction” หรือกฎแห่งแรงดึงดูด ที่ว่า ถ้าเราเชื่อว่าชีวิตจะได้เจอแต่สิ่งดี ๆ เราก็จะดึงดูดมันเข้ามาในชีวิตจริง ๆ ในแง่จิตวิทยา นี่เป็นวิธีเสริมความมั่นใจและกำลังใจ เพราะเมื่อเราคิดว่าสิ่งดี ๆ จะเข้ามา เรามักจะกล้าลงมือทำ หรือกล้าตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งก็เพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จได้จริง
.
การมองโลกในแง่บวกกับการสร้างความมั่นใจในตนเอง
- ยกระดับสุขภาพจิต การเชื่อว่าเรามีดวงดี มักทำให้จิตใจแฮปปี้ ไม่ต้องจมกับความวิตกกังวล
- กระตุ้นให้กล้าลองสิ่งใหม่ เมื่อเราคิดว่า “เอาวะ ดวงดีก็ลุยเลย” ความเชื่อมั่นแบบนี้อาจเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ได้
- สร้างเสน่ห์ดึงดูด คนที่เชื่อว่าโชคดีมักจะมีบุคลิกที่ดู Positive คนรอบข้างสัมผัสได้ง่าย และอาจเอื้อให้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
.
ยังไงก็แล้วแต่ “Lucky Girl Syndrome” จะดีที่สุดก็ต่อเมื่อเราไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะมีเคสตัวอย่างที่ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า สิ่งที่เรียกกันว่า “โชคดี” แท้จริงอาจมาพร้อมกับการเบียดเบียนคนอื่นหรือเปล่า?
.
(2) เส้นบาง ๆ ระหว่าง "โชคดี" กับ "เอาเปรียบ"
การคิดบวกมีประโยชน์ต่อสุขภาพจิตและการใช้ชีวิตแน่นอน บางครั้งมันช่วยให้เรากล้าทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้าม หรือสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองไม่ยอมแพ้ แต่มีเส้นบาง ๆ ที่แบ่งระหว่าง "โชคดี" กับ "เอาเปรียบ" อยู่นะ
.
> การไม่จ่ายค่าบริการแท็กซี่ และภูมิใจว่าเป็นเพราะเราโชคดี vs คนขับที่อาจจะมีรายได้น้อยอยู่แล้ว ต้องเจอกับการเอาเปรียบแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกคนว่ามันเป็นโชคดีอย่างเดียวจริง ๆ หรือเปล่า?
> โชคดีที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เช่น เจอโปรโมชั่น ได้รับของฟรีจากร้านค้าที่เขาตั้งใจแจก นั่นโอเคเลย! เพราะทุกฝ่ายเต็มใจ> แต่ถ้าเป็นการตั้งใจสร้างสถานการณ์ หรือใช้ "เสน่ห์" เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิพิเศษเพราะอีกฝ่ายรู้สึกกดดัน หรือไม่กล้าปฏิเสธ นั่นไม่ใช่โชคดีแล้ว แต่เป็นการเอาเปรียบทางอ้อม และถ้าเพื่อนเราถ่ายคลิปไปโพสต์ภูมิใจว่าทำแบบนี้ได้ แถมชวนให้คนอื่นทำตาม แบบนี้ล่ะคือการส่งเสริมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในสังคมแบบนึงเลย
เคยสงสัยมั้ยว่า ถ้าเป็นผู้ชายอ้างว่า "ผมนั่งแท็กซี่ฟรีได้เพราะพูดเก่งและดูดี" จะถูกมองในมุมเดียวกันมั้ย? หรือจะถูกมองว่าเป็นการข่มขู่หรือเอาเปรียบกันนะ? นี่มันเรื่องของความเท่าเทียมด้วยแหละ
.
(3) ด้านบวกของ Lucky Girl Syndrome ที่ “ปรับใช้” ในทางที่ดีได้
ในอีกแง่มุมหนึ่ง "Lucky Girl Syndrome" มีด้านดีเหมือนกัน ถ้าใช้อย่างเหมาะสม
.
1. Positive Thinking การมองว่าตัวเองโชคดีช่วยลดความกังวล ทำให้กล้าลองทำอะไรใหม่ ๆ และมีความมั่นใจมากขึ้น เมื่อเรารู้สึกดี → เราจะกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ → เปิดโอกาสให้ตัวเอง → มีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น → และนี่คือ "Self-Fulfilling Prophecy" ที่แท้ทรู!
2. Communication Skills การสื่อสารที่ดี บุคลิกที่ดูน่าเชื่อถือ การแต่งตัวเหมาะสม สามารถสร้างความประทับใจให้คนอื่นได้จริง ๆ แต่ควรใช้เพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่เพื่อหาผลประโยชน์ฝ่ายเดียว
.
