เมื่อก่อนการจะทำหน้าเรียวก็มีแต่วิธีจัดฟัน ผ่าตัดปรับโครงหน้า เหลากราม ทุบโหนก พักฟื้นกันหลายเดือน แถมเจ็บแบบร้ายกาจมากเวอร์ แต่ แต่ แต่ เดี๋ยวนี้คลีนิกแต่ละแห่งเขาก็มีเทคนิคปรับหน้าเรียว แบบไม่ผ่าแล้วนะจ๊ะ ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องทนเจ็บกันเป็นเดือนอีกแล้วค่ะ ซึ่งครั้งนี้ Wongnai Beauty ก็รวบรวม 5 วิธียกกระชับหน้าแบบไม่ต้องผ่ามาฝากสาว ๆ ให้ได้รู้จักและเปรียบเทียบกันให้ชัดไปเลย มาดูกันซิเทคนิคแบบไหนน่าทำ วิธีแบบไหนกันนะที่เหมาะกับตัวเองที่สุด ว่าแล้วก็ไปดูกันเถอะ!!
ABO active 3D treatment

วิธีนี้เรียกกันอย่างกว้างขวางว่าฉีดโบฯ หรือก็คือการใช้สารที่ชื่อว่า Abobotulinum toxin จากประเทศอังกฤษ มาฉีดสร้างกรอบหน้าของเรา ผลก็คือทำให้กรอบหน้ากระชับขึ้น และดูเด็กลงทันทีหลังฉีด อยู่ได้นานกว่า 6 เดือน เป็นนวัตกรรมล่าสุดของทางการแพทย์ที่ว้าวมากกก เพราะเขาพบว่ามีการตื่นตัวของเซลล์ที่สร้างคอลลาเจนของผิวหนังภายใน 10 ชั่วโมงหลังจากการทำทรีตเมนต์นี้ ทำให้เซลล์เกิดการหดตัว และผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น ยิ้มได้อย่างธรรมชาติไม่รู้สึกแข็งตึงที่ใบหน้า ฉีดเสร็จแล้วพักสัก 2-3 ชั่วโมงก็สามารถเดินเฟียส ๆ ได้แล้วจ้า
พลังงาน RF

สำหรับวิธีนี้อาจจะเจ็บหน่อยเพราะใช้พลังงาน RF หรือก็คือเครื่องส่งคลื่นวิทยุ เอาไว้นวดลงบนผิวหน้าเพื่อส่งเจ้ากระแสไฟจากคลื่นวิทยุลงไปในชั้นผิวหนังข้างใน เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลงไปแก้ปัญหาเส้นใยคอลลาเจนที่หย่อนคล้อย ทำให้ผิวสปริงตัวขึ้น หน้าก็เด้งดึ๋งดั๋ง ดูกระชับขึ้นมานิดนึง แต่เด่น ๆ คือทำให้หน้าแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม หลังทำก็จะมีอาการบวมแดงบ้าง และจะเห็นผลชัด ๆ หลังทำประมาณ 1 เดือนค่ะ
HIFU

สาว ๆ น่าจะเคยเห็นคำนี้บ่อยตามคลีนิกกระชับผิวหน้า เพราะเป็นเทคนิกที่มีมานานพอสมควร เป็นการยกกระชับผิวหน้าโดยใช้คลื่นอัลตราซาวด์ที่ค่อนข้างปลอดภัยและเห็นผล จริง ๆ แล้ววิธีนี้เขาเอามาใช้รักษาเนื้องอก แต่ต่อมา อ.ย. ของอเมริกาก็ประกาศให้ใช้ศัลยกรรมยกกระชับผิวได้ วิธีนี้เลยใช้แบบแพร่หลายมาก ๆ และรักษาได้หลายแบบ ทั้งกระชับผิว รักษาริ้วรอย โดยใช้ความร้อนจากคลื่นอัลตราซาวด์ไปทำลายคอลลาเจนเดิมในผิว แล้วกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม โดยรวมก็ถือว่าว้าวอยู่นะ แต่บางที่ถ้าทำไม่ดีก็อาจทำให้ผิวอักเสบและบวมแดงได้ ยังไงวิธีนี้ก็ควรหาคลีนิกที่น่าเชื่อถือไว้ก่อนแล้วกันนะจ๊ะ
Fine Thread Lifting

