ในช่วงสิ้นปีแบบนี้ สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงนอกจากวันหยุดยาว ก็คงจะหนีไม่พ้นเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ในช่วงต้นปี และหนึ่งในเป้าหมายสุดฮิตตลอดกาล คือ “การเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้น” ซึ่งไม่ใช่แค่ทัศนคติในการใช้ชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นการพัฒนาบุคลิกภายนอกให้ดูดีขึ้นด้วย
ถึงแม้ว่าจะเหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนก็จะเข้าสู่ปีใหม่แล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงตัวเองของทุกคนจะไม่สำเร็จ เพราะวันนี้ Wongnai Beauty จะมาแจกตาราง Beauty Routine ปั้นร่างทองใน 3 Weeks ให้สวยทันก่อนวันปีใหม่ ถ้าอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร ก็รีบตามมาดูกันเลยค่ะ
แจกตารางสระผม 7 วัน เพื่อผมสวยเงางามขั้นสุด!

ตารางสระผม คืออะไร
เริ่มต้นแพลนเปลี่ยนเป็นคนใหม่ด้วยการจัดตารางสระผม หลายคนอาจกำลังสงสัยว่าจะสระผมทั้งทีต้องมีตารางสระผมด้วยเหรอ แล้วตารางสระผม คืออะไร? ขออธิบายแบบสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ใจความว่า ตารางสระผม คือ กำหนดการสระผมที่จัดทำขึ้นใน 7 วัน และทำจนเป็นกิจวัตร ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความถี่ หรือลำดับในการดูแลเส้นผมที่แตกต่างกันออกไป
ข้อดีของการจัดตารางสระผม
- ช่วยป้องกันการระคายเคืองของหนังศีรษะ และปัญหาเส้นผมแห้งกร้าน เปราะขาดง่าย จากการสระผมบ่อยเกินไป
- ช่วยรักษาระดับน้ำมันและความชุ่มชื้นของหนังศีรษะให้สมดุล
- ช่วยเสริมความแข็งแรงให้หนังศีรษะและเส้นผม
- ลดปัญหาผมร่วง ผมมัน และรังแค
แจกตารางสระผม 7 วัน สำหรับเส้นผมแต่ละประเภท
ในการจัดตารางสระผม สิ่งแรกที่ทุกคนควรคำนึงถึงคือ “ประเภทเส้นผม” และ “ปัญหาเส้นผม” ของตัวเอง โดยเราสามารถจัดตารางความถี่ในการสระผม เพื่อให้เหมาะกับเส้นผมแต่ละประเภทได้ ดังนี้
- ผมมัน : คนที่มีปัญหาผมมัน ไม่ควรสระผมบ่อย หรือสระผมทุกวัน เพราะการสระผมทุกวันจะทำให้ต่อมไขมันบนหนังศีรษะผลิตซีบัม (Sebum) หรือไขมันจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่เส้นผมและหนังศีรษะออกมามากเกินไป จึงทำให้ผมมันง่ายนั่นเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรเว้นระยะเวลาสระผมนานเกินไป ซึ่งความถี่ในการสระผมที่ดีที่สุดของคนผมมัน คือ “สระผมวันเว้นวัน” หรือสระทุกครั้งหลังออกกำลังกาย รวมถึงการทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออกเยอะ
- ผมแห้งเสีย เปราะขาดง่าย : ชาวผมแห้งเสีย เปราะขาดง่าย มักมีเส้นผมที่ค่อนข้างอ่อนแอ และต้องการการบำรุงมากเป็นพิเศษ แต่การสระผมทุกวันก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด เพราะอาจเป็นการรบกวนเส้นผมและหนังศีรษะมากเกินไป รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาผมขาดร่วงตามมาได้ จึงแนะนำให้ “สระผมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง”
- ผมหยิก หรือผมหยักศก : หนึ่งในปัญหาที่คนผมหยิก หรือผมหยักศกพบบ่อย คือ “ผมชี้ฟู จัดทรงยาก” หลังสระผม นอกจากต้องใช้เวลานานในการจัดแต่งทรงผมให้อยู่ทรงสวยแล้ว ยังอาจเจอปัญหาผมชี้ฟูระหว่างวันด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาผมแห้งเสียร่วมด้วย ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้ “สระผมเพียงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง” เพื่อรักษาความสะอาดของหนังศีรษะและเส้นผม โดยไม่ทำให้ผมแห้งเสียและชี้ฟู
แจกตาราง Skin Streaming ใช้น้อยแต่ผิวดีมาก!

Skin Streaming คืออะไร?
Skin Streaming คือ การลดจำนวนสกินแคร์ หรือลดขั้นตอนการบำรุงผิวให้น้อยลง โดยเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมความต้องการของผิวเราเพียงไม่กี่ตัว เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Skin Streaming ใช้น้อยแต่ผิวดีมาก!
