4.4
10 เรตติ้ง (7 รีวิว)
ปิดอยู่จะเปิดในวันเสาร์ เวลา 11:00
Matthew's Table
สปาเก็ตตี้แองเจิ้ลแฮร์สตูว์ไก่แบบเมดิเตอร์เรเนียน
ร้านสุดอาร์ต ทั้งการตกแต่ง อาหาร และคุณพี่เจ้าของร้านนี้ถ้าไม่รักจริง อาจจะไม่รู้ว่ามีอยู่ในกรุงเทพฯ นะ เพราะเค้าไม่โฆษณา และบอกเน้นๆ มาว่า "ไม่อยากให้ใครรู้จัก" ไม่อยากดัง เพราะมันจะมีผลต่อการดูแลลูกค้าของพี่เค้า พี่แมทเจ้าของร้าน (ที่ทำงานเป็นนักสร้างแบรนด์มือต้นๆ ของเมืองไทย และเป็นเจ้าของร้าน เลอ ชา ปงที่หัวหิน) เค้าอยากคงคอนเซปท์การมากินข้าวที่บ้านเพื่อน ไม่ได้เน้นเป็นการค้า ไม่ได้ขายเอากำไร แต่ทำเพราะใจรัก และพี่เค้าอาร์ตมาก บอกเลย!!! อาร์ตแรก: เริ่มกันตั้งแต่หน้าประตูร้านเลยนะ ถ้าใครมาถึงซอยลาดปลาเค้า 18 แล้ว และเลี้่ยวไปตามทางที่ร้านเค้าบอกมาแล้ว จะพบว่ามันเป็นซอยตันๆ ซอยหนึ่ง ซึ่งไม่มีอะไรจะบอกได้เลยว่า ไหนล่ะร้าน "Sweet Burgundy Weekend Cafe & Tea House" มันไม่เห็นมีป้ายอะไรบอกไว้เลย!!! ก็เลยขอพี่เค้าถ่ายรูปหน้าประตูรั้วบ้านมาให้ดูกันซะเรย ว่าบ้านหลังสุดท้ายทางขวามือที่ปิดประตูรั้วไว้มิดชิดนี่แหละ ร้าน "Sweet Burgundy Weekend Cafe & Tea House" มาไม่ผิดหรอก เปิดประตูเข้าไปเล้ย... อาร์ตที่สอง: ร้านนี้เมนูจะมีทั้งเมนูประจำ และเมนูไม่ประจำ ซึ่งเมนูไม่ประจำนี่พี่เค้าก็ทำออกมาตามความชอบส่วนตัวล้วนๆ เลย ไทยแท้รสจัดมั่ง อาหารฝรั่งสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนมั่งไรมั่ง เป็นสูตรที่พี่เค้าคิดค้นขึ้นมาเองเลย ทำกันสดๆ ในครัวของบ้านนั่นแหละ แต่สิ่งที่ทำให้ที่นี่ขึ้นชื่อ ก็คือ "สโคน" ค่ะ มันขึ้นชื่อ เพราะหนึ่งพี่เค้าคิดค้นสูตรเอง ประยุกต์สูตรเองจากที่ได้ไปชิมสโคนมาจากหลายๆ ที่ แล้วก็พลิกแพลงเอานู่นนี่นั่นผสมลงไปในเนื้อสโคน จนได้สโคนออกมาหลายแบบเลย เช่น สโคนมะพร้าว สโคนไมโลอัลมอนต์ สโคนลูกเกด สโคนเนยดับเบิ้ลช็อกโกแลต สโคนบานาน่าสปลิท กินคู่กับแยมโฮมเมดทำเองจริงๆ เปล่ารับมา เช่น แยมส้มโอ แยมบลูเบอร์รี่ แต่สโคนต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้มีขายครบทุกแบบทุกวันนะ พี่เค้าจะหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป และทำออกมาแค่อาทิตย์ละ 2 แบบเท่าน้ั้น ต้องคอยไปติดตามกันในเฟซบุ๊คของร้าน ว่าอาทิตย์ไหนมีสโคนอะไรมาให้กิน พี่เค้าอัพเดตไว้อยู่เสมอๆ เลย วันที่ไปเจอสโคนมะพร้าว กับสโคนไมโลอัลมอนต์ กินกับแยมส้มโอและแยมบลูเบอร์รี่ (ราคาชุดละ188 บาท) ชอบสโคนทั้งสองชนิดนี้มาก เพราะมันหอมมาจากข้างในตัวสโคนเลย บิออกมาทาแยมให้เยิ้มๆ แล้วเอาส่งเข้าปาก รสชาติและรสสัมผัสมันจะคล้ายๆ เรากินคุ้กกี้เนื้อร่วนๆ ผสมกับชอร์ตเบรด (ของโปรด) สั่งชาร้อนๆ มาจิบไปด้วย จะได้อารมณ์จิบน้ำชายามบ่ายแบบผู้ดีอังกฤษนะ นิดนึงๆ เพราะรอบตัวก็เป็นสวนสวยๆ ซะด้วยสิ ส่วนของคาวที่โดนไปวันนั้น คือ "สปาเก็ตตี้แองเจิ้ลแฮร์สตูว์ไก่แบบเมดิเตอร์เรเนียน" (ราคา 328 บาท) มันเป็นสปาเก็ตตี้และสตูว์ไก่ที่หอมเครื่องเทศมากๆ ให้อารมณ์เหมืิอนกำลังอยู่ในรายการ "River Cottage" รายการทำอาหารของประเทศออสเตรเลีย ที่เป็นกระท่อมในชนบทแล้วทำอาหารกินเองแบบปลูกทุกอย่างเอง แล้วไปเก็บเอามากิน ซึ่งเมนูนี้นี่แหละ มันให้อารมณ์แบบนั้นเลย ไม่รู้ทำไมเหมิือนกัน อาจเป็นเพราะรสชาติของสตูว์ไก่ให้อารมณ์เหมือนคนที่บ้านทำให้กิน มากกว่าจะให้อารมณ์ของอาหารตามร้านอาหารมั้ง ส่วนอีกเมนูนึง พี่แมทเจ้าของร้านเค้าภูมิใจนำเสนอมาก คือ "หมูย่างซอสเห็ด" (ราคา 258 บาท) เป็นหมูชิ้นหนาๆ นุ่มๆ ย่างแบบให้ผิวข้างนอกเกรียมๆ นิดหน่อย ราดซอสครีมเห็ดหอมรสชาติเข้มข้นและหอมเครื่องเทศกับกลิ่นเห็ดหอมตากแห้ง กินกับแครอตกริลล์และสลัดผักสด และพาร์สลีย์ ฟินตรงหมูมันนุ่มนี่แหละ จานสุดท้ายเป็น "สเต็กปลาดอรี่ทอด" (ราคา 298 บาท) อารมณ์ประมาณฟิชแอนด์ชิพเลย แต่หรูขึ้นมาอีกหน่อย ตรงที่มีเคเปอร์ ผักชุบแป้งทอด และสลัดผักกองเล็กๆ มาด้วย จานนี้ชอบเนื้อปลาดอรี่มากๆ เพราะข้างในยังมีความชุ่มฉ่ำอยู่ กินแล้วหยุ่นๆ ไม่แห้งหรือแข็งกระด้างเลย เอาไปจิ้มกับทาร์ทาร์ ซอสเปร้ีั้ยวๆ เค็มๆ มันๆ ก็ยิ่งอร่อย เสียดายมีน้อยไปหน่อย กินเพลินๆ ก็หมดซะแล้ว อาร์ตที่สาม: ร้านอื่น ที่อื่น ธุรกิจอื่น เค้านิยมเซ็ตราคาให้ลงท้ายด้วยเลข "9" หรือ เลข "5" กันซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะมันทำให้ราคาดูไม่แพงมากไปแบบ อีกบาทนึงจะสองร้อย แต่มันก็ยังเป็นหนึ่งร้อยกว่าบาทอยู่ แต่ราคาอาหารที่ "Sweet Burgundy Weekend Cafe & Tea House" ต่างออกไป เพราะจะลงท้ายด้วยเลข "8" เท่านั้น เพราะพี่เค้าถือเคล็ดว่ามันเหมือนสัญลักษณ์อินฟินิตี้ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็ถือตามคติคนจีนด้วย ราคาก็เลยมีแต่ลงท้ายด้วยเลข "8" นั่นเอง อาร์ตสุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุด: ร้านนี้ถ้าจะมาต้องโทรมาสอบถามก่อนนะ เพราะบางทีถ้าฝนตก พี่เค้าก็จะไปนวด! ไม่อยู่ร้าน เพราะมันเป็นร้านแบบเอาท์ ดอร์ ถ้าฝนตกก็นั่งไม่ได้ เจ้าของร้านก็อาจจะไม่อยู่รับรองลูกค้า หรือบางทีแดดก็อาจจะร้อนเกินไป จนที่นั่งบางมุมก็นั่งไม่สบาย ฉะนั้นก็เลยต้องโทรมาถามก่อน ว่ามีที่นั่งที่พอจะนั่งได้มั้ย คนเต็มรึยัง ถ้าเสี่ยงวอล์ค อินเข้าไป บางทีอาจจะต้องผิดหวังกลับไปก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นช่วงเที่ยงๆ บ่ายๆ อากาศร้อนจริงๆ บางจุดพัดลมก็เอาไม่อยู่ อาร์ตเกือบสุดท้าย: พี่เค้าแต่งร้านตามใจฉันมาก ทาสีเองอะไรเองด้วย ว่างๆ เบื่อๆ เค้าก็บอกว่า ก็จะลุกขึ้นมาทาสีร้านใหม่ แล้วแต่ละสีเจ็บๆ ทั้งนั้น แล้วที่เก๋มาก คือ เพลงที่เปิดในร้าน มันเป็นเพลงจีนกลาง เพลงญี่ปุ่นยุคประมาณ 80s-90s อ่ะ อาจจะมีเก่ากว่านั้นด้วย ประมาณเพลง "ซาโยนาระ" อะไรแบบนั้นเลยแหละ มันแบบ.....คอนทราสต์กันสุดๆ กับตัวร้านและอาหารที่ออกไปทางฝรั่งอ่ะน่ะ ส่วนความอาร์ตที่เหลือ ต้องรบกวนให้ไปค้นฟ้าคว้าดาวกันเอาเองนะคะ ว่าอะไรยังไง แต่พี่เค้าใจดีนะ ไม่ใช่พอบอกว่าอาร์ตแล้วแบบติสท์แตกแบบนั้น พี่เค้าไม่ใช่แนวนั้น แต่อาร์ตในที่นี้ คือพี่เค้าแนวๆ อ่ะ มีสไตล์ และมีจุดยืนของตัวเองชัดเจนมากๆๆๆ ไปกินข้าวบ้านพี่เค้า เอ้ย ร้านพี่เค้า แล้วงลองคุยกับพี่เค้าดูสิ จะได้ความรู้อะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เยอะเลย เพราะพี่แมทเค้าทำบริษัทรับสร้างแบรนด์ และสร้างแบรนด์ให้องค์กรใหญ่ๆ มาแล้วนับไม่ถ้วน แล้วถ้าไปบ่อยๆ จนสนิทกันมากๆ ก็จะได้อารมณ์ประมาณเสิร์ฟเองกินเอง หรือช่วยเสิร์ฟให้โต๊ะอื่นๆ ซึ่งมันก็จะยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า เรามาบ้านเพื่อนตามคอนเซปท์ของพี่เค้าจริงๆ นั่นแหละ ปล. ทางไปของแพร์จะตั้งต้นจากสี่ีแยกเกษตร พอเลี้ยวขวาเข้าถนนประเสริฐมนูกิจ ก็ขับไปตรงไปเรื่อยๆ จะเจอสี่แยกไฟแดงแรกที่เขียนว่าลาดปลาเค้า ให้เลี้ยวขวา พอเลี้ยวขวาแล้วไปสัก 20-30 เมตร ให้มองไปทางซ้ายมือ หารถเข็นร้านข้าวขาหมูที่จะอยู่หน้าปากซอยลาดปลาเค้า 18 พอดี เลี้ยวซ้ายไปเลย แต่ต้องระวังนะซอยนี้แคบใช้ได้ รถจอดขวางอีก อย่าลืมหลบรถให้กันนะจ๊ะ พอข้าซอยไปแล้ว จะเจอทางสามแพร่ง ให้เลี้ยวขวา แล้วก็หาที่จอดเอาแถวนั้นแหละ จอดข้างทางชิดในหน่อย แล้วเดินเลี้ยวซ้ายเข้าไปในซอยด้านใน ซึ่งเป็นทางตัน บ้านหลังสุดท้ายขวามือนั่นแหละใช่เลย!... อ่านต่อ
3 Likes0 Comment
photo