4.4
211 เรตติ้ง (124 รีวิว)LINE MAN Wongnai User's Choice 2024
ปิดอยู่จะเปิดในวันศุกร์ เวลา 12:00
เมนูของร้าน J'AIME by Jean-Michel Lorain กรุงเทพมหานคร
ร้านอาหารฝรั่งเศส 1 Michelin Star กับ Lunch Set ราคาดี และ Tasting Menu สุดครีเอทJ’aime by Jean Michel Lorain – ร้านอาหารฝรั่งเศสร้านนี้โด่งดังตั้งแต่แรกเปิดด้วยชื่อเสียงของ Jean Michel Lorain แห่งร้าน Côte Saint Jacques ในแคว้น Burgundy ประเทศฝรั่งเศสที่เคยได้รับ 3 Michelin Stars มาแล้ว เมื่อได้การบริหารของ Marine Lorain ผู้เป็นบุตรสาว ร่วมกับฝีมือของ Head Chef Amerigo Sesti – เชฟชาวอิตาลีผู้ผ่านประสบการณ์จากห้องอาหารชั้นนำและโรงแรมระดับห้าดาวมาแล้วมากมาย อีกทั้งยังเคยได้รับการ “ติวเข้ม” กับเชฟ Jean Michel Lorain มาก่อนที่ Côte Saint Jacques – ร้าน J’aime จึงสามารถคว้า 1 ดาว Michelin มาเป็นของตัวเองได้เป็นครั้งแรกเมื่อต้นปี 2561 นี้เองค่ะ ****-Concept-**** ทราบมาว่าอาหารที่นี่จะเป็นเมนูเดียวกับที่เสิร์ฟที่ Côte Saint Jacques ผสมผสานกับสูตรอาหารจากเชฟ Amerigo Sesti เอง โดยเน้น concept เป็นอาหารฝรั่งเศสที่เสิร์ฟแบบ Asian Family คือมีการจัดอาหารแบ่งใส่จานเล็กเพื่อให้แชร์กันทานได้ง่าย เหมาะกับวัฒนธรรมการทานอาหารของบ้านเรานั่นเอง ทางร้านจะมีเมนูที่ให้บริการอยู่ 3 รูปแบบ คือ ● A la Carte : แม้จะสั่งเมนูแบบจานเดียว แต่ก็จะจัดใส่จานแบ่งมาให้ตรงตาม concept ร้านนะคะ ● Set Menu : จะเสิร์ฟเป็นอาหาร course 1 คน ต่อ 1 เซ็ท ตามแบบร้าน Fine Dining ทั่วไป (เลยไม่ต้องใช้จานแบ่ง) มีทั้ง Set Lunch Menu ราคาย่อมเยา / 5-Course Tasting Menu / Signature 7- Course Tasting Menu / และ 9 - Course Tasting Menu ค่ะ ● Sunday Brunch – จัดขึ้นทุกวันอาทิตย์สุดท้ายของทุกเดือน เป็นบุฟเฟต์อาหารฝรั่งเศสที่สั่งจากเมนูและเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะทุกจานค่ะ ****-ทำเลที่ตั้ง / บรรยากาศ-**** ร้านอยู่บนชั้น 2 ของโรงแรม U Sathorn Bangkok ภายในร้านตกแต่งแบบ Upside Down โดยมีจุดเด่นที่ Grand Piano เรืองแสงหลังใหญ่ที่ขึ้นไปตั้งกลับหัวอยู่บนเพดาน ตกแต่งห้องด้วยคริสตัลและโคมไฟให้ความรู้สึกหรูหรา และมี Lounge Area ที่เป็นโซฟากับหมอนนุ่มๆ ล้อมด้วยต้นไม้ประดับให้ความรู้สึกผ่อนคลายน่าสบายดีทีเดียว ****-เมนูที่ได้ลอง-**** ตามธรรมเนียมอาหารฝรั่ง ไม่ว่าจะสั่งเมนูอะไรก็ตามจะต้องมี Complimentary Bread มาให้ก่อน ซึ่งของที่นี่พนักงานจะเดินถือตะกร้ามาให้เลือก ชอบขนมปังแบบไหน อยากทานกี่ชิ้นก็บอกได้เลยค่ะ ส่วนตัวรู้สึกว่าเนื้อขนมปังแห้งกระด้างไปนิด เนยก็ค่อนข้างธรรมดา คงเพราะทางร้านตั้งใจให้เอาไว้แค่ทานแกล้มเล่นๆระหว่างรออาหารเท่านั้นล่ะค่ะ สำหรับอาหารนั้นครั้งนี้เราขอลองเป็น Set Menu ก่อน โดยสั่งมา 2 เซ็ท อาหารใน Set Menu