4.0
6 เรตติ้ง (3 รีวิว)
ปิดอยู่จะเปิดในเวลา 08:30
Tub Tim Restaurant Nimman
Posted On 05 May 2022 #featured ลิ้มลองกับอาหารจีนแนว Hybrid รสมือที่เป็นเอกลักษณ์ตำนานความอร่อยกว่า 40 ปีจากใต้สู่เหนหลาย ๆ ธุรกิจมักจะเกิดจาก Pain Point ของคน และสำหรับที่ ทับทิม ภัตตาคาร แห่งนี้ก็เกิดจากการที่เจ้าของร้านเวลาที่อยากจะกินอาหารจีนสักครั้งหนึ่ง จะต้องชวนญาติ หรือรวบรวมเพื่อนฝูงให้ได้จำนวนหนึ่ง ถึงจะไปกินได้ เพราะว่าอาหารจีนมักจะเสิร์ฟกันแบบจานใหญ่ และเหมาะสำหรับการเป็นหมู่คณะ ในบางครั้งอาจจะมีความรู้สึกที่ว่าอยากไปกินคนเดียวจึงเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดร้านขึ้นมา ย้อนกลับไปเมื่อ 40 กว่าปีที่ผ่านมา ทับทิม ภัตตาคาร แห่งแรกได้ถือเกิดขึ้นที่ อ. สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อครั้งนั้นครอบครัวของเจ้าของร้านได้ย้ายไปอยู่ทางใต้ ในยุคนั้นร้านอาหารแนวคาเฟ่เป็นที่นิยมมาในกรุงเทพฯ แต่ในต่างจังหวัดแทบจะหาไม่ได้เลย ดังนั้นคงเป็นการดีที่จะมีร้านอาหารสวย ๆ แนวคาเฟ่ไว้บริการนักท่องเที่ยว หรือนักธุรกิจชาวมาเลเซีย นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เกิด ทับทิม ภัตตาคาร ขึ้นในปี พ.ศ. 2523 และดำเนินกิจการมาหลายปี แต่จนวันหนึ่งที่ครอบครัวของเจ้าของร้านมีความจำเป็นต้องย้ายกลับกรุงเทพฯ ถึงปี พ.ศ. 2543 ทับทิม ภัตตาคาร ก็ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ที่กรุงเทพฯ ในสนามกอล์ฟธนาซิตี้ ทางร้านก็ได้นำสูตรอาหารต่าง ๆ ที่เกิดขายในสมัยที่อยู่ร้านเก่า มาผสมผสานความเป็นภาคกลางทำให้ได้เป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์ ถูกปากคนกรุงมากขึ้น จนเป็นที่ชื่นชอบ จากจุดนี้ก็ได้ส่งต่อองค์ความรู้ด้านอาหาร จากรุ่นสู่รุ่น การเดินทางของทับทิม ภัตตาคารยังไม่หยุด ด้วยมนต์เสน่ห์ของเชียงใหม่ ที่เย้ายวนให้เจ้าของร้านอยากย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ แต่เมื่อทบทวนอยู่หลายครั้งแล้วว่ามาอยู่แล้วจะทำอะไรดี ในวันที่จัดของเพื่อที่จะย้ายมาอยู่เชียงใหม่ ได้ไปเจอแก้วน้ำ 8 ใบที่ใช้ตั้งแต่สมัยร้านในปี 2523 จึงได้ฉุกคิดว่าเรามีสูตรอาหารที่เป็นมรดกอยู่แล้ว จึงรีบโทรชักชวนเชฟที่เคยร่วมงานกันตั้งแต่ร้านแห่งแรก และสุดท้าย ทับทิม ภัตตาคาร นิมมานเหมินท์ ก็เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2563 เจ้าของร้านพยายามรำลึกถึงภาพในอดีตที่ได้เคยวิ่งเล่นอยู่ที่ ทับทิม ภัตตาคาร ครั้นสมัยที่อยู่สุไหงโก-ลก พยายามถอดแบบของร้านเก่ามาตกแต่งร้านที่เชียงใหม่ ให้ย้อนหวนอดีต จึงทำให้ร้านแห่งนี้มีกลิ่นอายของความเป็นจีน สไตล์เรโทรอยู่พอสมควร สำหรับใครที่แวะมานิมมาน ซอย 11 (ช่วงกลางซอยระหว่าง 11 และ 13) ก็คงได้เห็นร้านนี้โดดเด่นเป็นแน่ ทางร้านนิยามสไตล์อาหารว่าที่นี่เป็น Chinese Hybrid Restaurant คือจะเป็นแนวอาหารจีนที่ผสมผสานหลากหลายพื้นที่ เรียกได้ว่ามาที่เดียวครบ อีกทั้งปริมาณในการเสิร์ฟ จะไม่เน้นจานใหญ่ เพราะอย่างที่น้าอ้วนเล่าให้ฟังตั้งแต่ตอนต้น ทางเจ้าของร้านอยากให้ใครก็ตามที่อยากกินอาหารจีน ถึงแม้จะไม่มีหมู่คณะ ก็สามารถมานั่งกินคนเดียวได้อย่างสบายใจ สุกี้โบราณ (หมู 340 บาท, เนื้อ 380 บาท) ความเป็นสุกี้ในแบบดั้งเดิม ความเป็นสูตรโบราณที่ทางทับทิม ภัตตาคารได้ส่งต่อความอร่อยแบบรุ่นสู่รุ่น สุกี้แบบนี้บอกได้เลยว่าหากินได้ยาก มีไม่กี่ร้านในประเทศไทยที่ยังคงมีให้บริการ เนื้อหมู หรือเนื้อวัวที่หั่นเป็นชิ้นใหญ่ เต็มปากเต็มคำ คลุกเคล้ากับซอสที่ทำจากเต้าเจี้ยว กลิ่นหอมหวน เวลากินก็ให้ตีไข่ให้แตก คลุกเคล้ากับเนื้อให้เข้ากัน เทลงหม้อที่น้ำซุปร้อน ๆ เติมผักลงไป รอทุกอย่างสุกก็พร้อมกินได้ อีกทั้งน้ำจิ้มเต้าหู้ยี้ที่ถือเป็นสูตรลับเฉพาะ เมนูที่หากินได้ยากแบบนี้ ถ้าใครอยากลองพิสูจน์ความอร่อย ก็คงต้องมาที่นี่แล้วหละ *ใน 1 เซ็ตจะประกอบด้วย หมู หรือเนื้อ ชุดผักรวม น้ำซุป และน้ำจิ้ม ข้าวย่างหัวมันกุ้ง (140 บาท) ถือเป็นเมนูที่เมื่อน้าอ้วนได้ยินเชฟเล่ากรรมวิธีแล้วต้องขอยอมแพ้ สั่งกินง่ายกว่า เพราะขั้นตอนยุ่งยากมากตั้งแต่เอามันกุ้งไปผัดกับข้าวให้หอมมัน ส่วนเนื้อกุ้งก็เอาไปผัดกับเนยให้หอมและรสชาติละมุน เมื่อเสร็จแล้วเอาทุกส่วนกลับไปในตำแหน่งเดิม เอาไปย่างให้สุกเพื่อส่งกลิ่นหอม ท็อปด้วยไข่กุ้งและต้นหอม เมนูนี้น้าอ้วนแนะนำให้กินร้อน ๆ มันจะฟินมาก ข้าวอบกุนเชียง (120 บาท) ข้าวสวยร้อน ๆ ผัดกับเครื่องและน้ำซอสต่าง ๆ ให้รสชาติเข้ากัน เพิ่มความอร่อยด้วยหน่อไม้ กุนเชียง ต้นหอม เนื้อหมู แล้วเอาไปอบให้ร้อนกรุ่นกลิ่นหอม จนได้ข้าวอบกุนเชียงที่หอม นุ่ม ฉ่ำน้ำซอส และกุนเชียงหวานกลมกล่อม หนึบหนับ ซุปหูฉลามคอลลาเจนน้ำแดง (220 บาท) เห็นว่าเป็นหูฉลามแล้วอย่าเพิ่งส่งสายตามองค้อนใส่น้าอ้วนนะ ทางร้านไม่ได้ใช้หูฉลามจริง ๆ แต่เป็นหูฉลามที่ทำจากคอลลาเจน นำเข้าจากฮ่องกงโดยเฉพาะ แต่ถ้าไม่บอกว่าไม่ใช่หูฉลามจริงนี่น้าอ้วนก็แทบจะดูไม่ออก เพราะรสชาติและเนื้อสัมผัสมันใกล้เคียงกับของจริงมาก อีกทั้งยังมีประโยชน์กว่าด้วย สิ่งที่เสริมให้ซุปชามนี้อร่อยก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของน้ำซุปที่มีรสชาติกลมกล่อม