“บรรยากาศร้านสาขา Terminal 21”
“บาร์ผักสดที่มีให้เลือกว่า 20 ชนิด”
“Mo-Mo-Paradise” เป็นร้าน Shabu-Shabu & Sukiyaki ต้นตำรับจากประเทศญี่ปุ่นที่มีสาขาต่างประเทศในไต้หวัน เซี่ยงไฮ้ และกรุงเทพมหานคร โดยอาหารแต่ละอย่างของทางร้านได้ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดีเพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ไม่เน้นเมนูเยอะมากเกินไป เพื่อควบคุมคุณภาพให้ได้ดีที่สุด อีกทั้งไม่ใช้วัตถุปรุงรสอาหารหรือสารเพื่อเพิ่มรสชาติใดๆ ซึ่งวัตถุดิบแต่ละชนิดถูกรวบรวมมาจากแหล่งพิเศษต่างๆในญี่ปุ่น ก่อนนำมาแปรรูป และกระจายไปยังสาขาต่างๆทั้งในและนอกประเทศ
ในส่วนของ “All-You-Can-Eat” นั้นเริ่มจาก (ราคา 399++ บาท) สามารถเลือกน้ำซุปได้ 1 ซุป หรือใครเลือกน้ำซุปไม่ถูกก็ยังมี “Mixed Course” (ราคา 449++ บาท) ที่สามารถเลือกอร่อยได้ 2 น้ำซุป พร้อมกัน ในส่วนของเครื่องดื่ม “All-You-Can-Drink” มีเครื่องดื่มหลากหลายให้คุณเลือกทานอย่างไม่จำกัดในราคาเพียง 39 บาท/ท่าน เท่านั้น !!หรือใครชอบแบบจัดเต็มก็จะมีแบบ “Party Course” (ราคา 539 บาท++) มีข้อจำกัดคือต้องมาทานตั้งแต่ 5 ท่านขึ้นไป โดยในราคานี้รวมเครื่องดื่มให้แล้ว อีกทั้งยังมีเมนูเสริมและของหวานเสิร์ฟให้ไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นไก่ไผ่, เส้นราเมง, เส้นอุด้ง,ไอศกรีมซอยมิ้ลค์, เชอเบท และขนมไดฟุกุ
“น้ำซุปชาบูชาบู และน้ำซุปสุกี้ยากี้”
มาดูน้ำซุปกันบ้าง น้ำชุปของร้านนี้มีให้เลือกถึง 3 แบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำซุป ชาบูชาบู, สุกี้ยากี้ และคารามิโซะ ซึ่งน้ำซุปแต่ละอย่างมีเอกลักษณ์และรสชาติที่แตกต่างกันดังนี้
“น้ำจิ้มปอนสึและเครื่องเคียง‘
”เซซามิซอส”
“นำเนื้อคีบลวกประมาณ 3-4 ที”
เริ่มด้วยน้ำซุป “ชาบูชาบู” เป็นน้ำซุปสูตรดั้งเดิมจากญี่ปุ่น ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติเพื่อรสชาติที่กลมกล่อมตามธรรมชาติ การทานน้ำซุปชาบูชาบูจะเน้นไปที่รสชาติของเนื้อ ที่ทานคู่กับทานคู่กับน้ำจิ้ม “ปอนสึ” ที่มีรสชาติเปรี้ยวนำสไตล์ญี่ปุ่น หรือ ”เซซามิซอส” ที่ทำจากงา,น้ำมันงา, วอลนัท และพีนัท เวลาทานแล้วจะสัมผัสได้ถึงความหอมหวานมันเครื่องเคียง 2 ชนิดที่ทานคู่กับน้ำจิ้มปอนสึคือ หอมซอย และหัวไชเท้าบดผสมซอสพริกญี่ปุ่น (โมมิจิโอโรชิ) รสชาติไม่เผ็ดมาก แนะนำให้ใส่ลงในน้ำจิ้มปอนสึนิดๆ ส่วนเซซามิซอส สูตรแนะนำของร้านคือไม่ต้องผสมอะไรก็อร่อยแล้ว แต่ถ้าชอบให้เข้มข้นขึ้นนิดนึง บางคนอาจจะผสมพริกกับกระเทียมลงไปก็ได้วิธีการทานชาบูให้อร่อย ไม่ซุปไม่ควรเดือดมาก คีบเนื้อลงลวกสัก 3-4 ที ไม่ต้องนานมาก เพื่อให้รสชาติความฉ่ำของเนื้อยังอยู่ไม่หายไปไหน แล้วทานคู่กับน้ำจิ้มพอนสึและเซซามิซอส เพียงแค่นี้ก็อร่อยแล้ว
“น้ำจิ้มชั้นเลิศสำหรับซุปสุกี้ยากีี้คือไข่ไก่”