ของทางร้านนั้นจะมีการปรับเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆตามฤดูกาลและเทศกาลต่างๆ กับมื้อนี้ไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงก่อนเปลี่ยนเมนูพอดี แม้จะไม่เหมือนเมนูปัจจุบัน แต่วัตถุดิบบางอย่างและเทคนิควิธีปรุงก็ยังมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ถือว่าเป็นข้อมูลสำหรับคนที่อยากไปลองกันค่ะ ****-SET LUNCH MENU-**** เป็นเซ็ทอาหาร 5 คอร์ส ราคาคนละ 1,100 บาท เป็นราคาสุทธิไม่ต้องมี VAT หรือ Service Charge เพิ่มเติมอีก เซ็ทนี้จะไม่มีเครื่องดื่มหรือชา/กาแฟให้ ต้องสั่งแยกเอาต่างหาก ส่วนถ้าใครอยากจัดมื้อด่วนๆเบาๆก็สามารถสั่งแบบ 3 คอร์สได้ในราคา 990 บาทค่ะ (ดูราคาแล้ว 5 คอร์สคุ้มกว่าเห็นๆนะ) [Course 1] ● Carrot Soup Served with a Parmesan Tuile and Vanilla-Scented Cream – เป็นซุปแครอทที่ความเข้มข้นกำลังดี เนื้อเนียน รสชาติกลมกล่อมนุ่มนวล เพิ่มลูกเล่นด้วยครีมวานิลลานุ่มฟูที่หยอดมาตรงกลาง และแผ่น Parmesan Tuile บางกรอบทั้งหอมทั้งมันที่ทานกับซุปเข้ากันดีมากเลยล่ะ [Course 2] สำหรับ Course ที่ 2 และ 3 นั้นทางร้านเสิร์ฟมาพร้อมกันเพื่อให้ทานสลับกันไปได้เลย เป็นการตัดรสกันที่เหมาะเจาะระหว่างความมันของเนื้อปลาและความเปรี้ยวหวานสดชื่นของมะเขือเทศนะคะ ● Japanese Spotted Parrotfish Tartare on Celery Notes – เนื้อปลา Parrotfish นำมาสับละเอียดทำเป็น Tartare ปรุงรสอ่อนๆ เน้นความสดหวานของเนื้อปลาดิบตามธรรมชาติ ประกบด้วยแผ่นคล้ายเจลลี่ที่ทำจาก Celery แล้วแต้มซอสปรุงรสมาบนจาน จัดว่าทานเพลินพอใช้ได้เลย [Course3] ● Tomato Salad Sorbet with Sun-dried Tomato Crumble and Fresh Herb Salad – ไม่ใช่แค่สลัดธรรมดา ..แต่จานนี้เป็นการโชว์เทคนิคที่ทำให้รสชาติของมะเขือเทศแปรเปลี่ยนไปได้หลากหลายมิติอย่างน่าทึ่ง คือนำมะเขือเทศมาทำเป็น Sorbet เย็นเจี๊ยบแสนสดชื่น แต่งรสหวานนิดๆเพื่อให้สมดุลกับความเปรี้ยวจากมะเขือเทศ ส่วนด้านล่างเป็นมะเขือเทศอบเนยนำมา Dehydrate จนกรอบกริ๊บกลายเป็น Tomato Crumble หอมๆกรุบๆ ทานคู่กับ Tomato Sorbet และผักสลัดในจานเข้ากันดีค่ะ [Course 4] มีให้เลือก 2 เมนู ปกติแล้วต้องเลือกเมนูใดเมนูหนึ่ง แต่ครั้งนี้บังเอิญมีความสับสนตอนที่เสิร์ฟ ก็เลยได้ลองทั้งสองอย่างค่ะ ● Fish Mousse and Hokkaido Scallops with Plancha-seared Lettuce and Mushrooms in a Light White Wine Sauce and Brown Scallop Jus – เป็นเมนูที่ตกแต่งมาสวยงามราวภาพวาดของจิตรกรเลยทีเดียว ในจานมี Hokkaido Scallops นุ่มๆ , ผักกาดที่ sear มาบางๆพอให้หอมกลิ่นไหม้, เห็ด Champignon ฝานบาง, วงปลาหมึกที่ dehydrate มาจนกรอบ, Mousse ปลา, และ Mousse ที่ทำจากเห็ด Champignon ..