เคยไหมที่แฟนบอกว่า "ก็แค่เพื่อน" แต่ทำไมคุณถึงรู้สึกหน่วง ๆ ทุกครั้งที่เขาตอบแชทเพื่อนคนนั้นพร้อมอมยิ้ม หรือการที่เขายังเก็บรูปคู่กับแฟนเก่าไว้ในโทรศัพท์ ทั้งที่คุณเคยบอกว่าไม่โอเค? แล้วสงสัยไหมว่า"Micro-Cheating" มันหมายถึงอะไร? ไอ้เจ้าพฤติกรรมที่หลายคนมองว่าใกล้เคียงกับการนอกใจ แต่ยังไม่ถึงขั้นชัดเจนพอจะเรียกว่า “คบซ้อน” ตกลงมันผิดหรือเปล่า? หรือเราเป็นคนคิดมากไปเอง? วันนี้ผู้เขียนจะพาคุณพี่มาสำรวจโลกของ Micro-Cheating ว่ามันคืออะไรกันแน่ พร้อมเล่าเรื่องราวชวนคิดจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และประวัติศาสตร์ ที่จะทำให้แฟนของคุณเข้าใจมากขึ้นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง‘เล็กน้อย’อย่างที่คิด!
.
(1.) อะไรถึงนับว่าเป็น Micro-Cheating
Micro-Cheating คือคำที่ใช้เรียกพฤติกรรมเล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่ร้ายแรง แต่ก็มากพอที่จะทำให้คู่รักอีกฝ่ายรู้สึกไม่สบายใจ เช่น การส่งข้อความลับ ๆ กับคนอื่น การชมรูปลักษณ์ของเพื่อนในที่ทำงานบ่อยเกินไป หรือการคุยกับแฟนเก่าที่เลิกกันไปนานแล้วในเชิงสนิทสนม จะด้วยความบริสุทธิใจหรือไม่ จากสายตาคนนอก ก็ไม่สามารถรู้ได้ใช่มั้ยคะว่า จริงหรือไม่ ใช่หรือเปล่านะ
ดร.มาร์ติน กราฟฟ์ (Martin Graff) จากมหาวิทยาลัยเซาท์เวลส์ อธิบายว่า Micro-Cheating เป็นเหมือน ‘การอุ่นเครื่อง’ ที่อาจนำไปสู่การนอกใจจริงจังได้ในอนาคต และยังพบว่าคู่รักที่มีพฤติกรรมแบบนี้มักมีระดับความเชื่อใจที่ลดลงเมื่อเทียบกับคู่ที่ไม่มีพฤติกรรมดังกล่าวด้วยนะ ถ้าจะเอาให้เข้าใจง่าย ๆ คือการกระทำอะไรก็ตามของอีกฝ่ายที่ทำให้รู้สึกเหมือนว่า เขาเปิดโอกาสให้ผู้อื่นที่อยู่นอกความสัมพันธ์อยากจะเข้าหาด้วยความรู้สึกที่มากเกินกว่าคำว่าเพื่อน
.
(2.) Micro-Cheating หรือไม่ เอาอะไรมาวัดกันนะ?
พฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในยุคโซเชียลมีเดีย แต่ย้อนกลับไปในอดีตก็มีเหตุการณ์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น Micro-Cheating อยู่เหมือนกัน
ถ้าเราย้อนกลับไปสมัยอยุธยา มีหลักฐานว่าความสัมพันธ์เชิงซ้อนระหว่างชนชั้นสูงเคยถูกบันทึกไว้ใน "จดหมายเหตุลาลูแบร์" นักทูตฝรั่งเศสที่มาเยือนไทยในศตวรรษที่ 17 เขาเล่าว่าหญิงชายในราชสำนักไทยมีการส่งสารลับผ่านคนกลางเพื่อแสดงความสนใจแบบลับ ๆ โดยไม่ให้คู่ของตนรู้ แม้จะไม่ได้เรียกว่า Micro-Cheating ในตอนนั้น แต่มันคือพฤติกรรมที่ส่อแววนอกใจอย่างชัดเจน
หรืออย่างในยุโรปศตวรรษที่ 18 การแอบส่งจดหมายหวาน ๆ ให้ใครที่ไม่ใช่คู่สมรส ถือเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อย จนคนมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
.
มาปัจจุบัน ผู้เขียนขอหยิบตัวอย่างสถาณการณ์มาให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ขอให้คุณผู้อ่านมาลองวิเคราะห์ด้วยกันค่ะ ว่าสถาณการณ์แบบนี้นี่เข้าข่ายไหมนะ เอาล่ะ นับคะแนนไว้ในใจนะ แล้วเราไปคุยกันท้ายบทความ เริ่ม!
