#วงในบอกมา
- ร้านมาในคอนเซปต์ “Charoenkrung Contemporary” ทั้งบรรยากาศเสน่ห์ความเก่าย่านเจริญกรุง และการตกแต่งร่วมสมัย รวมไปถึงเมนูอาหารที่ประยุกต์วัตถุดิบท้องถิ่นไทยกับอาหารอิตาเลียนเวสเทิร์น
- รูฟท็อป “Top Knot” มี Double Space ชั้นลอยเป็นโซน Outdoor โดยจะเปิดตั้งแต่เวลา 18:00 น.เป็นต้นไป และมีการแสดงดนตรีสดทุกวันพฤหัส - ศุกร์
- เมนูแนะนำ “Grilled Tiger Prawn Watermelon Salad” สลัดแตงโมที่รับแรงบันดาลใจจากเมนูแตงโมปลาแห้ง ในสมัยรัชกาลที่ 5 นำมาประยุกต์เป็นสลัดแนวอิตาเลียนที่กินกี่ครั้ง ก็เติมความสดชื่นได้เป็นอย่างดี

ดื่มด่ำบรรยากาศย่านเจริญกรุงพร้อมชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาบนรูฟท็อปโรงแรม และเต็มอิ่มกับอาหารอิตาเลียนที่ประยุกต์กับวัตถุดิบท้องถิ่นไทยอย่างลงตัว ภายใต้คอนเซปต์ “Charoenkrung Contemporary” ที่ห้องอาหาร “Top Knot” บนรูฟท็อปโรงแรม Hotel Once Bangkok ชั้น 8-9 งานนี้เต็มอิ่มทั้งอาหารและบรรยากาศจนประทับใจไม่รู้ลืม :)

แน่นอนว่าการมาเยือนย่านเจริญกรุง หลาย ๆ คนคงอยากสัมผัสกลิ่นอายของเมืองเก่าที่ถือเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว จนอยากซึมซับแบบเต็มที่ ซึ่งทางห้องอาหาร “Top Knot” จึงเลือกนำเอาจุดเด่นความคลาสสิกของย่านเจริญกรุงมาผสานเข้ากับความโมเดิร์น จึงออกมาเป็นคอนเซปต์ “Charoenkrung Contemporary” ที่เน้นความโมเดิร์นคลาสสิก ทั้งการตกแต่งและเมนูอาหาร โดยนำเอาวัตถุดิบท้องถิ่นของไทยมาประยุกต์กับอาหารอิตาเลียนเวสเทิร์นอย่างลงตัว

บรรยากาศโซน Indoor ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน Glass House เน้น Botanical Style ประหนึ่งสวนสไตล์อังกฤษ เน้นโทนสีเขียวตัดกันกับสีเข้ม ช่วงกลางวันจะมีแสงธรรมชาติส่องผ่าน ได้ความรู้สึกสบาย ๆ อีกแบบ หรือจะเป็นช่วงกลางคืนในบรรยากาศ Outdoor โดดเด่นด้วยตกแต่งแบบโมเดิร์นอาร์ตเดโค พร้อมความสะดวกสบายด้วย Artical Open Space สามารถเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ตอบโจทย์ทุกการจัดเลี้ยง อีกทั้งเพิ่มความสุนทรีย์ด้วยการแสดงดนตรีสดทุกวันพฤหัส - ศุกร์ ให้นั่งกินอาหาร จิบเครื่องดื่ม และนั่งฟังเพลงชิลล์ ๆ

สำหรับเมนูซิกเนเจอร์ที่ต้องพูดถึงเป็นตัวแรก “35 Days House Dry-Aged Beef Rib Eye Steak” (440++ บาท 200g) ทางร้านเลือกใช้เนื้อ Rib-Eye ที่ Dry-Aged ด้วยกรรมวิธีเฉพาะของทางร้านเองที่ระยะเวลา 35 วัน ทำให้ได้ความเข้มข้นของรสชาติซับซ้อนขึ้น นุ่มขึ้น หอมขึ้น จากนั้นนำมาปรุงด้วยเครื่องเทศและสมุนไพรไทย ที่ประทับใจคือความดีงามของกลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้าย ๆ ใบเตย แทรกอยู่ในแต่ละคำที่กินเนื้อมาพร้อมซอสเกรวี เปปเปอร์คอร์น และน้ำจิ้มแจ่ว ถือเป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่ต้องลิ้มลองจริง ๆ

ถัดมาเป็นเมนูแนะนำที่ไม่ว่าใครก็ต้องสั่ง “Grilled Salmon Lemon Butter Sauce” (380 บาท) ความน่าสนใจของเมนูนี้คือการดึงเอาเอกลักษณ์ของอาหารฝรั่งเศสมาชูโรงด้วยกลิ่นหอม ๆ ของเนยและเลมอน อีกทั้งดึงรสชาติของไวน์และแบล็กโอลีฟออกมาจนได้ความหวานปนเค็มกำลังดี ยิ่งนำมากินคู่กันกับแซลมอนนอร์เวย์ ปรุงสุกด้วยการ Sous Vide ก่อนนำไปกริลล์ระดับมีเดียม ทำให้รสชาติเข้มข้น นุ่มชุ่มฉ่ำ ไม่กระด้าง เพิ่มมิติด้วยหนังกรอบ ๆ ด้วยการนำไปจี่ (Seared) จัดว่าเข้ากันได้อย่างดีเยี่ยม

