ไก่แห่งความย้อนแย้ง จากสัญญะอำนาจของจอมพล ป. สู่โปรตีนบนโต๊ะไหว้เจ้า
  1. ไก่แห่งความย้อนแย้ง จากสัญญะอำนาจของจอมพล ป. สู่โปรตีนบนโต๊ะไหว้เจ้า

ไก่แห่งความย้อนแย้ง จากสัญญะอำนาจของจอมพล ป. สู่โปรตีนบนโต๊ะไหว้เจ้า

ถ้าจะมีใครสักคนที่ช่วยให้วัฒนธรรมจีนและไก่ในเมืองไทยยังคงรักษาประเพณีไหว้เจ้าไว้ได้จนถึงทุกวันนี้ คนๆ นั้นคงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นจอมพล ป. พิบูลสงคราม
writerProfile
24 ม.ค. 2025 · โดย

ถ้าจะมีใครสักคนที่ช่วยให้วัฒนธรรมจีนในเมืองไทยยังคงรักษาประเพณีไหว้เจ้าไว้ได้จนถึงทุกวันนี้ คนๆ นั้นคงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้ซึ่งพยายามปราบจีนแต่ดันเป็นคนส่งเสริมการเลี้ยงไก่ให้เป็นอุตสาหกรรม จนทุกวันนี้เราคงต้องแต๊งกิ้วท่านผู้นำที่ทำให้เรามีไก่กินกันไม่ขาด

.

อะไรทำให้จอมพล ป. พิบูลสงครามนั้นยึดโยงถึงขึ้นที่อาจจะใช้คำว่าชื่นชอบไก่เป็นพิเศษ คำตอบง่าย ๆ ก็คือท่านเป็นคนเกิดปีไก่หรือปีระกานั่นเอง แต่เรื่องราวไก่ของท่านนั้นถูกตีความไว้อย่างหลากหลายและมันมีผลต่อหน้าประวัติศาสตร์การกินของคนไทยอย่างแยกไม่ได้ เรื่องราวไก่อลวลและผู้นำอลเวงจะเป็นเช่นไร Wongnai ขอเชิญ ทุกท่านเสพเรื่องราวสุดไร้เหตุผลและคำอธิบายไปพร้อมกัน

.

หากคุณนึกถึงไก่คุณคงนึกถึงผู้พันแซนเดอร์ แต่หากคุณย้อนกลับไปหลังช่วง พ.ศ. 2475 ถ้านึกถึงไก่ คุณต้องนึกถึงจอมพล แปลก หรือ ป. พิบูลสงคราม ไม่ว่าจะในฐานะคนที่ผลักดันไก่ให้กลายเป็นอาหารหลักของคนไทย ผู้บุกเบิกการเลี้ยงไก่ในรูปแบบอุตสาหกรรม หรือผู้ที่ใช้ไก่เป็นสัญลักษณ์แทนตัวเอง แต่บทบาทที่ท่านทิ้งไว้ต่อเรื่องการกินมากที่สุดเรื่องหนึ่งคือการเปลี่ยนความคิดเรื่องการกินไก่ของสังคมไทยให้เปลี่ยนไปตลอดกาล

.

1.ไก่กับสังคมไทยก่อน 2475

ในปัจจุบัน มุมมองต่อเจ้าโต้งของเรา คงหนีไม่พ้นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี ราคาถูก หาง่ายได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต แต่มุมมองนี้เองเพิ่งเกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 เพราะคนในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่อดีตไม่ได้มีมุมมองว่าไก่เป็นอาหารหลัก และนิยมเลี้ยงไก่ไว้เพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงในลักษณะเดียวกับวัว ควาย และสุนัข ว่าง่าย ๆ คือเลี้ยงไว้ใต้ถุนบ้านให้หาอะไรกินเองแบบไก่ฟรีเรนจ์ยุกบุกเบิก แต่มักนำมาเป็นอาหารในโอกาสพิเศษ เช่นการไหว้ผี งานบวช งานแต่ง หรือการไหว้บรรพบุรุษ

.

ไก่มาจากเอเชียแต่ยุโรปศัลยกรรม

อ้างจากหนังสือปฎิวัติที่ปลายลิ้น ผู้เชี่ยวชาญเรื่องไก่อย่างเจ้าชายอะกิชิโนะมิยะ ฟุมิฮิโตะ แห่งญี่ปุ่น ให้ข้อสรุปว่าไก่บ้านมีต้นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนจะถูกนำไปเลี้ยงในที่ต่าง ๆ ผ่านการติดต่อค้าขาย และนำกลับจากยุโรปมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอีก 200 ปีต่อมา

.

