แจกตาราง Beauty Routine ปั้นร่างทองใน 3 Weeks สวยฉ่ำรับปี 2025!
  1. แจกตาราง Beauty Routine ปั้นร่างทองใน 3 Weeks สวยฉ่ำรับปี 2025!

แจกตาราง Beauty Routine ปั้นร่างทองใน 3 Weeks สวยฉ่ำรับปี 2025!

เป็นคนใหม่ใน 3 สัปดาห์! แจกตารางปั้นร่างทองก่อนปีใหม่ ครบจบทั้งผิวและผม งานนี้ใครอยากดูดีก่อนปีใหม่ บอกเลยว่าไม่ควรพลาด!
writerProfile
17 ธ.ค. 2024 · โดย

ในช่วงสิ้นปีแบบนี้ สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงนอกจากวันหยุดยาว ก็คงจะหนีไม่พ้นเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ในช่วงต้นปี และหนึ่งในเป้าหมายสุดฮิตตลอดกาล คือ “การเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้น” ซึ่งไม่ใช่แค่ทัศนคติในการใช้ชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นการพัฒนาบุคลิกภายนอกให้ดูดีขึ้นด้วย

ถึงแม้ว่าจะเหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนก็จะเข้าสู่ปีใหม่แล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงตัวเองของทุกคนจะไม่สำเร็จ เพราะวันนี้ Wongnai Beauty จะมาแจกตาราง Beauty Routine ปั้นร่างทองใน 3 Weeks ให้สวยทันก่อนวันปีใหม่ ถ้าอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร ก็รีบตามมาดูกันเลยค่ะ

แจกตารางสระผม 7 วัน เพื่อผมสวยเงางามขั้นสุด!

ปีใหม่, ผิว, ผม, Beauty Routine

ตารางสระผม คืออะไร

เริ่มต้นแพลนเปลี่ยนเป็นคนใหม่ด้วยการจัดตารางสระผม หลายคนอาจกำลังสงสัยว่าจะสระผมทั้งทีต้องมีตารางสระผมด้วยเหรอ แล้วตารางสระผม คืออะไร? ขออธิบายแบบสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ใจความว่า ตารางสระผม คือ กำหนดการสระผมที่จัดทำขึ้นใน 7 วัน และทำจนเป็นกิจวัตร ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความถี่ หรือลำดับในการดูแลเส้นผมที่แตกต่างกันออกไป

ข้อดีของการจัดตารางสระผม

  • ช่วยป้องกันการระคายเคืองของหนังศีรษะ และปัญหาเส้นผมแห้งกร้าน เปราะขาดง่าย จากการสระผมบ่อยเกินไป
  • ช่วยรักษาระดับน้ำมันและความชุ่มชื้นของหนังศีรษะให้สมดุล
  • ช่วยเสริมความแข็งแรงให้หนังศีรษะและเส้นผม
  • ลดปัญหาผมร่วง ผมมัน และรังแค

แจกตารางสระผม 7 วัน สำหรับเส้นผมแต่ละประเภท

ในการจัดตารางสระผม สิ่งแรกที่ทุกคนควรคำนึงถึงคือ “ประเภทเส้นผม” และ “ปัญหาเส้นผม” ของตัวเอง โดยเราสามารถจัดตารางความถี่ในการสระผม เพื่อให้เหมาะกับเส้นผมแต่ละประเภทได้ ดังนี้

  • ผมมัน : คนที่มีปัญหาผมมัน ไม่ควรสระผมบ่อย หรือสระผมทุกวัน เพราะการสระผมทุกวันจะทำให้ต่อมไขมันบนหนังศีรษะผลิตซีบัม (Sebum) หรือไขมันจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่เส้นผมและหนังศีรษะออกมามากเกินไป จึงทำให้ผมมันง่ายนั่นเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรเว้นระยะเวลาสระผมนานเกินไป ซึ่งความถี่ในการสระผมที่ดีที่สุดของคนผมมัน คือ “สระผมวันเว้นวัน” หรือสระทุกครั้งหลังออกกำลังกาย รวมถึงการทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออกเยอะ
  • ผมแห้งเสีย เปราะขาดง่าย : ชาวผมแห้งเสีย เปราะขาดง่าย มักมีเส้นผมที่ค่อนข้างอ่อนแอ และต้องการการบำรุงมากเป็นพิเศษ แต่การสระผมทุกวันก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด เพราะอาจเป็นการรบกวนเส้นผมและหนังศีรษะมากเกินไป รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาผมขาดร่วงตามมาได้ จึงแนะนำให้ “สระผมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง”
  • ผมหยิก หรือผมหยักศก : หนึ่งในปัญหาที่คนผมหยิก หรือผมหยักศกพบบ่อย คือ “ผมชี้ฟู จัดทรงยาก” หลังสระผม นอกจากต้องใช้เวลานานในการจัดแต่งทรงผมให้อยู่ทรงสวยแล้ว ยังอาจเจอปัญหาผมชี้ฟูระหว่างวันด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาผมแห้งเสียร่วมด้วย ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้ “สระผมเพียงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง” เพื่อรักษาความสะอาดของหนังศีรษะและเส้นผม โดยไม่ทำให้ผมแห้งเสียและชี้ฟู

แจกตาราง Skin Streaming ใช้น้อยแต่ผิวดีมาก!

