ผู้หญิงอย่างเราในแต่ละวันต้องเสี่ยงกับอุบัติเหตุที่อาจทำให้เจ็บตัวและเป็นแผลอยู่ตลอด ไม่ว่าจะตอนม้วนผม หนีบผม ก็อาจโดนความร้อนจากที่หนีบผม เวลากันคิ้วก็อาจโดนใบมีดบาดผิว หรือเวลาเดินช้อปปิ้งก็อาจจะหกล้มหน้าขมำ หัวเข่าถลอกเอาได้ ซึ่งแผลจากอุบัติเหตุเหล่านี้ก็ล้วนทำให้เกิดแผลเป็นได้ทั้งสิ้น ฉะนั้นต้องรู้จักวิธีป้องกันรอยแผลเป็นไว้นะคะ จะได้ป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่ถ้าหากป้องกันไม่ทันและเกิดแผลเป็นขึ้นมาแล้ว ก็ต้องรู้จักวิธีรักษาแผลเป็นแต่ละแบบค่ะ ซึ่งวันนี้ Wongnai Beauty ได้รวบรวมทั้งวิธีป้องกันและวิธีรักษาแผลเป็นมาไว้ที่นี่แล้ว!
5 วิธีป้องกันการเกิดแผลเป็น
การป้องกันการเกิดแผลเป็นตั้งแต่เนิ่น ๆ เป็นอะไรที่ควรทำอย่างยิ่งค่ะ เพราะถ้าหากไม่รู้จักวิธีป้องกันจนสุดท้ายเกิดแผลเป็นขึ้นมา การแก้ไขหรือรักษาแผลเป็นให้หายนั้น เป็นอะไรที่ยากเอาการเลยค่ะ อย่างคำสุภาษิตที่ว่า "กันไว้ดีกว่าแก้" นั่นเอง รู้อย่างนี้แล้วไปดู 5 วิธีป้องกันรอยแผลเป็นกันเล้ยย !
วิธีที่ 1 : ล้างแผลด้วยน้ำเกลือ
เชื่อว่าเวลาเกิดอุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะหกล้ม มีดบาด สิ่งแรกที่หลายคนทำคือ รีบล้างแผลด้วยน้ำ หรือแอลกอฮอล์ ขอบอกเลยว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง! เพราะน้ำและแอลกอฮอล์จะทำให้แสบและระคายเคือง นอกจากนี้แอลกอฮอล์อาจทำลายเนื้อเยื่อบริเวณแผล ส่งผลให้แผลหายช้าและเกิดแผลเป็นได้
ฉะนั้นเวลาเป็นแผลสิ่งแรกที่ควรทำคือ ล้างแผลด้วยน้ำเกลือล้างแผลนั่นเอง เพราะความเข้มข้นของน้ำเกลือล้างแผลจะใกล้เคียงกับน้ำในร่างกายและเซลล์ผิวของเรา จึงทำให้ไม่แสบ ไม่ระคายเคือง ไม่ทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้โอกาสเกิดแผลเป็นลดลง
วิธีที่ 2 : รับประทานอาหารที่ช่วยส่งเสริมการสมานแผล
วิธีป้องกันการเกิดแผลเป็นวิธีนี้เป็นอะไรที่ง่ายสุด ๆ เพียงแค่ทานอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินซี ธาตุเหล็กและสังกะสี ก็สามารถช่วยสมานแผลได้อีกทางแล้ว
- โปรตีน : อาหารที่มีโปรตีนสูงจะช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย ทำให้แผลสมานเร็วและหายเร็วขึ้น โดยโปรตีนจะพบได้ในเนื้อสัตว์ นม ไข่ ผักและผลไม้ เช่น อะโวคาโด
- วิตามินซี : ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อโปรตีนสำคัญที่ใช้สร้างผิวหนัง จึงทำให้แผลสมานเร็วขึ้น วิตามินซีจะพบได้ในส้ม ฝรั่ง สับปะรด บรอกโคลี
