ถ้าคนเรามี Love Language ที่ร่างกายจะตอบสนองเมื่อรู้สึกถึงความรักที่เข้ากับตัวเรา แล้วทำไมเราจะมี Stress Language ไม่ได้คะ เจ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นอัตโนมัติเมื่อร่างกายเรารู้สึกไม่ปลอดภัย
เวลาเจอปัญหาอะไรสักอย่าง Keyword แรกที่ผุดในสมองอาจจะเป็นคำว่า “โลกใหม่ใกล้ฉัน” หรืออาจจะเลือกวิธีโต้กลับแบบสุดแรง สาดอารมณ์ก่อนค่อยตั้งสติ หรือกลายเป็นคนน่ารัก ปากหวาน ทั้้งที่ตอนปกติก็ไม่ได้ปากหวานขนาดนั้น?
.
มันไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลกอะไร แต่ถ้าทำความเข้าใจกระบวนการนี้ได้ อาจจะทำให้เราเลิกโทษตัวเองและเข้าใจตัวเองมากขึ้น Beauty Story Ep. นี้ขอชวนทุกคนมาเข้าใจภาษาความเครียดของตัวเองกันค่ะ
.
(1.) 4 ภาษาแห่งความเครียด บางคนสู้ตาย แต่บางคนยืนเป็นหิน
เรามาจำลองสถานการณ์กันหน่อยดีไหมคะ สมมติว่าเรากำลังประชุมกับหัวหน้า แล้วโดนยิงคำถามขึ้นมา
กระทันหันว่า “มีอะไรจะแชร์ไหม?” แทนที่เราจะตอบกลับ แต่สมองตอนนั้นกลับขาวเป็นกระดาษเปล่า ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้คำตอบ แต่ดันมีอาการมือเย็น ใจเต้นแรง นี่แหละค่ะคืออาการ “Freeze”
เวลาร่างกายเข้าสู่ภาวะเครียด สมองของเราจะสั่งให้เลือก “ทางรอด” ที่คุ้นเคยโดยอัตโนมัติ ซึ่งในทางจิตวิทยาเรียกว่า Fight, Flight, Freeze, Fawn หรือสี่ภาษาแห่งความเครียด
.
Fight (สู้) : ตอบโต้ทันที เสียงดัง เกรี้ยวกราด
ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เราเจอมาโดยตรง เพื่อนร่วมงานจากที่ทำงานเก่าโต้ตอบกับหัวหน้าเมื่อถูกขอให้สรุปบรีฟผู้กำกับด่วนว่า “ขอเวลาพิมพ์ก่อนได้ไหมคะ พี่ก็ฟังบรีฟพร้อมหนูเมื่อกี้เอง!” นั่นแปลว่า
สมองของเขาจัดการเข้าสู่ Fight Mode ไปเรียบร้อย
.
Flight (หนี) : ตัดการสื่อสาร หายไปจากพื้นที่สนทนา
เราเองก็เป็นเหมือนกันนะ เวลาเราถูกบรรดาญาติจี้ถามในวันตรุษจีนว่า "เมื่อไรจะมีลูก" “เมื่อไรจะแต่งงาน” “ไปทำอะไรมาทำไมอ้วนจัง” โอ้โห แต่ละคำถามช่างน่ารักน่าสนทนาด้วยซะจริง
เราเลือกที่จะหนีออกจากวงสนทนา ทำเป็นยุ่งกับมือถือ หรือเข้าห้องน้ำหนีจากวงสนทนาญาติ
.
Freeze (นิ่ง) : ชะงัก อึ้ง พูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก
เราจะเห็นบ่อย ๆ ในหนัง ที่พอตัวร้าย สัตว์ประหลาด หรือซอมบี้บุก บางตัวละครจะชอบมองเฉย ๆ ช็อคแล้วหยุดนิ่งจนคนดูอย่างเรา ๆ หงุดหงิดไปตาม ๆ กัน
.
Fawn (เอาใจ) : ยอมทุกอย่าง ขอแค่สถานการณ์จบเร็ว
ในหนัง “The Devil Wears Prada” ตอน Andrea โดน Miranda กดขี่สารพัด แต่ยังพยายามยิ้ม จำชื่อแขกแทนเจ้านาย รีบเอาต้นฉบับนิตยสารไปวางในบ้านให้ตอนดึก หาต้นฉบับ Harry Potter ตอนยังไม่ตีพิมพ์รีบส่งไปให้ลูกแฝดนางก่อนพรุ่งนี้ ถึงจะทำงานเกิน Job Description ไปไกล แต่ที่ยอมทั้งหมดก็เพื่อเอาตัวรอด ไม่ใช่เพราะอยากได้ใจเจ้านายนะคะ แต่เพราะกลัวโดนเขี่ยทิ้ง จนจบฝันตัวเอง!
.
(2.) เมื่อการเอาใจคือกลยุทธ์เอาตัวรอด ไม่ใช่นิสัยน่ารัก
ถ้าเรามามองในสังคมไทย การถูกปลูกฝังการใช้ Stress Language ก็อาจจะมาในรูปแบบสุภาษิตที่ผู้ใหญ่สอนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” แปลง่าย ๆ ว่าเงียบไว้ดีกว่า เดี๋ยวจะลำบากตัวเอง หรือพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่แค่คำพูดลอย ๆ แต่คือหนึ่งในหลักคิดที่ฝังรากอยู่ในวัฒนธรรมไทยมานานจนทำให้ใครหลายคนเติบโตมากับความเชื่อว่า การนิ่งคือความดี และ การยอมคือความน่ารัก
ถ้าจะให้ชัดกว่านั้น คือคำที่ผู้ใหญ่บอกว่า “นิ่ง อย่าเถียง” หรือ “เป็นผู้หญิงก็ต้องยอมบ้าง” แสดงให้เห็นว่า Fawn น่าจะเป็นกลไกยอดฮิตในวัฒนธรรมไทย
เด็ก ๆ จำนวนมากถูกปลูกฝังให้เก็บความรู้สึก อย่าตอบโต้ อย่าโต้เถียงผู้หลักผู้ใหญ่ หรือถ้าใครพูดมากหน่อย ก็มักจะโดนว่าเป็นคนแรง เป็นคนไม่น่ารัก จนสุดท้ายเราซึมซับนิสัยที่มักจะปรับเรื่องที่ไม่สบายใจเข้ามาแล้วเปลี่ยนเป็นคำว่า “ไม่เป็นไรหรอก” หรือ “เราโอเค”
.
ถึงการที่เรายอมบ้าง หรือยืดหยุ่นบ้างไม่ใช่เรื่องไม่ดีเสมอไป แต่อยากให้รู้ว่าบางครั้งความใจเย็นเกินเหตุ หรือการเอาใจจนลืมตัวเอง มันไม่ใช่คุณสมบัติของคนดี แต่มันคือสิ่งที่คนผ่านบาดแผลทางใจใช้เพื่อเอาตัวรอด
จากงานวิจัยของ Pete Walker นักจิตบำบัดผู้เขียนหนังสือ Complex PTSD: From Surviving to Thriving อธิบายว่า คนที่ถูกเลี้ยงดูในระบบที่มีพลังอำนาจไม่เท่าเทียม (Power Imbalance) มักจะพัฒนา Fawn Response โดยไม่รู้ตัวเพื่อเอาตัวรอด มันไม่ใช่เรื่องของนิสัย แต่มันคือผลลัพธ์ของการเอาชีวิตรอดในระบบที่เราไม่มีเสียง
ทีนี้พอมันฝังรากลึกในวัฒนธรรม เช่น โดนแฟนด่าแต่ไม่กล้าพูดอะไรกลับ กลัวพูดไปจะยิ่งแย่ กลายเป็นเราพยายามทำให้ความเจ็บปวดเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเจอ โดยคิดว่ามันคือความอดทน ทั้งที่จริงคือร่างกายเราพยายามปกป้องเราอยู่
.
(3.) ฉันไม่ได้เย็นชา แค่ยังหาทางตอบสนองไม่เจอ
หลังการทะเลาะกันครั้งใหญ่ของคู่รักคู่หนึ่ง ฝ่ายชายถามหญิงสาวว่าไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ? แต่สิ่งที่หญิงสาวทำ กลับเป็นการนั่งนิ่ง ๆ มองคู่รักของตัวเองและปิดปากเงียบ
ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึก แต่เพราะปัญหาที่ประดังประเดเข้ามาพร้อมกันทำให้เธอรู้สึก “เยอะเกินจะรับมือ” จนเธอพูดไม่ออก ทั้ง ๆ ที่ความจริงหญิงสาวก็มีความรู้สึกไม่ต่างไปจากคู่รัก หนำซ้ำอาการทางร่างกายอย่างหัวใจเต้นแรง มือเย็น สมองขาวโล่งก็เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แปลว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนเฉยชา แต่ร่างกายของเธอเข้าสู่ Freeze Mode เพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์คุกคามตรงหน้า
.
แต่ใครจะมองออกล่ะ ว่าความเงียบของหญิงสาว ไม่ได้แปลว่าเธอไม่รู้สึกอะไร
ระบบประสาทของเรารับความเครียดไม่เท่ากัน
Bessel van der Kolk นักจิตวิทยาจาก Boston University ได้กล่าวไว้ว่า “Trauma is not the story of something that happened to you. It's the story of how your body responded to it.”
“บาดแผลทางใจนั้น ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าของสิ่งที่เคยผ่านมา ทว่าเป็นเรื่องราวของการปรับตัวและการตอบสนองของร่างกายต่อประสบการณ์เหล่านั้น”
.
