จากร้านอาหารฝรั่งเศสที่นิวยอร์คที่กลุ่มเจ้าของร้านชอบไปนั่งแฮง เอาท์ด้วยกันสมัยเรียนอยู่ที่นิวยอร์ค กลายมาเป็น Inspiration ที่ผสมผสานโลกเก่าแบบฝรั่งเศสและโลกใหม่แบบอเมริกันมาพบกันได้อย่างลงตัว ซึ่งจะเห็นความเป็นฝรั่งเศสได้ชัดเจนที่สุดจากสไตล์การตกแต่งร้านที่จะออกแนวปารีเซียง คาเฟ่ และพบการผสมผสานที่ลงตัวของอาหารฝรั่งเศส - อเมริกัน รวมทั้งรายละเอียดในการตกแต่งด้วยโทนที่ดูอบอุ่นเหมือนบ้านมากขึ้น
"Eggs Benedict"แต่พอได้ยินคำว่า "ฝรั่งเศส" ปุ๊บ หลายๆ คนอาจจะนึกไปถึงความหรูหราของอาหาร การจัดจานที่เหมือนงานศิลปะอะไรประมาณนั้น แต่จริงๆ แล้ว อาหารของ "Minibar Royale" จะเน้นความเป็น "Comfort Food" มากกว่า ซึ่ง "Comfort Food" เป็นอาหารง่ายๆ ที่วิธีการปรุงและการจัดวางไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก เป็นอาหารแบบที่ทำกินกันที่บ้าน และเมื่อกินเข้าไปแล้ว อาจทำให้คนไกลบ้านคิดถึงบ้านและความอบอุ่นของคนที่บ้านเอาได้ง่ายๆ เลยทีเดียว ซึ่ง "Minibar Royale" ก็นับเป็นร้านแรกๆ ที่นำเสนอ "Comfort Food" ในเมืองไทย และเป็นร้านแรกๆ อีกเช่นกัน ที่มี Brunch นอกโรงแรมที่ให้บริการด้วยเมนูง่ายๆ เช่น แซนวิช เบอร์เกอร์ และเมนูไข่ต่างๆ เช่น "Eggs Benedict" (ราคา 240 บาท) ที่จัดวางขนมปังฝรั่งเศสอบกรอบ ปลาแซลมอนรมควันชิ้นโตกับ Poached Egg ราดด้วยฮอลันเดสซอสที่เป็น Signature ของ Minibar ที่ใส่ Citrus (ผิวส้ม) เสิร์ฟคู่กับเฟรนช์ฟรายกรอบนอกนุ่มในกองโต เป็นเมนูที่เหมาะจะกินเป็น Brunch เติมพลังในการใช้ชีวิตประจำวัน
กินเล่นแบบจริงจัง เพื่อสุขภาพ"Magic Parmesan-Crumbed Mushroom with Garlic Mayo Dip" (ราคา 180 บาท) เป็นเมนูกินเล่นที่เริ่มต้นมาจากแนวคิดที่ว่า ต้องเป็นกินเล่นที่อร่อย แต่ก็ต้องดีต่อสุขภาพด้วย จึงออกมาเป็นเมนูเห็ดสารพัดชนิด ทั้งเห็ดออรินจิ เห็ดหอม เห็ดโคนดำ ที่เอามาคลุกเคล้ากับแป้งสูตรพิเศษของร้านที่ผสมพาร์มิซานชีสลงไปด้วย แล้วก็เอาไปทอดให้กรอบ จากนั้นก็โรยพาร์มิซานชีสอีกที กินคู่กับการ์ลิค มาโย ซึ่งจะช่วยเสริมรสชาติของเห็ด และไม่ทำให้เลี่ยนกับชีสมากเกินไป จัดเป็นเมนูกินเล่นที่เหมาะกับสาวๆ ที่อยากจะเลี่ยงไขมัน และแป้งจากเฟรนช์ฟราย มาสู่โปรตีนในเห็ดที่มีประโยชน์กับร่างกายมากกว่า ทำให้รู้สึกผิดน้อยลงที่กินของทอดและชีส!