ปีใหม่, ผิว, ผม, Beauty Routine

Skin Streaming คืออะไร?

Skin Streaming คือ การลดจำนวนสกินแคร์ หรือลดขั้นตอนการบำรุงผิวให้น้อยลง โดยเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมความต้องการของผิวเราเพียงไม่กี่ตัว เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Skin Streaming ใช้น้อยแต่ผิวดีมาก!

อะไรที่มากเกินไปก็อาจจะไม่ดี เช่นเดียวกับการดูแลผิวหน้า ด้วยเหตุนี้จึงมีการคิดค้นสิ่งที่เรียกว่า Skin Streaming หรือการลดขั้นตอนสกินแคร์รูทีนให้น้อยลง และเลือกใช้สกินแคร์เพียง 4 ตัว ดังนี้

  • คลีนเซอร์ : ในแต่ละวันผิวหน้าของเราต้องเจอกับฝุ่นละออง มลภาวะ รวมถึงสิ่งสกปรกที่มองไม่เห็น เพราะฉะนั้นจึงควรเริ่มต้นรูทีนด้วยคลีนเซอร์ ที่ช่วยขจัดสิ่งสกปรกเพื่อให้ผิวหน้าสะอาดหมดจด และพร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนถัดไป
  • เซรั่ม : ควรเลือกเซรั่มที่ตอบโจทย์กับปัญหาผิวหน้าของตัวเอง ซึ่งหนึ่งในเซรั่มที่แพทย์ผิวหนังส่วนใหญ่แนะนำ คือ เซรั่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซี ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีและมลภาวะ ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดริ้วรอย พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน และกระจ่างใสขึ้น
  • มอยส์เจอไรเซอร์ : ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความชุ่มชื้นคือพื้นฐานของผิวมีสุขภาพดี ดังนั้นการบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ จึงถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีคุณสมบัติช่วยเติมเต็มและกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว พร้อมเสริมเกราะป้องกันตามธรรมชาติของผิว (Skin Barrier) ให้แข็งแรง
  • ครีมกันแดด : ปิดท้ายรูทีนด้วยการทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ที่ไม่เพียงแค่เป็นต้นเหตุของผิวหมองคล้ำและริ้วรอยเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งผิวหนังด้วย

แจกตาราง Skin Cycling เพื่อผิวกายกระจ่างใสใน 3 Weeks

ปีใหม่, ผิว, ผม, Beauty Routine

Skin Cycling คืออะไร

การหมุนเวียนเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ถูกคิดค้นโดยแพทย์ผิวหนัง อย่าง Dr. Whitney Bowe เธออธิบายว่า Skin Cycling เป็นการจัดตารางหมุนเวียนเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บำรุงผิวก่อนนอนในทุก ๆ 4 คืน โดยมีจุดประสงค์เพื่อหยุดรบกวนผิวเพื่อให้ผิวได้พักผ่อนจากการบำรุงแบบจัดหนักจัดเต็มในแต่ละวัน อีกทั้งยังเป็นการรักษาสมดุลระบบนิเวศบนผิว (Skin Microbiome) ด้วย ซึ่งนอกจากการดูแลผิวหน้าแล้ว ยังสามารถนำเทรนด์ Skin Cycling มาปรับใช้กับการปรนนิบัติผิวกายได้อีกด้วย

Skin Cycling ดีต่อผิวกายอย่างไร?

  • ช่วยให้ผิวกายเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ดูสุขภาพดี
  • ปรับผิวหมองคล้ำให้กระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ช่วยลดการเกิดสิว และการอุดตันในรูขุมขน
  • ริ้วรอย ร่องลึกบนผิวดูจางลง

Skin Cycling เพื่อผิวกายกระจ่างใสใน 3 Weeks

  • คืนที่ 1 : สครับผิว (Exfoliation Night) : เริ่มต้นด้วยการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพให้หลุดออก ด้วยผลิตภัณฑ์สครับผิว โดยแนะนำให้เลือกเม็ดสครับที่ไม่หยาบจนบาดผิว หรือละเอียดจนไม่มีประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิว หลังสครับผิวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรทามอยส์เจอไรเซอร์ตามทันที เพื่อเติมความชุ่มชื้น และปลอบประโลมผิว ขั้นตอนนี้ไม่เพียงแค่ช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ตกค้างในรูขุมขนเพื่อลดการอุดตันเท่านั้น ยังช่วยปรับผิวให้เรียบเนียน พร้อมเปิดรับการบำรุงในค่ำคืนถัดไปด้วย
  • คืนที่ 2 : เรตินอล (Retinol Night) : หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าสามารถใช้เรตินอลกับผิวกายได้เช่นเดียวกัน สำหรับผู้เริ่มต้นควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลในเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำก่อน เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ค่อนข้างเข้มข้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ง่าย โดยเฉพาะคนผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรใช้อย่างระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ซึ่งการใช้เรตินอลในคืนที่ 2 จะช่วยเพิ่มการผลิตเซลล์ผิว พร้อมกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นกระชับ ริ้วรอยดูจางลง และยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นด้วย
  • คืนที่ 3 และคืนที่ 4 : พักผิว (Recovery Night) : ในคืนที่ 3 - 4 เป็นคืนแห่งการพักฟื้นผิวภายหลังจากการบำรุงแบบจัดเต็ม จากผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Active Ingredient ต่าง ๆ โดยแนะนำให้บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวกาย เพื่อเติมความชุ่มชื้น ปลอบประโลมผิว และเสริมเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ให้แข็งแรง

