เดินเข้าซอยเจริญกรุง 14 มาจะเจอร้านไอศกรีมเล็ก ๆ ตั้งอยู่ติดกับร้านอาหารเจ ถึงจะเป็นร้านไอศกรีมแต่ก็ยังไม่หลุดจากความจีนที่อยู่รอบ ๆ บริเวณนั้นนัก ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีคาเฟ่เปิดใหม่มากมายในเยาวราชนี้ แต่ร้าน “จิงจิง ไอศกรีมบาร์แอนด์คาเฟ่” น่าจะเป็นคาเฟ่เยาวราชที่สะท้อนความเป็นชุมชนชาวจีนได้อย่างดีเลยทีเดียว สังเกตเห็นได้ง่ายจากหน้าร้านที่มีกลิ่นอายและบรรยากาศเหมือนอารมณ์คาเฟ่สักที่ในฮ่องกง สีดำขรึม มีหลอดไฟสีแดงถูกดัดเป็นตัวอักษรจีนเล็ก ๆ สองตัว อ่านว่า “จิง จิง”
หลังจากผลักประตูร้านเข้าไปก็พบกับตู้ไอศกรีมหลายสิบรสชาติ สีสันสดใสเรียงรายกันอยู่ ชวนให้อยากลองชิมแทบทุกชนิด บรรยากาศในร้านอบอุ่นเป็นกันเอง ร้านตกแต่งเป็นสไตล์จีนโมเดิร์น คงความดิบและเปลือย แต่แฝงด้วยลูกเล่นแบบจีน ๆ เป็นการผสมผสานยุคเก่ากับยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ชั้นล่างจะเป็นพื้นที่สำหรับตู้ไอศกรีม ครัวแบบเปิด และบาร์ที่นั่งเล็ก ๆ ด้านข้าง ส่วนชั้นที่สองตกแต่งด้วยโต๊ะไม้หินอ่อนเอาไว้รองรับลูกค้า
“真真 จิง จิง” เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่า “True real” หรือ “จริง/แท้” และพ้องความหมายกับภาษาไทยพอดี เลยนำมาตั้งเป็นชื่อร้าน เพราะว่าเราต้องการจะนำเสนอว่าวัตถุดิบที่ใช้ทำไอศกรีมจะเป็นวัตถุดิบจริงทั้งหมด คือไม่แต่งสีแต่งกลิ่น ด้วยเหตุนี้ไอศกรีมที่ร้านจึงไม่หวานมาก เพราะเน้นรสชาติเข้มข้นจากวัตถุดิบจริง คุณปู-ชุตินาถ ทัศนานุพันธ์ เจ้าของร้านบอกความหมายของร้านให้ฟัง
คุณปูเป็นคนที่อาศัยอยู่แถวชุมชนจีนนี้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ทำไอศกรีมขายที่หน้าร้านขายเครื่องประดับของคุณแม่ที่สำเพ็ง มีการทำไอศกรีมส่งตามร้านอาหารต่าง ๆ แต่เริ่มอยากเปิดร้านแบบจริงจังมากขึ้น พอได้ที่ตรงนี้ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้าน จึงตัดสินใจเปิดเป็นร้านขึ้นมา ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนในชุมชน ดังนั้นความเป็นกันเองและความคุ้นเคยกับคนบริเวณนี้จึงกลายมาเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของร้าน สังเกตได้จากคนที่แวะเวียนมากินไอศกรีมของเธอไม่ใช่คนที่มาจากที่อื่นไกล เป็นคนที่เหมือนเดินมาจากบ้านใกล้ ๆ เข้ามาพร้อมกับสั่งเมนูเป็นประจำ หรือบางทีลูกค้าจากร้านอาหารเจข้างหน้ากินอิ่มแล้วก็ยังมานั่งกินไอศกรีมต่อ คุณปูเลยจึงเลือกทำไอศกรีมสำหรับคนกินอาหารเจด้วย