- การแอบถอดแหวนแต่งงานทิ้งไว้ที่บ้านก่อนที่จะออกไปเที่ยว
- การจินตนาการถึงคนอื่นขณะมีเพศสัมพันธ์
- แฟนของคุณที่รู้จักกันผ่านแอพหาคู่จนตอนนี้ได้พัฒนาความสัมพันธ์ไปไกลและชัดเจนแล้ว แต่คุณยังแอบไปเห็นว่าเขายังคงไม่ลบแอพหาคู่นั้นออกจากมือถือของเขา
- แฟนของคุณยังคงส่งของขวัญไปให้แฟนเก่าของเขา โดยให้เหตุผลว่า “ก็เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่”
- แฟนของคุณชอบแอบยิ้มเวลาคุยแชทกับเพื่อนร่วมงานคนนี้อยู่ตลอดเวลาที่คุยกัน แม้กระทั่งการคุยกันหลังเลิกงานแล้ว
- หรือคุณที่อาศัยอยู่ร่วมกับแฟนของคุณมานาน งานอดิเรกเขาคือเล่นเกมออนไลน์ แต่พักหลัง ๆ คุณเริ่มแอบได้ยินสิ่งที่เขาเปิดไมค์พูดกับเพื่อนในเกมของเขาในเชิงอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งแฟนของคุณก็ให้เหตุผลว่า มันคือการ Roleplay สวมบทบาทเป็นคนรู้ใจกันแค่เพียงในเกมเท่านั้น
เอาล่ะ นับคะแนนกันได้แล้ว เก็บไว้ในใจแล้วไปกันต่อค่ะ
.
ถึงพฤติกรรมแนว ๆ นี้จะสามารถมองเป็นมิตรภาพเพื่อนฝูงเฉย ๆ ก็ไม่นับว่าผิดอะไรค่ะ แล้วคำถามคือถ้าการกระทำแบบนี้ดันไปกระทบจิตใจของอีกฝ่ายจนบ้านแตกสาแหรกขาดขึ้นมา เราจะมองไปในทิศทางไหนได้บ้างนะ
.
(3.) ถ้ารักพัง ต้องโทษที่ใคร
เมื่อความรักเริ่มสั่นคลอนหรือพังทลาย หลายคนมักตั้งคำถามว่า "เป็นเพราะเขาทำให้เราไม่สบายใจ?" หรือ "เป็นเพราะเธองี่เง่าและไม่มีเหตุผล?" จริงอยู่ว่าความรักในความสัมพันธ์ไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้องตายตัวเสมอไป แต่จะดีไหมถ้าเราหันมามองรากเหง้าของปัญหาให้ลึกขึ้น?
นักจิตวิทยาชื่อดังอย่าง ดร.จอห์น ก็อตแมน (John Gottman) ซึ่งศึกษาความสัมพันธ์มายาวนานกว่า 40 ปี ระบุว่าปัญหาหลักที่ทำให้คู่รักหลายคู่ไปไม่รอด ไม่ใช่ความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยตรง แต่คือ การขาด “การสื่อสารที่มีคุณภาพ” ลองนึกถึงสถานการณ์ง่าย ๆ เช่น เมื่ออีกฝ่ายบ่นว่ารู้สึกว่าเราให้ความสนใจคนอื่นมากเกินไปแทนที่จะรับฟังและเข้าใจในความรู้สึกนั้น หลายคนกลับเลือกที่จะปกป้องตัวเองด้วยคำพูดอย่าง "ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ" หรือ "เธอคิดมากไปเองอะ" พฤติกรรมเหล่านี้แม้ดูเล็กน้อย แต่เมื่อเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ก็เปรียบเหมือนปลวกที่กัดกินความรักทีละนิดจนสุดท้ายอาจทำให้บ้านทั้งหลังพังได้
นอกจากนี้ ก็อตแมนยังชี้อีกค่ะว่า "บทสนทนาใน 3 นาทีแรกของการเถียงกัน" มีผลอย่างมากต่อความสัมพันธ์ หากบทสนทนาเริ่มต้นด้วยการตำหนิ หรือใช้อารมณ์รุนแรงแทนที่จะตั้งใจฟังและทำความเข้าใจ สุดท้ายปัญหาก็ยิ่งบานปลาย จนกลายเป็นช่องว่างที่ยากจะซ่อมแซม
.
แต่จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เหตุการณ์เล็ก ๆ เช่นนี้ หากเกิดขึ้นซ้ำบ่อย ๆ มันก็เหมือนเม็ดทรายเล็ก ๆ ที่สะสมจนกลายเป็นภูเขา ทำให้ความรู้สึกเดิม ๆ ที่เคยมีให้กันค่อย ๆ เปลี่ยนไปในแบบที่ไม่มีใครรู้ตัว
เอาล่ะ ที่ทดคะแนนไว้เมื่อกี้เก็บไว้ในใจก่อนค่ะคุณผู้อ่าน ลองชั่งน้ำหนัก แล้วไปดูวิธีแก้ปัญหาที่ดีดเจ้าปลวกกัดเซาะความสัมพันธ์นี้ให้ไปพ้น ๆ กันดีไหม
.