ไทยไม่กินไก่เป็นอาหารหลัก

ในมุมมองนี้เองก่อนปี พ.ศ. 2475 ไก่ในความเข้าใจของคนไทยจึงมีความเป็นสัตว์เลี้ยง ทรัพย์สิน และเป็นอาหารในประเพณีในโอกาสสำคัญเพื่อตอบสนองต่อความเชื่อ มากกว่าการกินเพื่อเป็นอาหารประจำวัน แล้วคนไทยหันมากินไก่ได้อย่างไร?

.

2. ทำไมต้องเลี้ยงไก่

หลังจากแนวคิดการกินให้ครบ 5 หมู่แบบตะวันตกกลายเป็นหลักคิดสำคัญหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คนไทยที่เคยกินข้าวกับของแซ่บเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นรสเผ็ดเกิน เค็มเกิน เพื่อให้กินข้าวได้มาก ๆ แถมด้วยการขาดโปรตีนจนเป็นโรคขาดสารอาหารเป็นจำนวนมาก ทำให้คณะราษฎร์จัดตั้งกองอาหารและเริ่มเปลี่ยนแปลงการกินของคนสยาม ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าวและกับ(โปรตีน)ให้สมดุลกัน

.

จุดนี้เองที่คนไทยยังคงขาดอาหารซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่เพียงพอ “ชาติจะขับเคลื่อนได้ คนในชาติก็ต้องมีร่างกายที่แข็งแรง” คณะราษฎร์ยังต้องหาแหล่งโปรตีนที่ดี ราคาไม่สูง เพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการเลี้ยงไก่หลังบ้านและกลายเป็นนโยบายที่เปลี่ยนความคิดของคนไทยที่มีต่อไก่

.

3.เริ่มที่หลังบ้าน

ดังเช่นสุภาษิตจีนที่บอกให้ทำอะไรให้เริ่มแบบเล็ก ๆ ก่อน แนวคิดในเวลานั้นของคณะราษฎร์ในการเลี้ยงไก่ก็เหมือนกัน แต่ก็เจอความติดขัดหลายอย่างแต่สุดท้ายเป็นอันล้มเลิกไป แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจขนาดที่ว่าเกิดการแข่งไก่ประกวดในหมู่ข้าราชการ

.

หลังจากแนวคิดการกินให้ครบ 5 หมู่แบบตะวันตกกลายเป็นหลักคิดสำคัญหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คนไทยที่เคยกินข้าวกับของแซ่บเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นรสเผ็ดเกิน เค็มเกิน เพื่อให้กินข้าวได้มาก ๆ แถมด้วยการขาดโปรตีนจนเป็นโรคขาดสารอาหารเป็นจำนวนมาก ทำให้คณะราษฎร์จัดตั้งกองอาหารและเริ่มเปลี่ยนแปลงการกินของคนสยาม เน้นการกินข้าวและกับ(โปรตีน)ให้สมดุลกัน

.

ข้าราชการเลี้ยงไก่

ณ เวลารนั้นคนไทยยังคงขาดอาหารซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่เพียงพอ “ชาติจะขับเคลื่อนได้ คนในชาติก็ต้องมีร่างกายที่แข็งแรง” คณะราษฎร์ยังต้องหาแหล่งโปรตีนที่ดี ราคาไม่สูง เพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการเลี้ยงไก่หลังบ้าน โดยเริ่มต้นจากให้ข้าราชการเลี้ยงในรูปแบบการทำเกษตรครัวเรือนปลูกผักรอบบ้านและใต้ถุนบ้านเลีัยงไก่ เกิดการแจกพันธ์ุไก่และการเลี้ยงไก่ได้รับความนิยมมากขึ้น

.

ประกวดไก่ขน

แม้ในช่วง พ.ศ. 2480 ที่คนชนชั้นนำส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงไก่ ถึงขนาดที่ว่ามีการประกวดไก่ไข่ดกเพื่อให้คนทั่วไปเห็นว่าสามารถเลี้ยงไก่ในเมืองไทยได้ อีกด้านหนึ่งก็เกิดความชอบใหม่ ๆ เช่นการเลี้ยงไก่พันธุ์ต่างประเทศเพื่อเป็นไก่สวยงาม เป็นที่มาของคำว่าเลี้ยงไก่เอาขนนั่นเอง แม้การเลี้ยงไก่จะได้รับความนิยมขึ้นในหมู่เจ้านาย บ้างเลี้ยงเป็นสัตว์สวยงาม แต่ในภาพรวมคนไทยก็ยังมองว่าการเลี้ยงไก่ไม่สามารถเป็นอาชีพได้ แถมยังถูกสกัดขาด้วยเรื่องไม่คาดคิดเมื่อมีโรคระบาดนิวคาสเซิลในไก่ เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2482 ทำให้ไอเดียการเลี้ยงไก่ของคณะราษฎร์กลายเป็นหมันไปตั้งแต่ยังไม่พิชชิ่งไอเดียให้กับประชาชนในวงกว้าง

.