ร้านจิงจิงส่วนหนึ่งจะมีทั้งไอศกรีมที่เป็นรสชาติประจำและรสชาติหมุนเวียน โดยรสชาติหมุนเวียน บ้างเลือกจากรสชาติที่ตนชอบ บ้างก็จะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบในช่วงนั้น หรือว่าลูกค้าอยากกินอะไรก็จะมีมาบอกหลังไมค์ เช่น เทศกาลตรุษจีนมักจะทำไอศกรีม “ส้ม” เพราะคนจีนเชื่อว่าส้มเป็นผลไม้มงคล หรือบางช่วงดูว่าเราอยู่ในชุมชนนี้เอาอะไรมาทำได้บ้าง มีเมนูหนึ่งที่ดึงวัตถุดิบจากเยาวราชอย่าง “เกาลัด” มาทำแล้วนำมาจับคู่กับครัวซองต์
นอกจากนี้จุดเด่นอย่างหนึ่งของร้านคือจะมีไอศกรีม “รสชาติพิเศษ” ที่ไม่ซ้ำกันแต่ละเดือน และเรียกได้ว่าเป็นรสชาติ “แปลก” เช่น รส "พอนซึซอร์เบต์" กับหมูสไลซ์ รส "น้ำจิ้มซีฟู้ด" กินคู่กับปูอัดทอด หรือจะเป็นรส "ชวนป๋วยปี่แปกอ ซอร์เบต์" ซึ่งเป็นยาแก้ไอนั่นเอง! ลูกค้าที่มาก็จะได้เจอกับประสบการณ์การกินไอศกรีมแบบไม่เหมือนที่ไหนมาก่อน คุณปูเล่าว่า “เราเริ่มจากการมองความแปลกใหม่ก่อนแล้วดูว่าอันไหนน่าจะดึงมาทำเป็นไอศกรีมได้ จะมาในรูปแบบไหน แล้วจะเสิร์ฟคู่กับอะไร เพราะมันมีเบสของไอศกรีมอยู่แล้ว แต่ต้องมากะปริมาณดูว่าปกติที่เรากินอะไร กินในปริมาณเท่าไร ลองทำครั้งถึงสองครั้งก็จะได้ละ”
รสชาติที่แปลกที่สุดสำหรับคุณปูตั้งแต่ที่เคยทำไอศกรีมมาคือรส "กาหนาไฉ่” นั่นแหละ ฟังไม่ผิดแน่นอน กาหนาไฉ่ที่ไว้กินคู่กับข้าวต้มนั่นเอง คุณปูเล่าให้ฟังว่า “ใจจริงเราอยากทำกาหนาไฉ่เพราะเราไปเจอร้านที่ขายเจ้าหนึ่งแล้วมันมันดี แล้วเขาทำเฉพาะช่วงกินเจ เราก็เลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจ แต่พอทำแล้วไม่เวิร์คก็เลยลองปรับมาเป็นไอศกรีมรส “ข้าวต้ม” แล้วก็เสิร์ฟคู่กับกาหนาไฉ่แทน” ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในเมนูสเปเชียลของทางร้าน ที่เริ่มต้นมาจากความตั้งใจในตอนแรก
ภายใต้ความแปลกใหม่ของรสชาติที่ไม่เหมือนใครในแต่ละเดือน มาพร้อมกับความท้าทายที่คุณปูต้องเผชิญ ที่นอกจากด้านการทำไอศกรีม ที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการทำ ตั้งแต่ต้มนม ผสมน้ำตาล แล้วก็ระยะเวลาการปั่นที่ต้องพอดี ยังต้องมานั่งคิดว่าเดือนต่อ ๆ ไปจะทำอะไรดี “ตอนที่คิดรสใหม่ มันก็จะมีทั้งความชอบและความไม่ชอบอยู่รวมกัน เช่น มันจะถึงเดือนแล้วมันยังคิดไม่ออก แต่พอเราคิดออกแล้ว จะทำออกมาให้มันเป็นไอศกรีม มันควรจะเป็นอย่างไร มันเหมือนเป็นความสนุก เราคนทำเราก็สนุกด้วย ลูกค้าที่รอชิมหรือจังหวะมาเจอรสแปลก ๆ ก็สนุกในแบบหนึ่ง” คุณปูกล่าว
