3.9
42 เรตติ้ง (33 รีวิว)
ปิดอยู่จะเปิดในเวลา 18:00
เมนูของร้าน Haoma Bangkok สุขุมวิท 31
ตื่นตาตื่นใจกับFine dinning-13courseสุด surpriseที่จะทำให้มื้อพิเศษถูกโอบกอดด้วยวัตถุดิบและบรรยากาศชิดธรรมชาติใจกลางกรุงวันนี้ตั้งใจมาตามคำชวนในกิจกรรม wongnai tastingค่ะ เพราะ ตอนแรกที่เห็นชื่อร้านคิดว่า เป็นอาหารจีนแน่ๆ😂 แต่แท้จริงแล้วเป็นร้านอาหารอินเดียใน style fine dinning ที่ผสานเอาวัฒนธรรมและวัตถุดิบชาติต่างๆรวมครีเอทออกมาเป็นเมนูต่างๆแบบ freestyle เลยค่ะ นอกจากนั้นที่ทำให้ร้านนี้น่าสนใจแบบสุดๆคือ การดึงเอาธรรมชาติใกล้ๆตัวชนิดที่เรียกว่า ผักปลูกเอง ปลาเลี้ยงเอง ทานเองแบบปลอดภัยไร้สารพิษ มีฟาร์มแบบพอเพียงในเมืองหลวงกันเลย! แล้วน้ำที่ใช้เลี้ยงปลาก็นำไปรดพืชผักต่ออีก~ น่ารักมากๆค่ะ ที่สำคัญวัตถุดิบอีกหลายอย่างที่ไม่ได้ปลูกเองที่ร้านก็มีการสนับสนุนสินค้าจากในประเทศทั้งจากโครงการหลวง หรือจากปากช่องนี่เองค่ะ ร้านHaoma (ฮาโอม่า) เป็นชื่อของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตตามความเชื่อของวัฒนธรรมชาวโซโรแอสเตอร์และฮินดู ซึ่งมีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงร่างกาย สร้างภูมิปัญญา พลังและชีวิตอมตะ ทั้งยังมีความหมายถึง Paradise หรือ สรวงสวรรค์ ในภาษาเปอร์เซีย ซึ่งมีรากศัพท์จากคำว่า “Wall-in garden(สวนในกำแพง)” สังเกตจากการจัดร้านก็สื่อคอนเสปร้านได้อย่างดีมากๆๆค่ะ ไม่ว่าการตกแต่ง การเลือกวัสดุเฟอร์นิเจอร์ในร้าน ก็ล้วนชวนให้เราลืมไปเลยว่านี่คือ ใจกลางกรุงเทพ! ดึงเอาธรรมชาติมาโอบกอดเราได้ตั้งแต่เดินเข้าร้านมาเลยค่ะ เชฟใหญ่ประจำร้านผู้สร้างความสมดุลระหว่าง “สวน” “อาหาร” มีบ้านเกิดทางตอนเหนือของอินเดียทำให้วัฒนธรรมทางอาหารความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคยูเรเซียเป็นอย่างยิ่ง อาหารเมนูต่างๆจึงถูกออกแบบมาเพื่อนำเสนอออกมาในแนวใหม่ของอาหารที่ถูกปรุงพิถีพิถันและแตกต่างมีกลิ่นไอทั้งยุโรปและอินเดีย และถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสวยงามมากๆๆเหมือนศิลปะบนจานอาหาร แต่ละจานที่ถูกยกออกมานั้นเรียกได้ว่าทำเอาเราตื่นตาตื่นใจทุกจานเลยค่ะ ••พิกัติ&บรรยากาศ•• ร้านนี้ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 31 สามารถเดินทางมาจากทั้งทางซอยสวัสดีโดยตรง หรือหากมาทางอโศก ให้ทะลุมหาวิทยาลัยมศว.