3.จอมพลคนปฎิวัติไก่

ตัดกลับมาที่เรื่องราวของจอมพล ป. ที่ชื่นชอบไก่เป็นทุนเดิมเพิ่มเติมจากเรื่องวันเกิดก็คือ มีการสร้างรูปปั้นไก่ตั้งที่ลพบุรี การใช้เป็นตราประจำจังหวัดพิบูลสงคราม (ปัจจุบันคือจังหวัดบันทายมีชัยในกัมพูชา) ถึงขนาดว่าใช้เป็นลวดลายประดับชายคาในทำเนียบรัฐบาล ใช้เป็นสัญลักษณ์ส่วนตัว หรือจะเป็นการเลียนแบบครุฑที่หลาย ๆ ท่านอาจจะตึความได้ว่ามีความใกล้เคียงกับอินทรีของนาซี แต่จุดที่น่าสนใจคือการออกแบบสัญลักษณ์ไก่ของจอมพล ป. ต้องการแยก "ครุฑ" ซึ่งเป็นตราแผ่นดินของระบอบเก่า สะท้อนด้วย “ไก่” ที่อาจตีความได้ว่าสามัญทั่วไปมากกว่า ซึ่งแสดงถึงความพยายามในการสร้างอำนาจนำใหม่แทนที่สัญลักษณ์เดิม จากความชอบนี้เองก็ได้ควบคู่ไปกับความจริงจังเรื่อง ไนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงไก่ในระดับประเทศ จนกลายเป็นรากฐานของอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ในประเทศไทย

.

ด้วยความรักในไก่ที่ยังคงอยู่ในใจ ประหนึ่งรักแรกในวัย 14 จึงได้ทำการรื้อฟื้นนโยบายการเลี้ยงไก่ขึ้นมาอีกครั้งในรูปแบบที่เล่นใหญ่กว่าเดิม คือการเลี้ยงแบบเป็นอาชีพเพื่อส่งขาย ไม่ได้เป็นรูปแบบสวนครัวเหมือนครั้งอดีต

.

อเมริกาสอน

เรื่องของเรื่องคือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหาร ไก่จึงถูกยกขึ้นมาในฐานะแหล่งโปรตีนใหม่ที่มีคุณภาพและผลิตได้รวดเร็วไม่ว่าจะเป็นไก่ไข่ หรือไก่เนื้อก็ตาม โดยประเทศที่สหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนนั้นสามารถสร้างอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ได้อย่างรวดเร็ว อย่างในภูมิภาคเอเชียก็คือญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ ซึ่งยูเอสเอก็ได้แผ่อิทธิพลมาถึงไทยด้วยเช่นกันผ่านเรื่องอิทธิพลทางการเมือง การถ่ายทอดวิธีการเลี้ยงไก่แบบอุตสาหกรรม ส่วนถามว่าทำไมถึงเป็นอเมริกานั่นก็เพราะว่าอเมริกาสามารถเลี้ยงไก่ในรูปแบบอุตสหกรรมได้ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วนั่นเอง

.

มือช่วยเลี้ยงไก่

จอมพล ป. จะเป็นผู้กำหนดนโยบายและกฎหมายเพื่อให้คนไทยเลี้ยงไก่ แต่ถ้าหากขาดองค์ความรู้ด้านการเกษตรไปก็คงไม่สามารถทำให้ธุระของไก่ในไทยโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว นั่นจึงเป็นหน้าที่ของ “หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ” ที่ได้ไปเรียนเรื่องอุตสาหกรรมไก่มาจากฟิลิปปินส์(ซึ่งก็คือความรู้จากอเมริกา)และนำความรู้นี้มาเริ่มต่อยอดในไทย ซึ่งท่านได้เขียนตำราเลี้ยงไก่ขึ้นมา 2 เล่ม เพื่อใช้เป็นตำราเรียนในโรงเรียน และเป็นแหล่งความรู้สำหรับประชาชนทั่วไปที่สนใจการเลี้ยงไก่ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2472 อีกด้วย

.