“อาหารเสริม” กินตอนไหน ร่างกายดูดซึมได้ดีที่สุด

ในปัจจุบันคนยุคใหม่หันมาใส่ใจกับการดูแลตัวเองกันมากขึ้นทั้งภายนอกและภายใน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคนมองหาตัวช่วย อย่างวิตามิน และอาหารเสริมต่าง ๆ ที่ช่วยดูแลทั้งสุขภาพและผิวพรรณ ซึ่งวิตามินแต่ละชนิดก็มีช่วงเวลาในการรับประทานที่เหมาะสมต่างกัน หากต้องการให้วิตามินที่รับประทานเข้าไปมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงควรรู้ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานวิตามินชนิดนั้น ๆ 

ปีใหม่, ผิว, ผม, Beauty Routine
  • วิตามินซี (Vitamin C) : ควรรับประทานหลังอาหารเช้า เพราะวิตามินซีบางชนิดมีความเป็นกรด อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ และยังเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินซีได้ดีที่สุดด้วย
  • วิตามินบี (Vitamin B) : ควรรับประทานช่วงท้องว่างก่อนอาหาร 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพราะร่างกายสามารถดูดซึมได้อย่างเต็มที่ แต่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานวิตามินบีช่วงก่อนนอน เนื่องจากอาจกระตุ้นให้ร่างกายและสมองตื่นตัว ทำให้นอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับได้
  • วิตามินอี (Vitamin E) : วิตามินอีละลายได้ดีในไขมัน ด้วยเหตุนี้จึงควรรับประทานวิตามินอีร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เช่น นม โยเกิร์ต อัลมอนด์ หรือถั่วประเภทต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้เต็มที่
  • วิตามินดี (Vitamin D) : ควรรับประทานระหว่างมื้ออาหาร หรือหลังอาหารเช้า หรือเที่ยงไม่เกิน 30 นาที เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะเริ่มดูดซึมสารอาหาร บวกกับไขมันจากอาหารจะมาเป็นตัวทำละลาย ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • วิตามินเอ (Vitamin A) : วิตามินเอสามารถละลายในไขมันได้ดี จึงควรรับประทานระหว่างมื้ออาหารหรือหลังอาหารไม่เกิน 30 นาที เพราะจะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับไขมันในอาหารที่รับประทานเข้าไป
  • วิตามินเค (Vitamin K) : ควรรับประทานระหว่างมื้ออาหารหรือหลังอาหารไม่เกิน 30 นาที เนื่องจากวิตามินเคจัดอยู่ในกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดีนั่นเอง
  • มัลติวิตามิน (Multivitamin) : ควรรับประทานหลังอาหารกลางวันไม่เกิน 30 นาที เพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหารจากวิตามินบางชนิด
  • แคลเซียม (Calcium) : แคลเซียมคาร์บอเนตและแคลเซียมซิเตรตเป็นรูปแบบของแคลเซียมที่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยแคลเซียมคาร์บอเนตควรรับประทานหลังอาหารทันที และแคลเซียมซิเตรตควรรับประทานตอนท้องว่าง
  • ธาตุเหล็ก (Iron) : ควรรับประทานในขณะท้องว่าง ร่วมกับวิตามินซีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึม แต่ไม่ควรรับประทานร่วมกับผลิตภัณฑ์เสริมธาตุเหล็กและแคลเซียม เพราะจะไปยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็ก
  • สังกะสี (Zinc) : สามารถดูดซึมได้ดีตอนท้องว่าง โดยแนะนำให้รับประทานก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง และไม่ควรรับประทานร่วมกับแคลเซียมและธาตุเหล็ก
  • คอลลาเจน (Collagen) : ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการรับประทานคอลลาเจน คือ ช่วงเช้าหลังจากตื่นนอน ซึ่งเป็นช่วงท้องว่างทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
  • น้ำมันปลา (Fish Oil) : ควรรับประทานระหว่างมื้ออาหาร หรือหลังมื้ออาหารภายใน 30 นาที เพื่อให้อาหารที่รับประทานเข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมกรดไขมันได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย และมีกลิ่นปาก เป็นต้น

สำหรับใครมีแพลนจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดีขึ้นแบบทันใจ ตาราง Beauty Routine เหล่านี้ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี หากสามารถทำตามอย่างสม่ำเสมอ รับรองเลยว่าจะช่วยสร้างร่างทองให้ทันก่อนวันปีใหม่ 2025 ที่กำลังจะมาถึงได้สำเร็จอย่างแน่นอนค่ะ