อะไรที่มากเกินไปก็อาจจะไม่ดี เช่นเดียวกับการดูแลผิวหน้า ด้วยเหตุนี้จึงมีการคิดค้นสิ่งที่เรียกว่า Skin Streaming หรือการลดขั้นตอนสกินแคร์รูทีนให้น้อยลง และเลือกใช้สกินแคร์เพียง 4 ตัว ดังนี้
- คลีนเซอร์ : ในแต่ละวันผิวหน้าของเราต้องเจอกับฝุ่นละออง มลภาวะ รวมถึงสิ่งสกปรกที่มองไม่เห็น เพราะฉะนั้นจึงควรเริ่มต้นรูทีนด้วยคลีนเซอร์ ที่ช่วยขจัดสิ่งสกปรกเพื่อให้ผิวหน้าสะอาดหมดจด และพร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนถัดไป
- เซรั่ม : ควรเลือกเซรั่มที่ตอบโจทย์กับปัญหาผิวหน้าของตัวเอง ซึ่งหนึ่งในเซรั่มที่แพทย์ผิวหนังส่วนใหญ่แนะนำ คือ เซรั่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซี ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีและมลภาวะ ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดริ้วรอย พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน และกระจ่างใสขึ้น
- มอยส์เจอไรเซอร์ : ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความชุ่มชื้นคือพื้นฐานของผิวมีสุขภาพดี ดังนั้นการบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ จึงถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีคุณสมบัติช่วยเติมเต็มและกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว พร้อมเสริมเกราะป้องกันตามธรรมชาติของผิว (Skin Barrier) ให้แข็งแรง
- ครีมกันแดด : ปิดท้ายรูทีนด้วยการทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ที่ไม่เพียงแค่เป็นต้นเหตุของผิวหมองคล้ำและริ้วรอยเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งผิวหนังด้วย
แจกตาราง Skin Cycling เพื่อผิวกายกระจ่างใสใน 3 Weeks

Skin Cycling คืออะไร
การหมุนเวียนเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ถูกคิดค้นโดยแพทย์ผิวหนัง อย่าง Dr. Whitney Bowe เธออธิบายว่า Skin Cycling เป็นการจัดตารางหมุนเวียนเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บำรุงผิวก่อนนอนในทุก ๆ 4 คืน โดยมีจุดประสงค์เพื่อหยุดรบกวนผิวเพื่อให้ผิวได้พักผ่อนจากการบำรุงแบบจัดหนักจัดเต็มในแต่ละวัน อีกทั้งยังเป็นการรักษาสมดุลระบบนิเวศบนผิว (Skin Microbiome) ด้วย ซึ่งนอกจากการดูแลผิวหน้าแล้ว ยังสามารถนำเทรนด์ Skin Cycling มาปรับใช้กับการปรนนิบัติผิวกายได้อีกด้วย
Skin Cycling ดีต่อผิวกายอย่างไร?
- ช่วยให้ผิวกายเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ดูสุขภาพดี
- ปรับผิวหมองคล้ำให้กระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- ช่วยลดการเกิดสิว และการอุดตันในรูขุมขน
- ริ้วรอย ร่องลึกบนผิวดูจางลง
Skin Cycling เพื่อผิวกายกระจ่างใสใน 3 Weeks
- คืนที่ 1 : สครับผิว (Exfoliation Night) : เริ่มต้นด้วยการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพให้หลุดออก ด้วยผลิตภัณฑ์สครับผิว โดยแนะนำให้เลือกเม็ดสครับที่ไม่หยาบจนบาดผิว หรือละเอียดจนไม่มีประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิว หลังสครับผิวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรทามอยส์เจอไรเซอร์ตามทันที เพื่อเติมความชุ่มชื้น และปลอบประโลมผิว ขั้นตอนนี้ไม่เพียงแค่ช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ตกค้างในรูขุมขนเพื่อลดการอุดตันเท่านั้น ยังช่วยปรับผิวให้เรียบเนียน พร้อมเปิดรับการบำรุงในค่ำคืนถัดไปด้วย
- คืนที่ 2 : เรตินอล (Retinol Night) : หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าสามารถใช้เรตินอลกับผิวกายได้เช่นเดียวกัน สำหรับผู้เริ่มต้นควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลในเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำก่อน เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ค่อนข้างเข้มข้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ง่าย โดยเฉพาะคนผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรใช้อย่างระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ซึ่งการใช้เรตินอลในคืนที่ 2 จะช่วยเพิ่มการผลิตเซลล์ผิว พร้อมกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นกระชับ ริ้วรอยดูจางลง และยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นด้วย