โรงแรมไก่

ผลงานเด่น ๆ เลยก็คือเป็นผู้บุกเบิกการเลี้ยงไก่ในประเทศไทย และได้พัฒนาระบบการเลี้ยงไก่ไข่แบบขังกรง ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า "โรงแรมไก่" ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงไก่ทำให้สามารถดูแลและจัดการไก่ได้ดีขึ้น ซึ่งก็ได้พัฒนามาเป็นฟาร์มไก่สมัยใหม่ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน นี่คือมรดกทางการเกษตรที่น่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งจากยุครัฐนิยม

.

วรสารเพื่อคนเลี้ยงไก่

ตอนนี้เราก็ได้ คนคิด คนบุกเบิก แต่ยังขาดคนเชื่อและคนทำเพราะจากบันทึกของหลวงสุวรรณวาจกกสิกิจเล่าไว้ว่า หลังจากที่กลับมาจากเรียนต่อ ท่านรู้ว่ามีฟาร์มไก่อยู่แล้วที่บางเบิด โดยส่งขาย แค่ 500 ตัว แต่ก็ยังไม่มีคนซื้อ ทำให้เมื่อต้องเป็นคนบุกเบิกเรื่องนี้จะต้องเพิ่มให้ความรู้แกประชาชนเพื่อให้กล้าเลี้ยงและกล้ากินไก่มากขึ้น จนเป็นที่มาของวารสาร”สาส์นไก่” ในปี พ.ศ. 2494 ที่ให้ความรู้แก่เกษตรกรอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อให้สามารถเลี้ยงไก่เป็นอาชีพได้ ควบคู่ไปกับนโยบายการซื้อการขาย การรณรงค์ให้คนรับประทานไก่และไขมากขึ้น

.

4.ปราบจีนแต่ทำให้วันนี้เรามีไก่ไหว้เจ้า

คงปฎิเสธไม่ได้ว่าคนที่ทำให้โต๊ะไหว้เจ้าในบ้านคนไทยเชื้อสายจีนยังคงมีไก่ต้มวางอยู่จนถึงทุกวันนี้ คนๆ นั้นคงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" - ผู้นำที่มีชื่อเสียงในการปราบปรามวัฒนธรรมจีน ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้เปลี่ยนชื่อ การห้ามพูดภาษาจีน หรือการควบคุมการค้าของชาวจีน

.

แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นคนที่ผลักดันให้การเลี้ยงไก่กลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในเมืองไทย แม้แต่นโยบายที่ตั้งใจจะกลืนวัฒนธรรม ก็อาจจะมีนโยบายอื่นที่ค้ำจุนวัฒนธรรมนั้นไว้โดยไม่รู้ตัว

.

วันนี้ เมื่อเราเห็นไก่ต้มบนโต๊ะไหว้เจ้า เราอาจต้องนึกถึงเรื่องราวความย้อนแย้งทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้วัฒนธรรมจีนในเมืองไทยยังคงมีชีวิตชีวาอยู่จนถึงทุกวันนี้ และบางทีนี่อาจเป็นเครื่องเตือนใจว่า การพยายามควบคุมหรือทำลายวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่งนั้น อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะวัฒนธรรมมักจะหาทางอยู่รอดในรูปแบบที่เราคาดไม่ถึงเสมอ

#WongnaiStory #Wongnai #WongnaiVibes #ไก่ไหว้เจ้า #ตรุษจีน #จอมพลป #ประวัติศาสตร์

Reference

ปฎิวัติที่ปลายลิ้น ชาติชาย มุกสง

"ชำแหละอำนาจนำ ผ่านสัญลักษณ์ 'ไก่' ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม" โดย: ชาตรี ประกิตนนทการ ที่มา: ศิลปวัฒนธรรม, 1 ธันวาคม 2565

"ไก่ประดับบารมี/ไก่กิน: การเลี้ยงไก่สมัยรัฐนิยมกับสามเกลอ" โดย: ณัฐพล ใจจริง ที่มา: มติชนสุดสัปดาห์, 2-8 กันยายน 2565

"ไอเดียจอมพล ป. ให้เลี้ยงเป็ด-ไก่ ไว้กินไข่ ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ดันไข่สู่ 'อาหารจำเป็น'?" โดย: กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม ที่มา: ศิลปวัฒนธรรม, 6 พฤษภาคม 2567