"Magic Parmesan-Crumbed Mushroom with Garlic Mayo Dip"
"Garlic Mayo Dip""I'm coming Home" ธีมเมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Street foodเมื่อ "Street food" หรือ อาหารข้างถนนของไทย ถูกหยิบเอามานำเสนอใหม่ในรูปแบบของอาหารฝรั่ง โดยที่ยังคงความเป็นไทยเอาไว้ในรายละเอียดบางอย่าง จึงออกมาเป็นเมนูดังต่อไปนี้
"Garden Fritters"
น้ำจิ้มของผักทอดที่ช่วยให้ไม่เลี่ยน"Garden Fritters" (ราคา 180 บาท) ผักรวมทอดที่มีทั้งฟักทอง แครอต และข้าวโพด ที่ได้รับแรงบันดาลมาจากทอดมันข้าวโพด ที่มีเคล็ดลับความกรอบอยู่ที่อุณหภูมิของน้ำมันที่ใช้ในการทอด และการผสมแป้งในอ่างที่หล่อด้านล่างด้วยน้ำแข็ง ทำให้ได้แป้งชุบทอดที่เย็นและทำให้ไม่อมน้ำมันเวลาทอด แถมยังคงความนุ่มของเนื้อผักอย่างฟักทองและแครอตเอาไว้ได้เป็นอย่างดี จิ้มกับน้ำจิ้มที่รสชาติออกเปรี้ยวๆ ทำให้ไม่รู้สึกว่าเลี่ยน เป็นเมนูสุขภาพที่ยังคงความอร่อยแบบของเสียสุขภาพเอาไว้แบบพบกันครึ่งทางได้เอย่างพอดีๆ
"Ribs de Bangkok"
ข้าวเหนียวธัญพืชย่างไฟอ่อนๆ กับ Olive Oil"Ribs de Bangkok" (ราคา 360 บาท) ซี่โครงหมูย่างที่เปื่อยนุ่ม ชนิดที่ว่าแค่เพียงใช้ส้อมสะกิดเบาๆ เนื้อหมูก็หลุดร่อนออกมาจากกระดูกได้อย่างง่ายดาย และเพิ่มความเป็นไทยด้วยการราดน้ำจิ้มแจ่วรสเข้มข้น เสิร์ฟด้วยข้าวเหนียวธัญพืชย่างไฟอ่อนๆ กับ Olive Oil เหมือนข้าวจี่ของคนอีสาน แล้วเสริมทัพด้วยน้ำจิ้มแจ่วเข้มข้นที่ไม่ใช้น้ำปลาแบบที่คนทั่วไปคุ้นเคย แต่ใช้พริกตำสูตรพิเศษของร้าน ที่ช่วยให้เนื้อหมูและข้าวเหนียวมีความแซ่บแบบไทยๆ เมนูนี้เป็นเมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากข้าวเหนียวหมูปิ้ง ที่ถูกเอามาปรับให้มีความเป็นฝรั่งแฝงเข้าไปด้วย และเป็นเมนูหนึ่งที่อยู่ในธีม "I'm coming home" ของ "Minibar Royale" ด้วยจานหลักแบบอิ่มจริงจัง"Spaghetti Tiger Prawn" (ราคา 260 บาท) เป็นเมนูที่่ต่อยอดมาจากเมนูที่เจ้าของร้านมักจะทำทานเองที่ จากการใช้มันกุ้งสดๆ มาปรุงกับรากผักชี กระเทียม พริกไทยเก็บเอาไว้กินได้เรื่อยๆ มาเป็นการเอามันกุ้งสดๆ มาปรุงแบบฝรั่งโดยเพิ่มไวน์ขาวลงไป แล้วเอามาผัดกับเส้นสปาเก็ตตี้และเนื้อกุ้งหั่นเป็นชิ้นเล็ก จนได้สปาเก็ตตี้รสชาติเข้มข้น ที่มีมันกุ้งเคลือบอยู่ในทุกอณูของเส้น ยิ่งถ้าบีบเลมอนที่ให้มาคู่กันลงไปด้วย รสชาติของสปาเก็ตตี้กุ้งลายเสือจานนี้ ก็จะยิ่งอร่อยกลมกล่อมมากขึ้น และช่วยตัดเลี่ยนได้ดี (แต่บางฤดูกาล ที่กุ้งไม่ค่อยมีมัน ก็อาจจะมีการใช้มันกุ้งสำเร็จรูปบ้างในบางครั้ง แต่ก้ยังมีหัวเชื้อของมันกุ้งแท้ๆ ผสมลงไปด้วย)
"Spaghetti Tiger Prawn" สีจัดจ้าน
