4.4
289 เรตติ้ง (167 รีวิว)LINE MAN Wongnai User's Choice 2024
ปิดอยู่จะเปิดในเวลา 11:00
เมนูของร้าน UMENOHANA นิฮอนมูระมอลล์
[ทองหล่อ] แบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นสุดหรูโดย S&P เสิร์ฟสไตล์ #Kaiseki วัตถุดิบหลักเด่นคือเต้าหู้กับปู#Kaiseki #LinemanWongnaiUsersChoice2021 #เที่ยวทิพย์ # มาร้านนี้เหมือนเที่ยวญี่ปุ่นทิพย์ พักเรียวกัง ให้หายคิดถึงไปก่อนช่วงนี้ “Umenohana” แปลว่า “ดอกบ๊วย” ร้านนี้เน้นนำเสนอและเชี่ยวชาญเมนูอาหารจากปูและเต้าหู้รวมถึงยูบะ (ฟองเต้าหู้) ที่เชฟบรรจงสร้างสรรค์อย่างมีเอกลักษณ์ บรรยากาศร้านที่อบอวลไปด้วยกลิ่นไอวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น และการนำเสนอรูปแบบการเสิร์ฟอาหารแบบ Full course สไตล์ญี่ปุ่นโบราณแบบชั้นสูงที่เรียกว่า “Kaiseki” ที่มีแบบแผนในการเสิร์ฟเป็น course จุดเด่นอยู่ที่ความเรียบง่ายแต่มีการนำเสนอที่สวยงาม และได้ความสมดุลของรสชาติตามอย่างวิถีญี่ปุ่น ประวัติแบรนด์นี้คือย้อนกลับไปปี 1976 เริ่มต้นครั้งแรกจากการเปิดร้าน “คานิชิเกะ” ที่เมืองคุรุเมะ จังหวัดฟุกุโอกะ ซึ่งเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงจากการนำเสนอเมนูปูหลากหลาย ที่ปรุงด้วยกรรมวิธีต้นตำรับ 10 ปี ต่อมาได้เปิดร้านในชื่อ “Umenohana” ร้านแรกที่เมืองคุรุเมะเช่นเดียวกัน ปัจจุบันมีสาขาอยู่กว่า 70 แห่งในญี่ปุ่น และเริ่มเปิดสาขาแรกในต่างประเทศที่ไทย ภายใต้รูปแบบดีไซน์ร้านและการบริการมาตรฐานเดียวกับร้านดั้งเดิมในประเทศญี่ปุ่น โดยมี S&P เป็นผู้ทำการตลาดและบริหารร้านแบรนด์นี้ในไทย [บรรยากาศและการตกแต่งร้าน:] สไตล์โรงแรมญี่ปุ่นแบบโบราณหรือเรียวกังเลยครับ พอเปิดประตูเข้ามาก็เจอเป็น Reception คอยต้อนรับลูกค้าอย่างมีมารยาทสุภาพมากๆ พอจะเดินขึ้นมาเข้าไปในร้านที่นี่เราต้องถอดรองเท้าด้วยแล้ววางไว้ด้านหน้า เดินเข้ามาในร้านตามทางจะเจอตรงกลางร้านเด่นเลยเป็นต้นไม้ขนาดเท่าตัวคนตั้งอยู่ในสวนเซนแบบญี่ปุ่น ส่วนด้านหน้าสุดที่เราเจอจะเป็นห้องรับประทานรวมสำหรับลูกค้าทั่วไป พอเดินเข้าไปด้านในหลังต้นไม้นี้จะเป็นห้องส่วนตัวซึ่งต้องโทรจองล่วงหน้าครับ [ควรรู้ก่อนมา:] • ร้านเปิดทุกวัน แบ่งเป็น 2 ช่วงคือ มื้อกลางวัน 11:00-15:00 (มีบริการ Lunch set ราคาเบากว่ามื้อเย็น L.O. 14:00) และ มื้อเย็น เริ่มประมาณ 18:00 ถึงเวลาร้านปิด • ช่วงปกติอาจจะดูเป็นร้านแนวมาทานหรือนั่งสังสรรค์กันหลังเลิกงานแล้ว (สาเกหลายตัวเหมือนกัน) แต่ร้านนี้เหมาะมาทานกันแบบทั้งครอบครัวในช่วงวันหยุดด้วยครับ เพราะนอกจากเมนูอาหาร course แบบ Kaiseki แล้ว ยังมี Kid’s Set ชุดสำหรับเด็กให้บริการด้วย ชุดละ 250 บาท • มีห้องส่วนตัวตกแต่งแบบญี่ปุ่นคล้ายๆเราไปพักใน Ryokan พื้นปูด้วยเสื่อทาทามิ ประมาณซัก 4-5 ห้องได้เท่าที่ผมกะประมาณดู ต้องโทรแจ้งจองห้องล่วงหน้าครับโดยเฉพาะเย็นวันศุกร์หรือเสาร์ หรือถ้าเป็นลูกค้าแบบ Walk-in ทางร้านก็รับครับ แต่จะได้นั่งในส่วนที่เป็นห้องนั่งทานรวมกับลูกค้ารายอื่นมีอยู่ประมาณ 5-6 โต๊ะ • ราคาอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมด แน่นอนร้านลักษณะนี้ต้องมี +SC & +VAT • เมนูอาหารสไตล์ Kaiseki ของที่นี่จะมีการปรับเปลี่ยนไปแต่ละช่วงฤดูตามวัตถุดิบที่หาได้ง่าย อย่างช่วง Q4 ปลายปีเมนูเด่นที่เค้าออกมาจะเป็นพวกขาปูทาราบะย่างเตาถ่าน • เมนูเด่นของที่ร้านนี้จะเป็นพวกปู (ทั้ง Zuwai และ Taraba) และเต้าหู้ (ฟองเต้าหู้, เครื่องดื่มผสมน้ำเต้าหู้, เต้าหู้ในซุปร้อน หรือเต้าหู้เย็นต่างๆ) • ช่วงปกติร้านสไตล์ Kaiseki ไม่พูดถึงไม่ได้คือสาเก ซึ่งที่นี่จะมีสาเกเสิร์ฟให้บริการที่เป็นเอกลักษณ์ชื่อว่า “Take Reishu” เด่นที่ใส่มาในกระบอกไม้ไผ่สำหรับเทลงในกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ มี 2 ขนาดคือ 180m 360ml เป็นสาเกประเภท Junmai รสชาติออกหวานละมุนที่ปลายลิ้น **เพิ่มเติม: ที่นี่คิดค่าเปิดขวด 500 บาทต่อขวด ### เมนูที่สั่งรอบนี้ มาทานเป็นมื้อเย็น ### • Koubai Dinner Set (Zuwai Kani Set) [1,350 บาท] หรือชุดมื้อเย็นปูสึวาอิ เป็นชุดเมนูคอร์ส Kaiseki ปกติสำหรับมื้อเย็นของทางร้านครับ เราสามารถเลือกให้พนักงานมาเสิร์ฟเราแบบทีละคอร์สตามรูปแบบ Kaiseki ดั้งเดิมหรือจะให้มาเสิร์ฟทีเดียวเลยก็ได้ยกเว้นของหวานตบท้ายทีหลังสุด