มาข้างหลังก็ได้ค่ะ ส่วนถ้าใครสะดวกเดินทางด้วยวิธีทางสาธารณะที่ใกล้ที่สุดคือรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีเพชรบุรี แล้วนั่งแท็กซี่ต่อมายังร้านค่ะ ส่วนรถไฟฟ้าบีทีเอสที่ใกล้ที่สุดคือสถานีอโศก แต่ต้องต่อแท็กซี่มาเช่นกันค่ะ บรรยากาศ เรียกว่ามีความร่มรื่นถึงขีดสุดเลยทีเดียวค่ะ ร้านตอบโจทย์ความเป็นfarm to tableอย่างแท้จริง รอบๆร้านถูกจัดแต่งพืชผักปลอดสารพิษ ที่ปลูกเพื่อนำประกอบอาหารจริงๆและลูกค้าสามารถเดินชมสวน ถ่ายรูปสวยๆได้ด้วย แถมในระหว่างมื้อเราจะเห็นพนักงานมาคอยเก็บผักที่ปลูกมาให้เราทานกัน ช่วยเพิ่มความตื่นเต้นเข้าไปอีกค่ะว่าผักที่เค้ากำลังเก็บอยู่นั้นอีกไม่นานจะถูกเสิร์ฟมาในจานของเราในรูปแบบไหนกันนะ อิอิ อาหารที่ทานวันนี้มี 13 courses ราคา 2,890 บาท ราคายังไม่รวม vat(7%) และ service charge (10%) -Galauti corners เมนูนี้เป็นเคบับ เห็ดเผาะปรุงกับเครื่องเทศนานาชนิด ซีทรัสเจลและทรัพเฟิลสด เสริฟเป็นคำจิ้มมากับท่อนไม้เลย ให้ความรู้สึกแบบสัมผัสความธรรมชาติแบบตรงหน้า เวลาทานให้ทานทางร้านแนะนำให้ทานแบบ one bite ค่ะ สัมผัสแรกเราจะได้เทคเจอร์แป้งกรอบๆ ผสานกับกลิ่นและรสชาติที่มีความรสชาติเปรี้ยวๆเผ็ดๆ มีกลิ่นเครื่องเทศชัดเจนขึ้นจมูกเลยหอมมากค่ะ จานนี้เป็นจานแรกที่มาwinมากค่ะ (5/5ดาว) -Oyster&Corn tartar แคว้นปัญจาบเป็นแคว้นที่ชอบทานขนมปังค่ะ ที่ร้านเลยจึงนำข้างบนเอาข้าวโพดมาทำเปนซุปแล้วมาทำในรูปข้าวโพดอีกที ตรงกลางเปนคอร์นทาทาร์กับหอยนางรม ข้างล่างเปนคอร์นวีออช เวลาทานได้รสชาติทะเลมีความเค็มๆเปรี้ยวๆ เหมือนทานOysterเลย (4.5/5ดาว) -Golgappa ไส้เป็นมันฝรั่งบด chickpea tamarind mint ตามด้วยโยเกิร์ตท๊อปด้านบนให้มีรสเปรี้ยวนวลๆอีกที เช่นเดิม คือ เวลาทานให้ทานให้หมดในคำเดียว ตอนเคี้ยวๆอยู่ก็ให้เขย่าๆน้ำมะม่วงผสมสไปร์ทที่เสริฟใส่ขวดคู่กันทานหลังทานทันทีเลยค่ะ ตัวลูกมันมีความมันๆchick peaเข้ากับเทคเจอร์กรอบๆดี๊ดีค่ะ ชอบลูกๆนี้มาก แต่พอทานกับน้ำแล้วมันก็จะจี๊ดดปรี๊สๆๆค่ะเค็มๆเปรี้ยวๆ เราชอบทานแบบตอนยังไม่กระดกน้ำมากกว่า555 (4/5ดาว) -Melon Terrine จานนี้เรียกว่าตื่นตาในความสวยงามมากๆค่ะ รสชาติจานนี้เริ่มรสชาติสดชื่น และเริ่มหนักขึ้นด้วย ด้านบนสุดเป็นต้มข่าไก่sorbet ทานคู่กับสาคูคาเวียร์ทำมาจาก red wine รสชาติออกเปรี้ยวๆนำ ตกแต่งด้วยฟองสวยๆสีพาสเทลสีหวานๆ ซึ่งตัวฟองๆไม่ได้แค่เป็นสีสวยงาม แต่โฟมสีเขียวเป็นรสแกงเขียวหวาน สีส้มคือมัสมัน สีเหลืองคือแกงเหลืองแบบใต้ค่ะ ด้านล่างทำมาจากเมลอน 3 สายพันธุ์ทั้ง แตงโมและ แคนตาลูป รสชาติจี๊ดมากจานนี้ แต่รสเบรคและตัดด้วยถั่วมันๆหน่อยๆค่ะ (3/5ดาว) -Tomato mist ข้างบนเปนtomato sphere ที่บรรจุน้ำซุปมะเขือเทศด้านใน เวลาทานให้ทานลูกหยดน้ำข้างบนนี่ก่อน เมื่อเปิดถ้วยออกมาจะพบกับมะเขือเทศที่ทางร้านปลูกเอง ปรุงเข้ากับหางนม อินเดียนโบราจ บลูเบอรี่ และคื่นช่าย ก่อนทานให้เทซุปลงไปแล้วทานด้วยกันทานแล้วเย็นนๆชื่นใจนะ แต่มันเหมือนมีกลิ่นเบซิลผักปั่น