กุ้งลายเสือตัวใหญ่ทอดแค่พอสุก"Wagyu Mini Burger" (ราคา 230 บาท) เป็นเมนูที่แสดงออกถึงความเป็นอเมริกันอย่างแท้จริง เป็นเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อวากิวสับละเอียดผสมเครื่องเทศต่างๆ แล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆ ทอดแบบสุกกำลังดี ยังมีความชุ่มฉ่ำ Juicy อยู่ในก้อนเนื้อบด และความชุ่มฉ่ำหรือน้ำของเนื้อนั้น จะพุ่งออกมาในปากเมื่อเคี้ยว ผสมกับกูร์แยร์ชีสรสจัดๆ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เบอร์เกอร์ประณีตแบบนี้อร่อยกว่าเบอร์เกอร์แบบฟาสต์ฟู้ดทั่วไปหลายเท่าตัว และด้วยความที่เป็นเมนูมินิเบอร์เกอร์ที่ลดขนาดลงเพื่อให้กินง่ายขึ้น จึงไม่ต้องตัดแบ่งให้ลำบาก หรือเวลาอยากจะสั่งเบอร์เกอร์มากินแบบแชร์กันกับเพื่อน ก็สามารถแบ่งกันไปคนละอันได้เลย และนับว่า "Minibar Royale" เป็นร้านแรกๆ ที่ทำมินิเบอร์เกอร์ออกมาขายเลยก็ว่าได้
"Wagyu Mini Burger"
เนื้อวากิวปั้นเป็นก้อนกลมแบบมีทบอลเอกลักษณ์ที่เห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่านี่คือ "Minibar Royale"
เมนูที่แฟนประจำของ "Minibar Royale" เห็นแล้วจะรู้ทันทีว่านี่คือ "Minibar Royale" ก็คือเค้กทรงสูงที่มีเลเยอร์ซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งเป็นเค้กสไตล์อเมริกันแท้ๆ ที่อัดแน่นไปด้วยความอร่อยในระหว่างชั้นของค้ก เป็น Signature ของ "Minibar Royale" เลยก็ว่าได้ เมนูเด็ดๆ อย่าง "Red Velvet Cake" (ราคา 150 บาท) ก็มีชั้นของครีมชีสรสเข้มเรียงตัวซ้อนกันอยู่ระหว่างเนื้อเค้ถึง 3 - 4 ชั้น รวมหน้าเค้ก สะใจคนชอบกินครีมชีสแน่ๆ
"Red Velvet Cake"
"Fresh Coconut Meringue Pie"แต่ถ้าชอบรสชาติหวานมัน "Fresh Coconut Meringue Pie" (ราคา 140 บาท) จะให้รสชาติและผิวสัมผัสที่นุ่มละมุนมากกว่า สั่งมาดื่มกับน้ำชาหอมกรุ่นกลิ่นมินท์อย่าง "Mister Sunshine" หรือชาชนิดอื่นๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแบบ "Minibar Royale" เพราะเป็นชาที่เบลนด์ขึ้นมาเพื่อร้านโดยเฉพาะเท่านั้น กลิ่นและรสชาติที่ได้หจึงไม่ซ้ำใคร (บางช่วงจะมีชาที่เบลนด์มาในแบบเฉพาะตัวของร้าน วางขายด้วย สามารถสอบถามทางร้านได้)และเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของ "Minibar Royale" ที่เห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่านี่คือ "Minibar Royale" ก็คือ "เครื่องดื่ม" ทั้ง Mocktail และ Cocktail ที่มีสีสันสวยงาม และส่วนผสมที่จะต้องมีผลไม้สดๆ ใส่ลงไปด้วยเสมอ เพื่อเติมความสดชื่นให้คนดื่ม
"Passion Fruit Mint Crush"
"Mulberry Strawberry Ice Tea"เริ่มด้วย Mocktail ที่มีสีสันสลับชั้นกันเป็นเลเยอร์ เช่น เขียวตัดแดง เหลืองตัดขาว สวยงามน่าดื่ม ช่วยคืนความสดชื่นด้วยเนื้อผลไม้สด เปรี้ยวๆ หวานๆ อย่าง "Passion Fruit Mint Crush" (ราคา 120 บาท) ใบมินท์สดๆ ถูกเอามาจับคู่กับแพสชั่นฟรุตสดๆ รสเปรี้ยวจี๊ด ที่หากใครได้ดื่มเครื่องดื่มแก้วนี้แล้วจะตื่นในทันทีแน่นอน หรือ "Mulberry Strawberry Ice Tea" (ราคา 130 บาท) การพบกันของน้ำสตรอเบอร์รี่ปั่นกับชามัลเบอร์รี่ หรือชาใบหม่อนสีเขียวสดใส ให้รสชาติหวานๆ เปรี้ยว หอมกลิ่นชา สดชื่นแบบสุขภาพดี