เห็นชื่อยาวขนาดนี้ ที่จริงแล้ววิธีนี้มีชื่อเรียกที่ฮิตติดปากกันอยู่นั่นก็คือ "ร้อยไหม" นั่นเองค่ะ เทคนิคนี้รู้กันตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงป้า ๆ ว่าเป็นวิธีที่เจ็บจี๊ดถึงใจแต่ได้ผลที่ชัดเวอร์ ช่วยยกกระชับ ฟื้นฟูสภาพผิว ลดเลือนริ้วรอย ปรับรูปหน้าให้ดูเรียว และทำให้ผิวหน้าเต่งตึง ซึ่งกว่าจะออกมาฟูลหลักการของเทคนิคนี้ คือการใช้ไหมเส้นเล็กจำนวนมาก มาร้อยเป็นเครือข่ายเข้าไปยังบริเวณใต้ผิวหนัง การร้อยไหมจะเห็นผลทันทีหลังทำ แถมอยู่นานมากกก และแลกกับอาการช้ำตามรอยสอดไหม เอาออกหรือแก้ไขก็ไม่ได้ เพราะถ้าดึงออกมาก็จะทำให้ผิวบุ๋มจนเสียโฉม ดังนั้นถ้าคิดจะใช้วิธีนี้อาจต้องคิดหนักกันนิดนึงง
สารเติมเต็ม

การฉีดสารเติมเต็มเป็นอีกวิธีที่ได้ยินกันอย่างหนาหูทั้งข้อดีและข้อเสีย วิธีก็คือใช้สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid หรือที่เรียกว่า “HA” มาเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังและใต้ผิวหนัง HA จะช่วยกักเก็บน้ำให้ชั้นใต้ผิวเพิ่มความเต่งตึงเนียนเรียบ ไร้ริ้วรอย ทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น วิธีนี้ต้องใส่ใจรายละเอียดสุด ๆ พลาดทีมีพัง โดยต้องให้แพทย์วิเคราะห์ใบหน้า เพื่อเลือกโมเลกุลของฟิลเลอร์ที่เหมาะกับปัญหาของเรา และใกล้เคียงกับ HA ในการร่างกายมากที่สุด เช่น NASHA และ OBT ที่ทำให้เกิดการแพ้ได้น้อย มีรายการแพทย์รับรอง เรื่องนี้รายละเอียดเยอะก่อนทำควรปรึกษาคุณหมอให้ดีน้าา
สรุปข้อดีข้อเสียของเทคนิคยกกรอบหน้าแต่ละแบบ

ABO active 3D treatment
- ข้อดี : เจ็บน้อย ปลอดภัย ฟื้นตัวไวเห็นผลเร็ว ไม่แข็งทื่อและอยู่ได้นานกว่า 6 เดือน
- ข้อเสีย : มีรอยแดง นอนราบไม่ได้ 4 ชั่วโมง และไม่ควรนวดหน้า เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ หลังการทำทรีตเมนต์
พลังงาน RF
- ข้อดี : ยกกระชับหน้าโดยทำให้หน้าแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม อยู่ได้นาน
- ข้อเสีย : เจ็บมากในระหว่างทำ ถ้าใช้พลังงานสูงเกินไป อาจเกิดพังผืดเป็นใต้ผิว
HIFU
- ข้อดี : นอกจากช่วยหน้ากระชับแล้วยังช่วยลบริ้วรอยได้ และเป็นวิธีที่ปลอดภัยมาก ๆ
- ข้อเสีย : พักฟื้นนาน 2-3 สัปดาห์ เจ็บตอนทำ และหลังทำเสี่ยงผิวอักเสบ
Fine Thread Lifting
- ข้อดี : หน้าเรียววีเชป เห็นผลชัดเจนทันทีหลังทำ
- ข้อเสีย : อันตรายถ้าแพทย์ไม่เชี่ยวชาญจริง ตอนทำเจ็บมากและไม่สามารถแก้ไขได้
Filler
- ข้อดี : รอยแดงช้ำน้อย ปลอดภัยและเจ็บแบบทนได้ อยู่ได้นาน
- ข้อเสีย : เสี่ยงเจอยาที่ไม่ได้มาตรฐาน ถ้าฉีดเยอะจะจับเป็นก้อน
เป็นไงกันบ้างคะ สำหรับวิธียกกรอบหน้าแบบไม่ผ่าที่เรามาแนะนำสาว ๆ แต่ละวิธีก็มีเจ็บบ้าง ซึ่งเราเชื่อว่าเป็นความเจ็บที่ทุกคนทนได้และยอมแลกแน่นอน เพราะทั้ง 5 วิธีนี้เห็นผลชัดเจนหลังทำ ทั้งนี้จะเห็นผลมากหรือน้อยก็แล้วแต่เคส และขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของคุณหมอด้วย คือดูเหมือนเหมือนทำง่ายนะ แต่จริง ๆ แล้วต้องใช้ความรู้ความใส่ใจที่สูงมาก ดังนั้นถ้าใครสนใจจะทำก็ลองศึกษาคลีนิกที่น่าเชื่อถือและคุณหมอที่เชี่ยวชาญจริง ๆ กันดีกว่านะคะ