กลิ่นแรงไปหน่อยสำหรับเรา เราเลยแอบไม่ค่อบชอบเท่าไหร่ (2/5ดาว) -The disappearing duck โอ้ยย จานนี้มีความดีงาม เสริฟมามีเป็ดมีไก่ในจานเดียวกัน5555 ตัวเป็ดก่อนทานพนักงานจะราดแกงกะหรี่ลงไปบนตัวเป็ด ซึ่งคราวนี้ก็จะตามชื่อเมนูเลยค่ะ เป็ดก็จะละลายหายไป5555 น่ารักมากๆเลย ทานกับข้าวเหนียวๆกับไก่ทอด รสชาติน่าจะถูกปากคนไทยได้ไม่ยากเลยค่ะ รสชาติมีเข้มข้น จัดจ้านแบบไทยนิดๆ เหมือนน้ำยาที่ทานกับขนมจีนแลยแต่รสชาติเข้มข้น แน่นและนุ่มกว่ามากค่ะ (4/5ดาว) -Prawn on the Rocks จานนี้เป็นผลงานความครีเอทของเชฟเกี่ยวกับความกุ้งในทะเล555 โดยได้แรงบันดาลใจจากการที่เห็นทะเลช่วงหน้ามรสุม แล้วมีกุ้ง หอย มาเกาะตามก้อนหิน5555 หัวกุ้งทำสไตร์เมี่ยงคำมีส่วนผสมของถั่วลิสง พริก มะขาม และสาหร่าย เคี้ยวทานมีความมันๆ หัวกรอบๆ ตัวกุ้งเป็นรสชาติเปรี้ยวๆแบบผงต้มยำ สไตร์ไทยๆ ส่วนที่มองออกมาแล้วเหมือนหอยที่เกาะที่โขดหิน คือข้าวเกรียบกุ้งที่ใส่lime foam ไว้ตรงกลาง เวลาทานให้ทานจากหัว แล้วตามด้วยโฟมข้าวเกรียบกุ้ง ตามด้วยส่วนตัวกุ้ง รสชาติตัวกุ้งเนื้อแน่นๆๆมากกกๆๆรสชาติเผ็ดๆต้มยำ จัดจ้านหอมชัดเจน หัวก็กรอบๆเคี้ยวมันๆซึ่งทั้งหมดนี้ทานได้หมดเลยค่ะ อร่อยสุดๆๆจานนี้ปลื้มมากค่ะ (4/5ดาว) -Haoma in a bite คือการรวมทุกอย่างของ haomaใน1คำ ด้านข้างมีเนื้อปลานิล ที่เลี้ยงจากสวนหลังบ้านเค้าเนี่ยเอง แล้วก็เก็บผัก ดอกไม้มาจากในสวนของร้านนี้มาทำ จานนี้ส่วนเนื้อปลาสัมผัสนุ่มและเบาๆไม่ร่วนเหมือนปลานิลปกติที่เคยทานๆมา มีรสเค็มๆเบาๆที่เนื้อปลาแทรกกับเผ็ดจากมัสตาร์สและเหมือนมีรสตัดเปรี้ยวนิสๆๆ มีเทคเจอร์กรอบๆตรงกลางด้วยค่ะ ทำให้จานนี้เป็นจานที่ทำเราเซอร์ไพร้ได้อีกจานเลย ชอบค่ะ (4/5ดาว) -Farmers Fuel คอร์สนี้พนง.ยกมาหน้าตาน่าค้นหามากค่ะ555 เหมือนชัดนีย์รวมๆ เสริฟกับขนมปังอินเดียปั้นเป็นก้อนกลมๆ ข้างในจะแน่น สัมผัสหยาบๆ ในสำรับจะมีเครื่องเคียง อยู่ 4 อย่าง คือ Mango pickled ตอนทานชิมเปล่าๆเปรี้ยวเค็ม เหมือนกิมจ๊อเลย555 แต่ทานกับขนมปังแล้วโอเคเลยค่ะ รสชาติกำลังดี Tomato chutney เป็นมะเขือเทศบดรสชาติเบาๆเหมือนซัลซ่า มีความเปรี้ยวหน่อยๆทานแล้วสดชื่นดีค่ะ Eggplant ส่วนตัวชอบอันนี้สุดค่ะ อร่อยดี เป็นกลิ่นมะเขือเผา รสละมุน สัมผัสนุ่มๆดี สุดท้าย คือ เนยเหลวเคี่ยวหวานๆ ทานคู่กันกับขนมปังแล้วละมุนดีค่ะ ทานง่ายๆดี ร้านนี้นับว่ามีชัดนีย์ที่เสริฟมาหลากหลายให้ลองทานดีค่ะ (3.5/5ดาว) -Me in a bowl สุดๆๆของมื้อนี้คือจานนี้เลยค่ะ อร่อยมากก เนื้อไก่ต้มจากเตาถ่าน เนื้อนุ่มราดด้วยซอสMakhani curry เสริฟกับหอมดอง ตัวซอสทำดีมวากกก มีความหอม เผ็ดอ่อนๆ เข้มข้น เสริฟกับขนมปังอินเดียน ซึ่งหอมเนย ไปจี่กับกระทะมีความเกรียมกรอบนิสๆๆ เอามาจิ้มทานกับซอสแกงที่เหลือกับทานพร้อมไก่ อร่อยมวากกก ฟินจริงค่ะจานนี้ ความดีงามของขนมปังคือตอนแรกหน้าตาดูแบบน่าจะชุ่มเนยเลี่ยนๆแต่จริงๆแล้วไม่เลยสักนิดค่ะ เนยแทรกแบบแห้งๆเข้าเนื้อขนมปังทานอร่อยมากๆ (4.5/5ดาว) -Glazed Eel สำหรับ main course จานนี้สามารถเลือกเปลี่ยนเป็น wagyu ก็ได้ค่ะ แต่วันนี้ที่ทานเป็น Eel ซึ่งทำให้รู้สึกถึงความผสมผสานวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ามาในจานนี้ด้วย ซอสทำมาจาก Raw mushrooms, eggplant และ black garlic ซอสมีความหอมเผ็ดเครื่องเทศเบาๆ แทรกความหอมและเทคเจอร์ของหอมทอด ในจานมีbuckwheat ให้ทานคู่กันกับปลาไหลย่างทานคู่กันแล้วโอเคเลย เนื้อปลาไหลไม่หนามาก แต่นุ่มและมันดีพอทานกับbuckwheat แล้วยิ่งมันเข้าไปอีก ทุกอย่าลงตัวมากค่ะ จานนี้เป็นการผสานทั้งความญี่ปุ่นและอินเดียออกมาในจานเดียวกันแบบลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเข้ากันได้ (4/5ดาว) -Black and White ดสริฟมาในportionจิ้มลิ้มค่ะจานนี้ สีขาวเป็นไอศกรีมโยเกิร์ต รองด้วยคุกกี้บด ไอศกรีมไม่เปรี้ยวขนาดที่คิดไว้กำลังดีค่ะ เข้ากับเทคเจอร์คุกกี้ได้ดี ส่วนสีดำเป็นไอศกรีมโอรีโอ ทำให้มีกลิ่นคุกกี้ที่คุ้นเคยขอบทุกๆคน ทานง่ายดีค่ะ ไม่หวานมาก -Nadia ขนมหวานpresentation เยี่ยมจานนี้ ก้านล่างเป็นบิสกิท ท๊อผมาด้วยเชอรี่ซอเบย์รสเปรี้ยวหวาน แยมกุหลาบจุดมาบริเวณข้างๆน่ารักๆ เพิ่มกลิ่นละมุนอ่อนๆ แต่ที่ชัดเจนสุดๆๆคือความหอมละมุนของราสเบอรี่ดีมากๆเลยค่ะ ชอบตัวเชอรี่ซอร์เบย์มากๆๆค่ะ เปรี้ยวหวานลงตัวมากๆ -Petit Four มาถึงจานสุดท้ายกันแล้วค่าาา เป็นWhite chocโรยใบยี่หร่า ทานกับชอกโกแลตมูสรสชาติดาร์กๆ ทำให้เวลาทานเลยได้ทั้งความนุ่มละมุนเบาๆและความเข้มข้นแบบchocolate สร้างความ contrast น่าจดจำจนจานสุดท้ายเลยค่ะ หลังจากที่ได้มาทานอาหารที่ร้านนี้จนจบครบทั้งมื้อแล้ว สิ่งที่ได้รับนอกเหนือจากรสชาติอาหารที่สร้างความตื่นตาตื่นใจแตกต่างจากมื้ออื่นๆที่เคยทานมาแล้ว เรายังรู้สึกได้สัมผัสกับธรรมชาติทางที่ปรากฏต่อหน้าและจากที่ได้รับประทานเข้าไปอย่างแท้จริง จึงได้รับรู้ว่าร้านนี้ไม่ใช่แค่ร้านอาหารทั่วไปแต่ร้านยังใส่ใจและให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมเทียบเท่ากับการมอบความพึงพอใจแก่ลูกค้าอย่างแท้จริงค่ะ ร้านเปิดให้บริการแต่มื้อเย็นเวลา 18:00-23:00น. แต่ในวันเสาร์อาทิตย์จะมีเพิ่มมื้อเที่ยงด้วยค่ะ 11:30-15:00น. ใครสนใจมาทานควรจองที่นั่งก่อนค่ะ เพราะที่นั่งมีจำกัด และเผื่อเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมก่อนด้วย สอบถามเพิ่มเติม&จองโต๊ะ เบอร์ 02-2584744 ค่า... อ่านต่อ
5 Likes0 Comment
photo