ในช่วงเวลาที่แสงของวันกำลังจะหมดลง คือ การเริ่มต้นของแสงที่เจิดจรัสที่สุดบน “ถนนข้าวสาร” ถนนสายเล็ก ๆ ที่ไม่เคยหลับใหล เต็มไปด้วยความคึกคัก ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร สตรีทฟู้ดที่เต็มล้นสองข้างทาง เสียงหยอกล้อพูดคุยของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่ต่างมาชิล เล่น สนุกสนานจนรุ่งสางของเช้าวันใหม่ในถนนสายนี้ แหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืนคือนิยามของ “ข้าวสาร” ที่ทุกคนรู้จัก
แต่ ณ ตอนนี้ ตลอด 24 ชั่วโมงบนถนนข้าวสารกลับไร้นักท่องเที่ยว ตั้งแต่เรามาถึงนับจำนวนคนได้เป็นหลักหน่วย ข้าวสารวันนี้เหมือนตะเกียงน้ำมันที่กำลังจะดับลง ลมหายใจค่อย ๆ แผ่วเบาลงไปทุกที เมื่อต้องรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 มาถึง 2 ครั้ง กว่า 1 ปีมาแล้วที่นักท่องเที่ยวลดลงไปเรื่อย ๆ และล่าสุดหลังจากที่รัฐบาลประกาศมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดฯ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2563 ที่นี่ก็เงียบสนิท ตอนนี้ “ข้าวสาร” เป็นอย่างไรบ้าง


“เงียบครับ ไม่มีคน หลังจากช่วงสั่งปิดสถานบริการตอนนั้นมาก็ไม่มีคนเลย ไม่มีนักท่องเที่ยว ร้านค้าหยุดขายหมด ไม่มีร้านไหนเปิดเลยมีแต่รถเข็นแบบเรา เข็นกันไปเข็นกันมา ก่อนหน้านี้ยังพอมีลูกจ้างมากิน ก่อนหน้านี้มันเริ่มจะดี พอมีโควิดรอบสองเข้ามา สั่งปิดสถานบริการคนก็หายหมดเลย ยอดขายมันลดลงมาเยอะ ปกติยังพออยู่ได้เหลือกินเหลือเก็บแต่ตอนนี้ถ้าไม่ทำเลยก็คงไม่เหลืออะไรแล้ว เราขายประจำที่นี่ก็คงขายต่อไปเรื่อย ๆ ไปที่อื่นก็คงเหมือนกัน อยู่ที่นี่เราก็อาศัยขายคนที่พักอยู่แถวนี้ นอกพื้นที่ก็ไม่มีมากินแล้ว แต่ก่อนมีร้านรถเข็นเยอะเรียงเป็นแถวเต็มถนนแต่ตอนนี้เขาก็ไม่มากันแล้ว ผมไม่รู้นะว่าอีกนานเท่าไหร่ เงียบลงทุกวัน ๆ”

“ตั้งแต่โควิดรอบแรกมันก็ยังพอได้ แต่มารอบสองมานี้คือไม่ได้อะไรเลย ตอนนี้แย่มากค่ะ แต่ก่อนร้านเต็มตลอดทั้งคืน ตอนนี้ชาวต่างชาติหายหมดคนไทยยังไม่มีเลย ทุกวันนี้เปิดขายอาหารหน้าร้านแค่ตอนเช้า ลูกค้าวันหนึ่งไม่ถึง 10 คน แต่เราต้องเปิดเพราะต้องดูแลพนักงานที่ตอนนี้เหลือกันอยู่ 7 คน ไม่กระเตื้องแบบนี้มานานแล้ว แต่ตอนนี้แย่สุด คงทนไปได้ถึงแค่กลางเดือนคงต้องปิดไปก่อน ถ้าดีขึ้นก็ค่อยกลับมาเริ่มใหม่ ตอนนี้ต้องอยู่อย่างนี้ต้องสู้ ๆ ไป”