หลังจากที่ได้คุยกันอยู่นาน พวกเราก็เริ่มเลือกรสชาติไอศกรีมและขึ้นไปนั่งรอชั้นสองพร้อมชิม โดยเมนูแรกที่สั่งเป็นเมนูซิกเนเจอร์จากทางร้านคือ ไอศกรีมรส “ชีสพาย” (ราคา 90 บาท) สามารถเลือกท็อปปิงเพิ่มได้ระหว่าง สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี และคาราเมล ซึ่งในวันนี้เราเลือกมากินคู่กับบลูเบอร์รี เสิร์ฟมาในแก้วขนาดพอดีมือ
ต่อมาคือรส “กะทิ” ที่มาพร้อมกับเอสเปรสโซซ็อต (ราคา 120 บาท) ซึ่งเป็นเมนูสำหรับคนที่กินเจด้วย เลือกที่จะกินเดี่ยว ๆ หรือจะเพิ่มช็อตกาแฟกลายเป็นอัฟโฟกาโต้ก็ได้เช่นกัน ทั้งตัวกะทิและกาแฟ พอกินพร้อมกันแล้วบอกเลยว่ากลมกล่อมและลงตัวมาก ๆ ส่วนรสชาติสุดท้ายที่ได้ลองชิมคือ “Mixed Berrys Sorbet” (ราคา 60 บาท) ตัวนี้จะรสชาติเข้มข้นจากเบอร์รีสด ๆ มีความเปรี้ยวและหวานมาจากเบอร์รีแท้ เหมาะสำหรับการดับร้อนยามบ่าย
“จิงจิง ไอศกรีมบาร์แอนด์คาเฟ่” ไม่ได้เป็นแค่ร้านขายไอศกรีมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นคาเฟ่ที่มีทั้งชุดอาหารเช้า กาแฟอีกด้วย ครั้งนี้ได้ลองสั่งชุดอาหารเช้า “แพนเค้กเบคอน” (ราคา 120 บาท) กินคู่กับเมเปิลซีรัปที่มีบริการตลอดทั้งวัน ส่วนเครื่องดื่มเป็น “ไทยจิงจิงลาเต้” (ราคา 90 บาท) รสชาติไม่แพ้เมนูอื่นเลยจริง ๆ เพราะทางร้านได้คัดสรรเมล็ดกาแฟมาอย่างดี
หลังจากที่ได้เห็นความหลากหลายของรสชาติที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ก็รู้เลยว่าคุณปูเป็นคนที่ชอบทดลอง และหาความแปลกใหม่อยู่เสมอ ในอนาคตสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราอาจกลายมาเป็นรสชาติของไอศกรีมของร้าน มาลองลุ้นกันว่าเดือนต่อไปจะมีเมนูพิเศษเป็นรสชาติอะไร จะแปลกและน่าค้นหาขนาดไหน อย่าลืมมาแวะชิมไอศกรีมได้ที่ร้าน “จิงจิง ไอศกรีมบาร์แอนด์คาเฟ่” ที่นอกจากคุณจะได้สัมผัสรสชาติไอศกรีมที่แปลกใหม่แล้ว จะได้ความประทับใจจากการบริการแน่นอน เพราะเธอมักจะยิ้มแย้มกับลูกค้าและต้อนรับลูกค้าทุกคนอย่างดีที่สุด ในส่วนของวัตถุดิบ เธอก็จะคงยังคุณภาพของวัตถุดิบให้ดีที่สุดเพื่อลูกค้าเช่นกัน
ร้าน “จิงจิง ไอศกรีมบาร์แอนด์คาเฟ่” เป็นร้านไอศกรีมเยาวราช ตั้งอยู่ในซอยเจริญกรุง 14 หรือเข้าทางเยาวราชซอย 8 เปิดเวลา 09.30-17.30น.หยุดทุกวันอังคาร ติดต่อได้ผ่านเบอร์ 081-974-1929 หรือติดตามเมนูพิเศษได้ผ่านทางอินสตาแกรม Jingjingicecreambarandcafe นอกจากนี้ยังสามารถสั่งผ่าน LINE MAN ที่นี่ และในส่วนของมาตรการป้องกันโควิด-19 ทางร้านจะให้ลูกค้าลงชื่อทุกครั้งก่อนเข้า ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ และเว้นระยะห่างเสมอ