ปรุงรสด้วย White Wine Sauce และ Brown Scallop Jus รสชาติโดยรวมคืออร่อยแบบครีมมี่ เพิ่มความน่าสนใจด้วยรสชาติและสัมผัสขององค์ประกอบต่างๆในจาน ดีงามแบบต้องยกให้เป็นพระเอกของ Set Lunch นี้จริงๆ ● Pressed Duck Breast and Hot Pâté with Chestnuts and Parsnips in a Wakame-infused Duck Sauce – เนื้ออกเป็ดทำออกมาได้ดีมาก เนื้อนุ่ม หนังกรอบ ซอสราดเป็ดก็อร่อย ทานผสมกับซอสจากสาหร่าย Wakame ที่มาในรูปฟองโฟมนุ่มเบา มีแผ่นสาหร่ายประดับมาด้วย ยิ่งให้รสชาติที่มีชั้นเชิงขึ้นอีก ทานกับเกาลัดและParsnips หั่นฝอยก็เข้ากันดี ส่วน Pâté ที่เสิร์ฟเคียงกันมานั้นเราว่าเนื้อหยาบและปนมันเยอะไปหน่อยทำให้เลี่ยน เลยแพ้คะแนนเมนูหอยเชลล์ไปนิดนะ [Course 5] ● A Fresh Declination of Cucumber and Mint with a Hint of Tamarind – เมนูนี้เอาแตงกวามาทำเป็น Sorbet รสอ่อนๆสดชื่น ทานคู่กับแตงกวาสดกรอบฝานบาง แต้มซอสมะขามและซอสมิ้นต์มาเป็นจุดๆพอชูรส เป็นของหวานเบาๆที่ถ้าทานเดี่ยวๆก็เหมือนไม่โดดเด่นเท่าไหร่ แต่มองในภาพรวมของเซ็ทแล้วถือว่าใช้เบรคความหนักของ Main Course ได้อย่างลงตัวพอดีค่ะ ****- 5- COURSE TASTING MENU-**** เซ็ทนี้สามารถสั่งได้ทั้งช่วงมื้อกลางวันและมื้อเย็น ราคาคนละ 2,699 บาทสุทธิ รวมชา/กาแฟหลังอาหารไว้ด้วยแล้ว ส่วนถ้าอยาก Wine Pairing ด้วยก็เพิ่มอีก 1,950 บาทค่ะ [Course 1] ● Beetroot Borscht with Vegetable Brunoise, Dill and Sour Cream – ซุป Beetroot Borscht นั้นดั้งเดิมเป็นอาหารของทางยุโรปตะวันออก จึงมีการใช้เครื่องปรุงจำพวกเครื่องเทศต่างๆ ซึ่งทำให้มีรสชาติที่ทั้งกลมกล่อมและซับซ้อน โดดเด่นมีเอกลักษณ์ดีมากๆ ของที่นี่เสิร์ฟเป็นก้อน sour cream วางมาบน Beetroot หั่นเต๋าชิ้นจิ๋วในชามก่อน แล้วจึงเทซุปให้ที่โต๊ะ โชว์ให้เห็นความข้นที่กำลังเป๊ะและ texture ที่เนียนละเอียดของน้ำซุป ทั้งรสชาติและสัมผัสนั้นลงตัวละเมียดละไมสมกับฝีมือร้านติดดาวมิชลิน ปลื้มปริ่มสุดๆค่ะ [Course 2] ● Rock Lobster and Heart of Palm Carpaccio Served with Sweet Potato and Lime Rouille – เนื้อกั้งแน่นๆฝานบาง วางมาบน Heart of Palm (น่าจะใช้ยอดมะพร้าว) กรอบๆที่ก็ฝานมาบางเฉียบ แต่งรสด้วยซอส Rouille เปรี้ยวๆที่ทำจากมันหวานและน้ำมะนาว ทานเพลินใช้ได้นะ [Course 3] ● Michel Lorain Signature Quail and Foie Gras Tourte – เป็นพายยัดไส้ Foie Gras ผสมเนื้อนกกระทา เสิร์ฟแบบฝานมาชิ้นบางๆ พร้อมผักสลัดและน้ำซุปที่ทำออกมาในรูปแบบเยลลี่ไข่ปลา ดีงามสมกับที่เอาชื่อเป็นประกันเลยล่ะ [Course 4] มี 3 เมนูให้เลือก ซึ่งเราเลือกเป็น Scallop แต่เพราะมีความสับสน นำ Scallop จากเมนูของ Set Lunch มาเสิร์ฟแทน ทางร้านจึงชดเชยให้ด้วยการทำเมนูนี้ออกมาใน Tasting Size เพิ่มมาให้ได้ลอง ฉะนั้นตามปกติแล้ว Serving Size จะเยอะกว่าในรูปที่นำมาลงนะคะ ● Pan-seared Crusted Hokkaido Scallops with Dry Bonito and Sage Served with Linen Seed and Sesame Risotto – เมนู Scallop จาก Lunch Set ว่าดีงามแล้ว แต่จานนี้บอกเลยว่าเด็ดกว่า อร่อยปลื้มปริ่มน้ำตาจิไหลแบบปาหัวใจให้รัวๆเลยทีเดียว Hokkaido Scallop ชิ้นอวบๆ Sear มานุ่มๆ ผิวนอกเป็น Crust กรุบกรอบ ทีเด็ดคือ Risotto ซึ่งที่นี่ใช้ Linen Seed และเมล็ดงาแทนข้าว Arborio ปรุงรสด้วย Lemon Zest เปรี้ยวๆหอมสดชื่น ทานแกล้มแผ่นปลาแห้งที่ขูดโรยมาบางๆคือลงตัว แอบเดาว่าคงเพราะเชฟเป็นชาวอิตาเลียนนี่เอง จึงครีเอท Risotto ออกมาได้ทั้งสร้างสรรค์ไม่เหมือนใครและอร่อยเว่อร์ถึงปานนี้ ยกให้เป็นจานที่ประทับใจที่สุดของมื้อนี้เลยค่ะ [Course 5] เนื่องจาก Main Course ของเซ็ทนี้เป็นรสชาติแนวสดชื่นๆไม่หนักเลี่ยน กับของหวานก็เลยเน้นแบบหวานมันเข้มข้นกันทีเดียว ตามนี้เลยค่ะ ● Mille-feuille “Napoleon” – แผ่น puff กรอบดีแต่ออกจะหนาไปนิด ครีมวานิลลาหอมอร่อยใช้ได้ ท็อปด้วยสตรอเบอร์รี่สด จัดว่าทานเพลินดีนะ ● Passion Fruit Soufflé – รสชาติกลางๆ เนื้อ soufflé นุ่มดีใช้ได้แต่น่าจะฟูเบาได้อีก และอยากให้เพิ่มรสของเสาวรสอีกนิดค่ะ ● Macaé Chocolate and Apricot Entremet – ชอบตัวนี้ที่สุดในบรรดาของหวาน เป็น Entrement ที่ผิวนอกเคลือบด้วยช็อกโกแลตรสเข้มข้น ไส้ข้างในมี 3 ชั้น คือชั้นของเค้กช็อกโกแลต เจลลี่ Apricot และ Chocolate Mousse อร่อยลงตัวสุดๆ [Drink] ● Café Americano (ราคา 140 บาท) – สำหรับ Tasting Set จะมีกาแฟ/ชา รวมอยู่แล้ว กาแฟร้อนของที่นี่จะมี Beans หลากหลายชนิดให้เลือก เราเลือกเป็น Costarica Bean และสั่งเป็น Americano ทางร้านก็นำมาเสิร์ฟแบบมีชั้นเชิงทีเดียว คือเสิร์ฟมาเป็น Espresso แล้วค่อยนำน้ำร้อนมาเทเติมให้ เหมือนจะให้รู้กันไปเลยว่าสั่ง Americano ก็ทำ Americano ให้นะจ๊ะ ไม่ได้เอา Lungo หรือ Long Black มาหลอกกัน (555) กลิ่นรสกาแฟเราว่ากลางๆ แต่ก็ทานแกล้มขนมได้เพลินๆล่ะค่ะ [Petit Fours] ขนมหวานแถมท้ายที่น่าจะให้มากับทุกเซ็ท เป็นเค้กชิ้นเล็กๆกับช็อกโกแลตไส้มูสสตรอเบอร์รี่ หวานไปหน่อยสำหรับเรานะ ****-The Verdict-**** ต้องบอกว่าเป็นมื้อที่น่าประทับใจมื้อหนึ่งเลย แม้ดูเป็นจานเดี่ยวๆอาจไม่ได้อร่อยเต็มร้อยหมดทุกจาน แต่ในภาพรวมถือว่าจัดเซ็ทมาได้ลงตัว มีการเสริมรส-ตัดรสกันระหว่างคอร์สต่างๆอย่างเหมาะเจาะ สำหรับคนที่แค่อยากมาลองฝีมือร้านระดับ 1 ดาวมิชลินนี้เป็นประสบการณ์ Set Lunch ก็จัดเป็นตัวเลือกที่ราคาดีทีเดียว (แม้จะได้ดาวแล้วก็ไม่ได้ถือโอกาสปรับราคาด้วยนะ) แต่ต้องเตือนก่อนว่าเป็นราคาที่จ่ายให้กับการได้มาสัมผัสทักษะฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของทีมเชฟมากกว่าจะเน้นที่วัตถุดิบไฮโซ ในส่วนของ Tasting Set นั้นเทียบกันแล้วทั้งรสชาติและวัตถุดิบคือเหนือกว่า Lunch Set ชัดเจนจริงๆ แต่ก็ต้องแลกกับราคาที่สูงกว่า (ก็แน่อยู่แล้วสินะ 555) ในภาพรวมบอกเลยว่าปลื้มปริ่มถูกใจมากมาย ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปลองเซ็ทใหม่ๆอีกล่ะค่ะ... อ่านต่อ
64 Likes0 Comment
photo