ซึ่งไม่ใช่เรื่องของนิสัย ไม่ใช่เรื่องว่าใครอ่อนแอ แต่มันคือหนทางเอาตัวรอด ของร่างกายที่ยังจำเรื่องเก่า ๆ ได้แม่นยำ แม้ใจจะพยายามลืมไปแล้วก็ตาม
เพราะงั้นเราเลยไม่ควรตัดสินใครจากปฏิกิริยาภายนอก แม้แต่ตัวเราเองก็เถอะ เราไม่ได้เย็นชา เราแค่ต้องการเวลาเพื่อประมวลผล
เราเองก็เคย Freeze ตอนหัวหน้าถามในห้องประชุม แต่พอออกจากห้องน้ำถึงเพิ่งคิดคำตอบได้ ซึ่งหลัง ๆ ถึงรู้ว่ามันไม่ใช่ความ “โง่” ของของเราเองจ้า แต่มันคือระบบประสาทของเรา Shut down ชั่วคราว หลังจากนั้นเลยส่งแมสเซจไปอธิบายหัวหน้าใหม่เป็นข้อ ๆ ซึ่งเขาก็รับฟังและเข้าใจนะ
.
(4.) จะดีหรือร้าย ก็อยู่ที่เรารู้ทันมันหรือเปล่า
ถึง Stress Language จะเป็นกลไกสุดซื่อสัตย์ที่ช่วยให้เราเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตึงเครียดได้ แต่ถ้าเรา Response ผิดวิธี แทนที่วิธีการนี้จะเป็นตัวช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น อาจได้ผลตรงกันข้าม เมื่อโดนคุกคาม เราอาจหยิบวิธี Fight เพื่อโต้กลับ แต่ถ้าใช้วิธีนี้ในทุกเวลาอาจทำให้คุณติดนิสัย และกลายเป็นคนอารมณ์ร้ายโดยไม่รู้ตัว
คุณ Bessel van der Kolk ยังกล่าวอีกว่า ความเข้าใจกลไกเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูตัวเอง
เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทันที แค่เริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นแบบไหน ก็คือการเริ่มดูแลใจตัวเองแล้วค่ะ
.
เราอยากให้คุณจำไว้อย่างหนึ่งค่ะว่า
เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะเครียดหรือไม่เครียด แต่เราเลือกได้ว่าจะรับมือกับความเครียดอย่างไร
ภาษาความเครียดไม่ใช่จุดอ่อน แต่มันคือแผนที่ลับที่บอกว่าเราเคยผ่านอะไรมาบ้างในชีวิต การรู้จัก Stress Language คือ Fight, Flight, Freeze, Fawn ไม่ใช่แค่เพื่อเข้าใจตัวเองในอดีต
.
แต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นในอนาคต วิธีการเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือให้คุณเลือกใช้ จะสู้กลับ หนีไปตั้งหลัก นิ่งไว้ก่อน หรือจะเอาใจ ขอแค่ตั้งสติสักนิดแล้วหยิบวิธีเหล่านี้มาใช้ให้ถูกสถานการณ์ จะได้ไม่ฝืนตัวเองและไม่ทำร้ายจิตใจคนรอบข้างอีก
เพราะการรู้ทันร่างกาย คือของขวัญที่เราค่อย ๆ แกะมันทีละชั้นเพื่อเข้าใจว่า “ฉันรอดมาได้อย่างไร” และ “จากนี้ ฉันจะอยู่อย่างไรให้ใจยังรักตัวเองอยู่” ไปพร้อม ๆ กันค่ะ
ถ้าคุณพี่อ่านแล้วอิน อยากรู้ว่าตัวเองเป็นเลือกใช้วิธีไหนบ่อย ลองแชร์ ลองคอมเมนต์ในบทความ Beauty Story นี้หรือแท็กเพื่อนที่ใช้ Stress Language เหมือนกันมาอ่านบทนี้ไปพร้อมกันนะคะ
—------------
References
Pete Walker. (2013). Complex PTSD: From Surviving to Thriving: A Guide and Map for Recovering from Childhood Trauma. From Paperback.
Bessel van der Kolk, M.D. (2014). The Body Keeps the Score. From Penguin Publishing Group
ณิชากร ศรีเพชรดี. (2019), ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก. จาก https://tinyurl.com/ywrjanxn
Olivia Guy-Evans, MSc. (2023). Fight, Flight, Freeze, or Fawn: How We Respond to Threats. From https://tinyurl.com/2fmfa9ty
Lindsay Braman. (2024). How We Fight, Flight, Freeze and Fawn in Difficult Conversations: Adapting A Learning Mindset. From https://tinyurl.com/yfym2csx
.
อ่านบทความที่น่าสนใจอื่น ๆ ได้เลยที่ :
- ดีอยู่แล้วเปลี่ยนทำไม? เมื่อ ‘เจ้าหญิง Disney’ ต้องปรับตัวให้เท่าเทียม
https://www.wongnai.com/articles/disney-princess-beauty-story?ref=ct - ขนกีกี้ยังต้องมีอยู่ไหมคะ ไม่มีขน = สะอาด เซ็กซี่?
https://www.wongnai.com/articles/beauty-story-hairwaxing-vagina?ref=ct - รับมืออาการ “ใจสลาย” เมื่อคนที่เราชอบไม่เป็นอย่างที่คิด
https://www.wongnai.com/articles/brokenheart-howto-ease?ref=ct
.
#Wongnai #WongnaiBeauty #BeautyStory #จิตวิทยา #StressLanguage #FightFlightFreezeFawn #TraumaResponse