- ธาตุเหล็กและสังกะสี : ธาตุเหล็ก เป็นส่วนสำคัญในเม็ดเลือดแดง ที่คอยส่งออกซิเจนไปเลี้ยงบริเวณบาดแผล ทำให้แผลสมานกันได้ง่ายขึ้น ส่วน สังกะสี จะไปกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่มีหน้าที่ผลิตเซลล์ผิวใหม่ แถมยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนมาช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวหนังได้มากขึ้น ซึ่งธาตุเหล็กและสังกะสี จะพบมากในตับ หอยนางรม และถั่วเปลือกแข็งต่าง ๆ
วิธีที่ 3 : อย่าแคะ แกะ เกาแผล
พอแผลเริ่มแห้ง ใครชอบแคะ แกะ เกาแผลตัวเองบ้างเอ่ย ขอบอกเลยว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะมันจะเป็นการเปิดแผลอีกครั้ง แทนที่แผลจะแห้งและค่อย ๆ หาย กลับต้องมาเริ่มสมานใหม่ ทำให้แผลหายช้า แถมเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น
นอกจากนี้มือและเล็บของเรา ถือเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียชั้นดีเลยละ ฉะนั้นเวลาเราแคะ แกะ หรือเกาแผล เชื้อโรคที่มือและเล็บก็อาจทำให้แผลอักเสบกว่าเดิม แถมหายช้า และเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นอีกด้วย
วิธีที่ 4 : ดูแลแผลให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอด
หลังจากแผลแห้งสนิทให้ทาเจลลดรอยแผลเป็น เพื่อส่งเสริมการสมานแผล และการดูแลแผลให้ชุ่มชื้นด้วยปิโตรเลียมเจล หรือสกินแคร์กลุ่มให้ความชุ่มชื้น เพราะในสภาวะที่ผิวมีความชุ่มชื้น ผิวก็จะทำหน้าที่ของมันได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการผลัดเซลล์ผิว หรือการซ่อมแซมตัวเอง ส่งผลให้กระบวนการสมานแผลนั้นเร็วขึ้น และลดโอกาสการเกิดแผลเป็นอีกด้วย
วิธีที่ 5 : ทายาลดรอยแผลเป็น
หลังจากแผลแห้งสนิทแนะนำให้หาเจลลดรอยแผลเป็นมาทาทันที เพื่อลดโอกาสการเกิดแผลเป็นและลดรอยแผลเป็นค่ะ โดยเราควรมองหายาทาลดรอยแผลเป็นที่มีส่วนผสมของ Vitamin B3, Vitamin C ที่จะช่วยให้รอยแผลเป็นสีคล้ำจางลง หรือ CPX ที่มีคุณสมบัติช่วยให้ความนูนของแผลเป็นลดลงและอ่อนนุ่มขึ้น
แผลเป็นแบบนี้ ต้องรักษายังไงถึงจะเห็นผล ?
เมื่อรู้วิธีป้องกันการเกิดแผลเป็นแล้ว เราก็ต้องรู้วิธีรักษาด้วยนะเออ แต่วันนี้เราจะพาไปดูแค่วิธีรักษาแผลเป็นแบบนูนนะคะ เพราะว่ามันเป็นแผลเป็นที่กวนใจ และทำลายความมั่นใจของผู้หญิงอย่างเรามากที่สุดนั่นเอง!