แล้วมีเนื้อปูก้อนมาเสริมทัพให้ซุปชามนี้ฟินมาก ๆ หมูแดง (120 บาท) หมูแดงสูตรฮ่องกงของที่นี่บอกเลยว่าใครที่เคยไปกินที่ฮ่องกง หรือคิดถึงฮ่องกง เมื่อได้มากินแล้วจะหายคิดถึง ที่นี่จะมีให้เลือกอยู่ 2 ส่วนด้วยกันก็คือ ส่วนสันใน และส่วนของพื้นท้อง ซึ่งแต่ละส่วนก็จะมีความอร่อยที่แตกต่างกัน สันในจะเป็นส่วนที่เป็นเนื้อแทบทั้งหมด แต่มีความนุ่มมาก แต่ถ้าใครชอบความฉ่ำ ส่วนของพื้นท้องเนี่ยและที่มีทั้ง หนัง ไขมัน และเนื้อ มันเป็นอะไรที่วิเศษสุด ๆ หมูกรอบ (220 บาท) ใครที่เคยกินหมูกรอบสไตล์ฮ่องกง ก็คงรู้ว่าการทำหมูกรอบสไตล์นี้เขาต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ ส่วนพื้นท้องของหมู 1 ชิ้น ใช่ว่าจะทำหมูกรอบแบบนี้ได้ทั้งหมด จะต้องเลือกส่วนที่ดีที่สุด แล้วเอาไปทำให้หนังกรอบ ส่วนไขมันต้องไม่หนามาก ตัดกับส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวสุกแต่ยังคงความฉ่ำ เนี่ยแหละคือความอร่อยของหมูกรอบสไตล์ฮ่องกง เมื่อมีอาหารดีแล้ว ถ้าได้เครื่องดื่มมาจับคู่ด้วยก็คงดีไม่น้อย วันนี้น้าอ้วนขอแนะนำเมนูเครื่องดื่มแบบไร้แอลกอฮอล์ หรือ Mocktail สำหรับใครที่อยากดื่มชิล ๆ ก็มีให้เลือกนะ Mocktail Strawberry (200 บาท) ความสดชื่นจากสตรอว์เบอร์รี เปรี้ยวอมหวาน ท็อปด้วยโซดา เปรี้ยว หวาน ซ่า สะใจ Mocktail Pink Lady (200 บาท) ความหวานหอมของเชื่อมแบบกรานาดีน (ทับทิม) เพิ่มความมันด้วยวิปปิ้งครีมที่เชคอยู่ในกระบอก เมื่อเข้ากันแล้วก็เทใส่แล้ว บีบวิปปิ้งครีมท็อปด้านบนเพิ่ม แก้วนี้เหมาะสำหรับใครที่ชื่นชอบความหวานอมเปรี้ยว และหอมมันของวิปปิ้งครีม Mocktail Passion Fruit (200 บาท) เปรี้ยวอมหวาน และหอมของเสาวรส ที่ผสานกับน้ำผลไม้ต่าง ๆ อีกหลายชนิด เชื่อว่าแก้วนี้ใครที่ชอบรสชาติแบบเปรี้ยวอมหวานในแบบของเสาวรสต้อง happy แน่นอน ที่สำคัญตอนนี้ร้านมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับเครื่องดื่มด้วยนะ ถ้าได้ยินแล้วต้องร้องว้าว และตาโตแน่นอน ถ้าอยากรู้สอบถามได้โดยตรงจากทางร้านได้เลย ตำนานที่ยังคงมีชีวิต จากใต้สุดมาสู่เมืองเหนือ เชฟได้นำเอาอาหารที่มีเอกลักษณ์มาให้บริการคนเชียงใหม่ได้ลิ้มลอง ในบรรยากาศของความเป็นทับทิมฯ ที่ย้อนไปเมื่อกว่า 40 ปีที่ผ่านมา Chinese Hybrid Food ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยได้ลิ้มลองรสกัน ก็สามารถแวะเวียนมาอร่อยได้ที่นี่ ถือเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารจีนดี ๆ ที่ไม่ต้องพกเงินมาเยอะ ไม่ต้องชวนใครมาแยะ อยากกิน อยากอิ่มคนเดียวก็แวะมาได้ตลอด... อ่านต่อ
0 Like0 Comment
photo