“ตัวไข่จะเคลือบเนื้อ ทำให้รสชาตินุ่มลิ้น” ต่อด้วยน้ำซุป “สุกี้ยากี้” น้ำซุปดำ รสชาติออกหวานเค็ม สำหรับการทานน้ำซุปสุกี้ยากี้ให้อร่อยนั้นให้เอาหมูกับเนื้อลงไปแช่ในน้ำซุปสักพักให้เข้าเนื้อ แล้วจิ้มกับไข่ดิบที่เป็นน้ำจิ้มชั้นเลิศ ตัวไข่จะเคลือบเนื้อทำให้มีรสชาติที่นุ่มลิ้นสุดๆ ใครที่ไม่กล้าทานไข่ดิบก็ไม่ต้องกลัวเพราะไม่มีกลิ่นคาวเลย ทำให้ทานง่ายแถมไข่ยังได้ถูกคัดสรรมาอย่างดีรับรองว่าสะอาดและปลอดภัยแน่นอนสำหรับใครที่สั่งน้ำซุปสุกี้ยากี้ อาจสงสัยว่าเหยือกเซรามิก 2 อัน ที่เสิร์ฟมาพร้อมน้ำซุปคืออะไร ก็ไม่ต้องสงสัยเพราะภายในเหยือกทั้งสองเป็นน้ำซุปสุกี้กับน้ำเปล่าให้เติม เพราะพอเวลาต้มไปนานๆน้ำซุปจะเข้มข้นและเค็มจนเกินไป ให้เราเติมน้ำเปล่าลงไปก็จะทำให้ซุปกลับมามีรสชาติเข้มข้นแบบพอดีและสุดท้ายน้องใหม่น้ำซุป “คารามิโซะ” ซุปเผ็ดสไตล์ญี่ปุ่นที่ทำจากเห็ดสารพัดชนิด ไว้ทานคู่กับน้ำจิ้มคารามิโซะสูตรเฉพาะของทางร้าน เป็นน้ำซุปรสชาติใหม่ที่แนะนำให้ลองทานกัน
“เนื้อวัวสีแดงสดถูกนำเข้าจากออสเตรเลีย”
“เนื้อหมูคุโรบูตะสุดแสนจะนุ่ม”
การทาน Shabu-Shabu & Sukiyaki ให้อร่อยไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำซุปและน้ำจิ้มเท่านั้น อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การทานชาบูให้อร่อยนั่นคือ “เนื้อที่มีคุณภาพ” เนื้อวัวของทางร้านจะสั่งนำเข้าจากฟาร์มที่ออสเตรเลียจากวัวสายพันธุ์ดีที่เลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ตามธรรมชาติ เพื่อให้ได้เนื้อที่มีคุณภาพสูง เหมาะแก่การรับประทาน ส่วนเนื้อหมูทางร้านได้เลือกคุโรบุตะซึ่งเป็นหมูสายพันธุ์ญี่ปุ่น และมีความนุ่มและละเอียดกว่าหมูทั่วไป ซึ่งทั้งหมูและเนื้อของทางร้านเป็นส่วนของ Chuck Roll ซึ่งเป็นส่วนที่เหมาะสำหรับการทานชาบูมากที่สุด
“ผักนานาชนิด”
“เส้นราเมง”
“เส้นอุด้ง”
ผักก็มีให้เลือกมากกว่า 20 ชนิด โดยไม่จำกัดปริมาณ และถูกคัดมาแล้วอย่างดีว่าสดสะอาดถูกหลักอนามัย อาทิเช่น ผักกาดขาว, เห็ดเข็มทอง, เห็ดหอมสด, เห็ดแอรินงิ (ออรินจิ), เต้าหูขาว, ฟองเต้าหู้, และยังมี “วุ้นเส้นญี่ปุ่น” ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของร้าน เป็นวุ้นเส้นที่ถึงทิ้งไว้นานๆจะไม่อืดไม่เละ ตัวเส้นจะยังเหนียวนุ่มเหมือนเดิม เหมาะที่จะทานกับน้ำซุปสุกี้เป็นที่สุด เพราะน้ำซุปจะแทรกซึมเข้าเนื้อวุ้นเส้นทำมีรสชาติของน้ำซุปสุกี้แถมยังเหนียวหนึบเคี้ยวกันเพลินๆ นอกจากวุ้นแล้วยังมีเส้นอุด้งกับราเมงที่อร่อยไม่แพ้กัน
“ไก่ไม้ไผ่”
อิ่มของคาวกันไปแล้วถึงเวลาของหวานกันบ้าง ถ้าใครจัดเต็มแบบ Party Course อาหารเหล่านี้จะรวมอยู่ในราคา 539++ บาทแล้ว แต่ถ้าใครกินแบบ All-You-Can-Eat กับ Mix Course นั้น สามารถสั่งเป็นของหวานเพิ่มเติมได้ โดยของหวานแต่ละอย่างราคาเพียง 39++ บาทเท่านั้น
“ไดฟุกุ”
ไดฟุกุชิ้นใหญ่ เหนียวนุ่มหนึบหนับ มีให้เลือกทานถึง 8 รสชาติด้วยกัน ได้แก่ งาดำ, ถั่วแดง, คัสตาร์ด, สตรอเบอร์รี่, ช็อกโกแลต, ชาเขียว, เผือก และเนยถั่ว
“ไอศกรีมเชอเบทบ๊วยและมะม่วง”
“ไอศกรีมซอยมิลค์ชาเขียว, งาดำ, และวานิลลา”
หรือจะเลือกทานไอศกรีมหวานเย็นชุ่มฉ่ำใจ เสิร์ฟมาในไหญี่ปุ่นรูปทรงสวยงาม โดยไอศกรีมแต่ละชนิดทำมาจากนมถั่วเหลืองซึ่งดีต่อสุขภาพ สามารถเลือกอร่อยได้ถึง มี 5 รสชาติ ได้แก่ ชาเขียว, งาดำ, วานิลา, บ๊วย และมะม่วง
ปัจจุบัน Mo-Mo-Paradise มีให้เลือกอร่อยทั้งหมด 6 สาขา (02-646-1055)และนอกจากนี้ยังมีโครงการจะเปิดอีกหลายสาขาในอนาคต