เมนูค็อกเทลสีสวยของ "Minibar Royale"
"Big Apple Martini" สีเขียวสดชื่น
ชิ้นแอปเปิ้ลเขียวฝานบางๆ เพิ่มลูกเล่นให้เครื่องดื่มน่าสนใจขึ้น
"Minibar Royale" ที่มีเม็ดทับทิมสดๆ ลอยอยู่บนผิวหน้า
"Strawberry Caipirinha"แต่ถ้าอยากเพิ่มดีกรีความสนุกให้มื้ออาหารมากขึ้น ที่ "Minibar Royale" ก็มี Cocktail ในแบบเฉพาะของตัวเอง ด้วยการใส่เนื้อผลไม้สดลงไปในเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย เช่น สปาร์คกลิ้งไวน์สีแดงสดใสในแก้วทรงสูง อย่าง "Minibar Royale" (ราคา 260 บาท) ที่ใส่เม็ดทับทิมสีแดงเหมือนอัญมณีลงไปลอยตัวสวยงามอยู่บนผิวหน้าของเครื่องดื่มด้วย หรือ เครื่องดื่มผสมวอดก้าสีเขียวสดชื่น "Big Apple Martini" (ราคา 250 บาท) ที่ใส่แอปเปิ้ลฝานบางๆ ลงไปเพิ่มสีสันและลูกเล่นให้กับเครื่องดื่มแก้วนี้ และ "Strawberry Caipirinha" (ราคา 220 บาท) เหล้ารัมที่ผสมเนื้อสตรอเบอร์รี่กับซีกมะนาวทั้งเปลือกลงไปจนได้เครื่องดื่มสีแดงจัดๆ แก้วโต ที่มีทั้งความเปรี้ยวปรี๊ดและเปรี้ยวอมหวานผสมผสานกันอย่างลงตัว
อร่อยที่ร้านพี่แล้ว อย่าลืมแวะไปร้านน้องถ้าใครผ่านไปแถวเอ็มโพเรียม แล้วอยากสดชื่นกับเครื่องดื่ม และอร่อยกับอาหารโฮมเมดที่เป็นเอกลักษณ์ของ "Minibar Royale" ก็แวะไปที่ชั้น 5 ของห้าง แล้วเลี้ยวเข้าไปในร้าน "Minibar Deli" กันได้ เพระาที่นั่นมีทุกอย่างแทบจะเหมือนกับที่ "Minibar Royale" ต่างกันแค่ตรงที่ "Minibar Royale" นั้นเน้นอาหารแบบ Casual Dinning เป็นอาหารมื้อใหญ่ มีอะไรให้เลือกเยอะ ส่วน "Minibar Deli" จะเป็นร้านอาหารในแนว Grab & Go ในรูปแบบที่ประณีต เน้นความสะดวกรวดเร็วในการกินอาหาร แต่ก็ยังคงความประณีตในรสชาติอยู่อย่างเต็มเปี่ยมไม่ว่าจะหนักหรือเบา ง่ายหรือยาก มื้อบรันช์ มื้อกลางวัน หรือดินเนอร์ ที่ "Minibar Royale" ก็มีเมนูให้เลือกสรรกว่า 80 รายการ เช่น พาสต้าเส้นทำเอง และเเซนวิชที่เหมาะสำหรับมื้อเที่ยงอันเร่งด่วน จะนั่งทอดหุ่ยละเลียดอาหารจานโปรดกับผองเพื่อนที่ "Minibar Royale" ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่สายๆ ไปยันค่ำๆ ก็ทำได้สบายๆ ไม่ต้องมูฟกันให้เหนื่อย เพราะที่นี่ที่เดียว มีครบทุกสิ่งอันพิเศษ! ช่วง Happy Hours 17.00-20.00 น. สั่ง Cocktail 1 แก้ว แถมฟรีอีก 1 แก้ว ที่ "Minibar Royale"Minibar Royaleที่อยู่ : สุขุมวิท 23, วัฒนา, (เดินเข้ามาในซอยประมาณ 200 เมตร ร้านอยู่ชั้นล่างของตึก Citadines) กรุงเทพมหานคร 10110โทร : 02-261-5533//www.facebook.com/minibarroyale