(4) โชคดีแบบไหน ไม่ทำให้คนอื่นซวย
บางคนอาจมองว่า การได้อะไรฟรี ๆ เพราะเราเสน่ห์แรง เป็นคนเข้ากับคนง่าย หรือดูน่ารักน่าเอ็นดู มันก็แค่เรื่องเล็กน้อย แค่เรื่องโชคดี ไม่เห็นมีใครเดือดร้อน…แต่ความจริงแล้ว ถ้ามองลึกลงไปอีกนิด “น้ำใจ” ของคนที่ให้เรามันมีต้นทุนอยู่นะ ไม่ว่าจะเป็นพี่แท็กซี่ที่ยอมให้เรานั่งฟรี ร้านค้าที่แถมของให้ หรือคนรู้จักที่ช่วยเราโดยไม่คิดเงิน สิ่งที่เราได้รับมา มันอาจมี “ค่าใช้จ่ายบางอย่าง” ที่เขาไม่พูดออกมาตรง ๆ เช่น เวลา แรง ความเหนื่อย หรือแม้กระทั่งการใช้ “ใจ” ในการเอาใจเขา ใส่ใจเรา ที่สุดท้ายเขาอาจไม่ได้อะไรกลับมาเลยก็ได้
ถ้าเราใช้เสน่ห์ส่วนตัวหรือตัวตนของเราเพื่อให้ได้อะไรฟรี ๆ มันก็ไม่ผิดหรอก...แต่ควรใช้ให้เป็นแบบ Win-Win เช่น ถ้าอีกฝ่ายต้องการโปรโมตสินค้า แล้วเราสามารถช่วยแชร์หรือรีวิวให้ได้ ก็เท่ากับว่าเขาได้ประโยชน์จากเราเหมือนกัน แบบนี้แฟร์ทั้งสองฝ่าย
.
แต่ถ้ารู้ว่าเขาเสียค่าใช้จ่ายจริง ๆ เช่น ขึ้นรถแต่ไม่ได้จ่าย เราควรรับผิดชอบ หรือหาทางจ่ายคืนภายหลังก็ยังดี (เช่น โอนให้ทีหลังเมื่อสะดวก) ไม่ใช่ปล่อยผ่านเพราะคิดว่า “เขาไม่ทวงก็ไม่เป็นไร” แบบนี้ไม่โอเลย และที่สำคัญ อย่าลืมขอบคุณจากใจ ถ้าอีกฝ่ายเต็มใจช่วยเรา เพราะคำว่า “ขอบคุณ” มันอาจฟังดูธรรมดา แต่สำหรับคนที่ให้ มันคือการรับรู้ว่า “เขาไม่ได้ถูกมองข้าม”
อีกอย่างที่ต้องระวังคือ อย่าให้การได้รับของฟรีกลายเป็น “นิสัย” ที่คาดหวังว่าใคร ๆ ก็ต้องให้ หรือว่า “คนอื่นโอเคกับการที่เราไม่จ่าย” เพราะถ้าทำบ่อย ๆ เราอาจกลายเป็นคนที่มองน้ำใจคนอื่นเป็นของตาย โดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
เพราะงั้น…จะเป็น Lucky Girl ก็เป็นได้เต็มที่เลย ใช้เสน่ห์ได้ ใช้ความน่ารักได้ แต่ต้องใช้ให้มีความรับผิดชอบด้วยอย่าลืมว่า โชคดีที่ดีที่สุด คือโชคดีที่อีกฝ่ายก็รู้สึกดีที่ได้ให้เรา not โชคดีที่เขาเสียอะไรไปโดยที่เราไม่เคยรับรู้เลย
.
(5) โชคดีที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการได้ของฟรี
เราต้องแยกให้ออกระหว่างการมี "Lucky Mindset" ที่ดี กับการเอาเปรียบผู้อื่น โชคดีที่แท้จริงคือการสร้างคุณค่าและความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว เราทุกคนสามารถสร้างโชคดีได้จากการเป็นคนดี มีน้ำใจ และเคารพผู้อื่น การมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่แฟร์สำหรับทุกคนคือโชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด! อย่างเคสนี้เงินค่าแท็กซี่ไม่กี่ร้อยบาท อาจไม่ใช่อะไรมากสำหรับสาวที่คิดว่าตัวเองโชคดี แต่สำหรับพี่คนขับที่ต้องทำงานหนักทั้งวัน นั่นคือรายได้ที่เขาควรได้รับ
.
การเอา "ความโชคดี" ของเรา ไปสร้างภาระให้คนอื่น ไม่ได้ทำให้เราพิเศษหรือน่าทึ่งขึ้นมาเลย เอาเป็นว่า... ถ้าอยากโชคดี ก็ลองเริ่มจากการเป็นผู้ให้โชคดีกับคนอื่นบ้าง แล้วโชคดีที่แท้จริงจะย้อนกลับมาหาเราเอง เพราะเมื่อคุณให้ความดีออกไป มันจะย้อนกลับมาหาคุณเสมอ และนั่นแหละคือกฎแห่งแรงดึงดูดที่แท้จริงค่ะ!
—------------------------------------
References:
CCTC Staff Writer, Lucky Girl Syndrome: Positives & Negatives of the TikTok Trend (2023)
https://www.centralcoasttreatmentcenter.com/blog-1/lucky-girl-syndrome-tik-tok
Alexandria Barley, Does Lucky Girl Syndrome Work? (2023)
https://thedawnrehab.com/blog/does-lucky-girl-syndrome-work/
Lisa, What is 'lucky girl syndrome' and does it actually work? (2024)
https://www.harpersbazaar.com/uk/beauty/mind-body/a42590695/lucky-girl-syndrome/
Dr. Kress, Is “Lucky Girl Syndrome” Toxic? (2023)
https://drannakress.com/is-lucky-girl-syndrome-toxic/
mr.mekame, “วิธีหลอกนั่งแท็กซี่ฟรี” (2025)
.
#Wongnai #WongnaiBeauty #BeautyStory #LuckyGirlSyndrome #โชคดี #Manifest #เปิดดวงดี