- คืนที่ 3 และคืนที่ 4 : พักผิว (Recovery Night) : ในคืนที่ 3 - 4 เป็นคืนแห่งการพักฟื้นผิวภายหลังจากการบำรุงแบบจัดเต็ม จากผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Active Ingredient ต่าง ๆ โดยแนะนำให้บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวกาย เพื่อเติมความชุ่มชื้น ปลอบประโลมผิว และเสริมเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ให้แข็งแรง
“อาหารเสริม” กินตอนไหน ร่างกายดูดซึมได้ดีที่สุด
ในปัจจุบันคนยุคใหม่หันมาใส่ใจกับการดูแลตัวเองกันมากขึ้นทั้งภายนอกและภายใน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคนมองหาตัวช่วย อย่างวิตามิน และอาหารเสริมต่าง ๆ ที่ช่วยดูแลทั้งสุขภาพและผิวพรรณ ซึ่งวิตามินแต่ละชนิดก็มีช่วงเวลาในการรับประทานที่เหมาะสมต่างกัน หากต้องการให้วิตามินที่รับประทานเข้าไปมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงควรรู้ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานวิตามินชนิดนั้น ๆ

- วิตามินซี (Vitamin C) : ควรรับประทานหลังอาหารเช้า เพราะวิตามินซีบางชนิดมีความเป็นกรด อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ และยังเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินซีได้ดีที่สุดด้วย
- วิตามินบี (Vitamin B) : ควรรับประทานช่วงท้องว่างก่อนอาหาร 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพราะร่างกายสามารถดูดซึมได้อย่างเต็มที่ แต่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานวิตามินบีช่วงก่อนนอน เนื่องจากอาจกระตุ้นให้ร่างกายและสมองตื่นตัว ทำให้นอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับได้
- วิตามินอี (Vitamin E) : วิตามินอีละลายได้ดีในไขมัน ด้วยเหตุนี้จึงควรรับประทานวิตามินอีร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เช่น นม โยเกิร์ต อัลมอนด์ หรือถั่วประเภทต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้เต็มที่
- วิตามินดี (Vitamin D) : ควรรับประทานระหว่างมื้ออาหาร หรือหลังอาหารเช้า หรือเที่ยงไม่เกิน 30 นาที เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะเริ่มดูดซึมสารอาหาร บวกกับไขมันจากอาหารจะมาเป็นตัวทำละลาย ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- วิตามินเอ (Vitamin A) : วิตามินเอสามารถละลายในไขมันได้ดี จึงควรรับประทานระหว่างมื้ออาหารหรือหลังอาหารไม่เกิน 30 นาที เพราะจะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับไขมันในอาหารที่รับประทานเข้าไป
- วิตามินเค (Vitamin K) : ควรรับประทานระหว่างมื้ออาหารหรือหลังอาหารไม่เกิน 30 นาที เนื่องจากวิตามินเคจัดอยู่ในกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดีนั่นเอง
- มัลติวิตามิน (Multivitamin) : ควรรับประทานหลังอาหารกลางวันไม่เกิน 30 นาที เพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหารจากวิตามินบางชนิด
- แคลเซียม (Calcium) : แคลเซียมคาร์บอเนตและแคลเซียมซิเตรตเป็นรูปแบบของแคลเซียมที่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยแคลเซียมคาร์บอเนตควรรับประทานหลังอาหารทันที และแคลเซียมซิเตรตควรรับประทานตอนท้องว่าง
- ธาตุเหล็ก (Iron) : ควรรับประทานในขณะท้องว่าง ร่วมกับวิตามินซีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึม แต่ไม่ควรรับประทานร่วมกับผลิตภัณฑ์เสริมธาตุเหล็กและแคลเซียม เพราะจะไปยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็ก
- สังกะสี (Zinc) : สามารถดูดซึมได้ดีตอนท้องว่าง โดยแนะนำให้รับประทานก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง และไม่ควรรับประทานร่วมกับแคลเซียมและธาตุเหล็ก
- คอลลาเจน (Collagen) : ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการรับประทานคอลลาเจน คือ ช่วงเช้าหลังจากตื่นนอน ซึ่งเป็นช่วงท้องว่างทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
- น้ำมันปลา (Fish Oil) : ควรรับประทานระหว่างมื้ออาหาร หรือหลังมื้ออาหารภายใน 30 นาที เพื่อให้อาหารที่รับประทานเข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมกรดไขมันได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย และมีกลิ่นปาก เป็นต้น
สำหรับใครมีแพลนจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดีขึ้นแบบทันใจ ตาราง Beauty Routine เหล่านี้ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี หากสามารถทำตามอย่างสม่ำเสมอ รับรองเลยว่าจะช่วยสร้างร่างทองให้ทันก่อนวันปีใหม่ 2025 ที่กำลังจะมาถึงได้สำเร็จอย่างแน่นอนค่ะ