นอกจากร้านค้าที่เรียกได้ว่าปิดแทบทั้งหมด โรงแรม โฮสเทลต่าง ๆ ที่เคยคับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตอนนี้กลายเป็นร้างผู้คน เหลือเพียงแค่เสียงถอดถอนใจและความพยายามที่จะต้องสู้ต่อด้วยตัวเอง เพื่อรอคอยบรรยากาศแห่งความคึกคักจะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะอีกยาวนานแค่ไหน
“ผีหลอกครับตอนนี้ มีแต่ลูกค้าประจำเป็นฝรั่งที่มาเช่าโรงแรมรายเดือน พอดีเขามาช่วงปีใหม่แล้วกลับไม่ได้ มีแค่คนสองคน ช่วงเดือนที่แล้วยังพอขายดีนะ ได้วันละ 7,000-8,000 บาท แต่ตอนนี้เหลืออยู่ไม่ถึง 1,000 บาท วันนี้มีลูกค้ามานั่งแค่ 2 คน ก็คงต้องทนไปก่อน”


แต่เราก็ยังพอได้เจอเสียงหัวเราะแห่งความสุข ในชีวิตที่พอมีแต่ละวัน ถึงโควิดมันจะร้ายกับเราแค่ไหนแต่จิตใจยังคงต้องเข้มแข็ง
“ก็มีความสุขไม่ได้มีความทุกข์นะ บรรยากาศเงียบสงบ ปิดกริ๊บเลย แบบไม่เคยมีมาก่อน นี่เพิ่งเข็นมาจากวัดบวรแต่มาตรงนี้ไม่มีคนเลย ตอนนี้ศูนย์จริง ๆ เดี๋ยวนี้สายโยกเขากลับไปหมด เขาไม่มาแล้ว โควิดนี่มันโยกไม่เป็นแต่มันกวนใจ แถวนี้ปกติทุ่มหนึ่งก็เริ่มเปิดเพลง นี่ถึงเขายังไม่สั่งให้ปิดแต่ตอนนี้ก็ขายอะไรไม่ได้แล้ว”


เดินมาจนถึงร้าน "ปาท่องโก๋" เจ้าดังหัวมุมถนน ถึงจะพอมีลูกค้าอยู่บ้าง แต่บรรยากาศที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนตอนนี้ยอมรับว่าเงียบเหงามาก ๆ
“ก็เรียบร้อยน่ะสิ เงียบมากนะ โดยเฉพาะจำกัดเวลากินอาหารถึงแค่ 3 ทุ่ม ถ้าปิดสัก 5 ทุ่มจะดีกว่านี้ พวกร้านที่ทำอาชีพกลางคืนจะโดนหนักมาก กระทบกันโดยตรง อย่างร้านของเราที่ขายอาหารก็ต้องมีการ Take away เพราะคนไม่อยากเดินทางของมันก็จะขายได้น้อยลง คนกลัวในด้านโภชนาการอะไรหลาย ๆ อย่าง ยอดขายตกลงกว่า 60% ในวันธรรมดา แม้ร้านเราจะเป็นร้านดังแต่คนก็น้อย ตอนนี้ความสะอาดต้องมาอันดับหนึ่งที่เราต้องดูแลภายในร้านและตรวจอุณหภูมิลูกค้าทุกคน ถ้าโรคมันควบคุมได้มันคงจะดีขึ้น อาหารที่ซื้อแบบกินที่บ้านกับคนมานั่งกินที่ร้านความรู้สึกมันไม่เหมือนกันหรอกแต่เราก็ต้องเปลี่ยนวิถี เราต้องยอมรับกับมันเลี้ยงดูลูกน้องให้ได้ พออยู่ได้แหละแต่ก็ขาดทุน เราผ่านมาแล้วครั้งหนึ่งที่ล็อกดาวน์มันหนักมาก ครั้งนี้เราก็ต้องไหว ล็อกดาวน์อีกครั้งมันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะเราคงไม่ได้เงินเยียวยาอะไร ก็ต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ"


เมื่อสถานการณ์ยังคงคาดเดาไม่ได้ คนทำมาค้าขายในย่านนี้ก็ยังต้องสู้ต่อไปเรื่อย ๆ แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าคงมีร้านค้าบางร้านที่อาจจะต้องปิดไปถาวรจากความไม่กระเตื้องของนักเที่ยวมานานนับกว่า 1 ปี แต่ก็ยังรอคอยแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ณ วันที่ "ถนนข้าวสาร" จะแน่นขนัดไปด้วยผู้คน และรอยยิ้มของความสนุกสนานอีกครั้ง