แผลเป็นแบบนูน มี 2 รูปแบบ ได้แก่
1. แผลเป็นนูนเกิน (Hypertrophic Scar)
- ลักษณะ : แผลนูนขึ้นจากผิวเล็กน้อย แต่ไม่เกินขอบเขตของแผล และอาจมีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งแผลเป็นลักษณะนี้จะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือนหลังแผลหาย และเมื่อทิ้งไว้อาจจะยุบแบนราบลงได้เองภายใน 12-24 เดือน
- การรักษา : ทาซิลิโคนเจลเพื่อช่วยให้แผลเป็นแบนราบ อ่อนนุ่มขึ้นและสีจางลง หากแผลเป็นมีอาการรุนแรง ก็สามารถพบแพทย์เพื่อฉีดสเตียรอยด์ หรือผ่าตัด
2. แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid Scar)
- ลักษณะ : โตนูนขึ้นมาจากผิว ขอบเขตของแผลขยายใหญ่เกินขอบเขตของแผลเดิม สีของแผลเป็นจะเข้มกว่าสีผิวปกติ จะเป็นสีแดง ดำ น้ำตาล ในระยะแรกอาจมีอาการคันและเจ็บร่วมด้วย แผลเป็นคีลอยด์จะเกิดขึ้นหลังแผลหายแล้วตั้งแต่ 3 เดือนเป็นต้นไป และไม่สามารถยุบแบนราบลงได้เอง
- การรักษา : สามารถใช้วิธีการรักษาเดียวกันกับแผลเป็นแบบนูนเกิน (Hypertrophic scar) ได้
สำหรับใครที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ลดเลือนรอยแผลเป็นอยู่ วันนี้เราเลยถือโอกาสมาแนะนำของดีให้สาว ๆ รู้จักสักหน่อย ของดีที่ว่าก็คือ เจลลดเลือนริ้วรอยแผลเป็น Dermatix Ultra นั่นเองค่าา! ซึ่งใน Twitter มีแต่คนเอาไปบอกต่อว่ามันดีมากก! บางคนบอกว่าใช้ไป 1 สัปดาห์แผลเป็นที่เข้มก็จางลงอย่างเห็นได้ชัด บางคนก็บอกว่าใช้ทาตั้งแต่ตัดไหม ให้ผลดีจริง ๆ
ความดีงามของ Dermatix Ultra ตัวนี้คือ เค้าสามารถดูแลและลดเลือนรอยแผลเป็นได้ทั้งแบบนูน คีลอยด์ และแผลแบบเรียบสีคล้ำ ซึ่งเจลลดเลือนแผลเป็นตัวนี้เค้ามีคุณสมบัติของ CPX ที่จะช่วยให้ความนูนของแผลเป็นลดลงและอ่อนนุ่มขึ้น และ Vitamin C ที่ช่วยให้แผลเป็นสีคล้ำจางลง ส่วนเนื้อเจลของเค้าก็ดีงามไม่แพ้สรรพคุณเลยนะ เพราะเป็นเนื้อเจลซิลิโคนใส ไม่มีกลิ่น แถมยังบางเบา แห้งเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ที่สำคัญคือสามารถทาทับเครื่องสำอางได้ ไม่เป็นคราบ ดีมากเว่อร์! เหมาะกับผู้หญิงอย่างเรา ๆ ที่สุด!
นอกจากนี้การใช้งานของเค้าก็ไม่ยุ่งยากเลย เพียงบีบเจลเท่าเมล็ดถั่วเขียว ทาบาง ๆ บริเวณแผลเป็น วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างต่ำ 2-3 เดือน ก็จะเริ่มเห็นผลอย่างชัดเจน
ใครสนใจก็รีบไปหาซื้อกันดูนะคะ อย่าปล่อยให้แผลเป็นมากวนใจเรา! เค้ามีขายตามร้านขายยาทั่วไปและสามารถช็อปออนไลน์ได้ที่ Shopee Mall มี 3 ขนาด 5 g / 9 g / 15 g เมื่อเทียบกับคุณภาพและส่วนผสมของเค้าแล้ว ถือว่าคุ้มค่าแก่การลงทุนค่ะ! ขอบอกเลยว่าหลอดนึงใช้ได้นานมากกก เพราะปริมาณการใช้แต่ละครั้งเท่าเมล็ดถั่วเขียวเท่านั้น ใครอยากลองหาข้อมูลเพิ่มเติม ดูรายละเอียดด้านล่างนะจ๊ะ
ช่องทางการติดต่อ
Website : https://dermatix.co.th/