(4.) แล้วจะทำอย่างไรให้ความรักยาวนานแบบไม่มี Micro-Cheating?
ใจเย็น ๆ คุณพี่ สิ่งที่เรากำลังจะบอกต่อไปนี้อาจจะไม่ใช้เรื่องใหม่ที่คุณพี่เพิ่งจะหาอ่านหรือศึกษาได้แน่นอน แต่สิ่งสำคัญคือเราจะนำสิ่งที่ควรทำที่เรารู้อยู่แล้ว มาปรับใช้ยังไงให้ความสัมพันธ์มัน Work มากกว่า อย่างการ
- ตั้งกติกาให้ชัดเจน : คุยกับแฟนถึงสิ่งที่ ‘รับได้’ และ ‘รับไม่ได้’ ในความสัมพันธ์
- ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเอง : ถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่าอยากให้ความสนใจคนอื่นมากกว่าแฟนของตัวเอง ควรหยุดและถามตัวเองว่า ‘ทำไม’ หรือ ‘อะไรที่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้กัน’
- สร้างความไว้วางใจ : ใช้เวลาและการกระทำพิสูจน์ความซื่อสัตย์ เช่น การเปิดใจคุยเรื่องความไม่สบายใจ หรือลอง Deep Talk บ้างก็เป็นอีกตัวช่วยที่ดี
- หาเวลาคุณภาพร่วมกัน : ป้องกันความเหินห่างในความสัมพันธ์ด้วยการใช้เวลาที่มีคุณภาพร่วมกัน ลองออกไปข้างนอกด้วยกัน หรือทำกิจกรรมร่วมกันเพิ่มเติมบ้าง
Micro-Cheating อาจไม่ใช่เรื่องที่ฟันธงได้ว่า "ผิด" หรือ "ถูก" เพราะฉะนั้นคะแนนที่จดไว้เมื่อกี้ที่ทดไว้ในใจ ลองหยิบออกมาพูดคุยกับคู่รักกันดูค่ะ เพราะในความสัมพันธ์ ไม่มีคำตอบเดียวที่เหมาะกับทุกคน แต่สิ่งที่ผู้เขียนอยากชวนคุณผู้อ่านคิดต่อคือ การเคารพซึ่งกันและกันและความเข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นพื้นฐานที่สำคัญของความสัมพันธ์ใด ๆ เมื่อมีความไม่สบายใจเกิดขึ้น การสื่อสารอย่างเปิดใจ และรับฟังกันอย่างแท้จริง อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยคลี่คลายปัญหาและพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้น
.
ขอให้จำไว้เสมอว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบในความรัก แต่การปรับตัวและเดินไปตรงกลางเพื่ออีกฝ่ายนั้นเป็นความพยายามที่มีค่า ทุกการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำเพื่อกันและกัน จะช่วยเติมเต็มความรักให้มั่นคงขึ้นได้ หากคุณผู้อ่านและคู่รักกำลังเผชิญกับคำถามในใจเกี่ยวกับพฤติกรรมที่คล้ายกับ Micro-Cheating อย่าลืมเริ่มต้นที่การพูดคุยกันด้วยความเข้าใจและเคารพความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย เพราะสุดท้ายแล้ว ความรักที่ดีคือการเติบโตไปด้วยกันค่ะ
.
ถ้าคุณผู้อ่านชอบบทความนี้และอยากได้แรงบันดาลใจหรือมุมมองใหม่ ๆ ในความรัก อย่าลืมติดตาม Beauty Story อีพีต่อ ๆ ไป บทความหน้าเราจะพาไปเจาะลึกอีกหลากหลายมุมมองที่น่าสนใจแบบไหนอีก เราจะหาคำตอบไปพร้อม ๆ กับผู้อ่านค่ะ
—------------
Reference
Vicky Spratt. (2018). BBC: When does micro-cheating become ‘actual’ cheating?
Graff, M. (2019). The Psychology of Infidelity. University of South Wales.
Hodgson, N. (2016). The History of Dating. New York: HarperCollins.
Gottman, J. (1994). Why Marriages Succeed or Fail. New York: Simon & Schuster.
คุณาพร ศรีวงศ์. (2010). วัฒนธรรมความรักในวรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
Smith, R. (1998). Victorian Courting Rituals. London: Penguin Books.
#Wongnai #WongnaiBeauty #BeautyStory #MicroCheating #Relationship #Roleplay #IC