ติดใจเนื้อไม่หาย ขอสั่งมาลิ้มลองอีกสักเมนู “Okonomi Dry-Aged Rib Eye Skewer” (300 บาท) นุ่มเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือแรงบันดาลใจ แน่นอนว่าแค่ชื่อก็เดาได้ว่ารสชาติจะไปทางไหน แต่เดี๋ยวก่อน! สาว ๆ หลายท่านที่ชอบกินสเต๊ก แต่ต้องลังเลว่าจะกินหมดหรือไม่หมดเชิญทางนี้เลยค่ะ เนื้อ Dry-Aged ตัวเดียวกันที่เสิร์ฟมาในรูปแบบบาร์บีคิว โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมของเนื้อและเครื่องเทศตอนยกมาเสิร์ฟ เวลากินได้รสชาติหวานจากน้ำผึ้งที่ผสานกันอย่างลงตัวกับซอสเปรี้ยวที่กินกี่คำ ก็ฟินล้ำทุกอณู

มากันที่เมนูโปรดของใครหลาย ๆ คน “Spaghetti Bacon & Garlic With Onsen Egg” (250 บาท) เพิ่มอีกมิติในการกินสปาเกตตี ด้วยไข่ออนเซ็น โดยไข่ผ่านการ Sous Vide ที่อุณหภูมิ 62 องศา นาน 2 ชม. เป็นการทำให้ไข่ค่อย ๆ สุกในระบบสูญญากาศ จนไข่แดงเป็นซอสลาวา เวลากินจึงได้ความมัน ความละมุน และกลมกล่อมมากขึ้นไปอีก!


ต่อด้วยเมนูที่รีเฟรชชิงได้เป็นอย่างดี สำหรับความสดชื่นที่จับต้องได้อย่าง “Grilled Tiger Prawn Watermelon Salad” (450 บาท) เมนูนี้ได้แรงบันดาลใจจากแตงโมปลาแห้ง ก่อนจะนำมาทำเป็นเมนูเวสเทิร์นสตรีท ที่เลือกใช้แตงโมรสหวานฉ่ำ เพื่อให้ได้กลิ่นอายความเป็นเอเชีย พร้อมคลุกเคล้ากับน้ำสลัดเดรสซิงรสขิงและงา พร้อมท็อปด้วยอัลมอนด์สไลซ์เพิ่มเทกซ์เจอร์ความกรุบกรอบ

ปิดท้ายด้วยของหวานสูตรโฮมเมด “Tiramisu” (190 บาท) ความพิเศษคือตัว Lady Finger ที่เชฟรังสรรค์ขึ้นเอง รสสัมผัสมีความหนึบอีกทั้งเลือกใช้ครีมอย่างดีมาทำ จึงทำให้มีความละมุนในทุกคำที่ได้ลิ้มลอง ถัดมาเป็นอีกเมนูที่เชฟแนะนำ “Apple Tatin” (190 บาท) กรุบกรอบด้วยครัมเบิลที่หอมเนย ที่ผสมกับน้ำตาลทรายแดง และคัสตาร์ดตีสดกับวานิลลา กินคู่กับไอศกรีมช็อกโกแลตสตรอว์เบอร์รี ความเข้มข้นและขมกำลังดี ตัดเลี่ยนได้เป็นอย่างดี


หลังจากกินจนครบทุกเมนู ต้องบอกเลยค่ะว่าอิ่มหนำ และได้สัมผัสบรรยากาศของ “Charoenkrung Contemporary” ได้อย่างจุใจจริง ๆ ยิ่งตอนเย็นขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ตก พร้อมนั่งรับลมชิลล์ ๆ ฟังดนตรีสดยามค่ำคืน ถือเป็นการพักผ่อนในกรุงเทพฯ ที่สร้างความสุขได้อย่างง่ายดายบนรูฟท็อปโรงแรม “Top Knot” ชั้น 8 - 9 Hotel Once Bangkok
การเดินทาง
ใครกำลังมองหาร้าน Rooftop เจริญกรุง หรือร้านอาหารโรงแรม เจริญกรุงอยู่ขอแนะนำ “Top Knot” ชั้น 8-9 Hotel Once Bangkok ตั้งอยู่ที่ ถ.เจริญกรุง ซอย 72/2 กรุงเทพฯ สามารถเดินทางได้โดยรถยนต์ส่วนตัว ทางโรงแรมมีจอดรถให้ฟรีค่ะ หรือหากใครเดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS สะพานตากสิน ต่อรถมาอีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงตัวโรงแรมค่ะ