ผมจะขอรีวิวแยกอาหารชุดหลักนี้อีกหัวข้อหนึ่งต่อจากหัวข้อนี้ครับเพื่อลงรายละเอียดของอาหารแต่ละเมนูในคอร์สนี้ตามลำดับที่ถูกต้องครับ • Teoke Yuba [380 บาท] เมนูนี้จริงๆก็คือ “ฟองเต้าหู้ในถังไม้” Yuba = ฟองเต้าหู้ Teoke = ถังไม้ จัดอยู่ในหมวดหมู่เมนู Tofu Ryori หรือเมนูอาหารที่ทำจากเต้าหู้ต่างๆ ซึ่งเป็นเมนูที่แยกออกมาจากชุดอาหาร Kaiseki อื่นๆ เพื่อให้เราสามารถสั่งมาเสริมเพิ่มเติมถ้าเมนูนั้นไม่มีรวมอยู่ในชุดที่สั่ง หรือสั่งมาทานต่างหากเพิ่มได้นั่นเองครับ เค้าจะมาเสิร์ฟเป็นถังไม้มีฝาปิดด้านในเป็นน้ำเต้าหู้ที่มีฟองเต้าหู้ลอยอยู่บนผิวและมีผักใส่ลงไปด้วย โดยจะมีความร้อนคงอยู่ในถังนี้ตลอดโดยไม่ได้จุดไฟบนเตามาให้เพราะเค้ามีใส่หินร้อนภูเขาไฟทั้งก้อนขนาดเท่าก้อนสบู่ที่ก้นถังทำให้น้ำเต้าหู้ในถังไม้นี้คงความร้อนอยู่ได้นานครับ นอกเหนือจากถังไม้นี้แล้วเค้าจะเสิร์ฟถ้วยเปล่ามาให้ตามจำนวนคนพร้อมกับน้ำจิ้มสีดำคล้ายๆโชยุ (แต่รสชาติจะอ่อนกว่า) และถ้วยขิงบดหยาบๆกับงาขาวเป็นเครื่องเคียงทานด้วยกัน ซึ่งเป็นรูปแบบการเสิร์ฟดั้งเดิมเหมือนกับที่ผมเคยเห็นเค้าทำกันในเรียวกังที่ญี่ปุ่นย่านเกียวโตเลยครับ วิธีการทานเมนูนี้มีอยู่ 2 แบบ คือ 1. คีบหยิบฟองเต้าหู้จากในถังไม้มา dip หรือจิ้มในถ้วยซอสสีดำที่ตักแบ่งต่างหากส่วนตัวของแต่ละคน และปรุงเพิ่มด้วยขิงและงาตามชอบแล้วทานครับ ส่วนน้ำเต้าหู้ก็ใส่ถ้วยเดียวกันซด 2. หรืออีกแบบคือเทซอสสีดำทั้งถ้วยลงในน้ำเต้าหู้กับฟองในถังไม้เลยคนผสมกันแล้วตักแบ่งใส่ถ้วยทาน ปกติส่วนใหญ่เค้าจะทานแบบวิธีแรกกันครับ เพราะได้ปรุงตามรสชาติที่ชอบส่วนตัวดีกว่าครับ ## คหสต ผมว่ารสชาติน้ำเต้าหู้ถังไม้มันอาจจะจืดชืดไปสำหรับคนไทยที่คุ้นเคยดื่มน้ำเต้าหู้ที่มีน้ำตาลผสมหรือติดหวานเล็กน้อย สำหรับของที่นี่เค้าจะทำแบบสดๆและไม่ใส่น้ำตาลเลย ส่วนฟองเต้าหู้จะเป็นแบบแพใหญ่ๆลอยบนผิวน้ำเต้าหู้เลยผมว่าเนื้อสัมผัสมันนุ่มรสชาติละมุนลิ้นดีครับชอบจะไม่เหมือนกับที่ใช้ในอาหารจีนเป็นแบบอบแห้งแล้วเอามาปรุงแต่แบบนี้จะทานแบบสดๆเลยครับ และที่พิเศษแปลกกว่าบ้านเราทานคือเค้าจะทานจิ้มกับซอสรสออกเค็มนิดหน่อยบวกเปรี้ยว (แต่ปรุงหรือจิ้มยังไงผมว่ารสชาติก็ไม่ได้จัดแบบที่คนไทยทานกันปกติครับ) ดูแล้วทานเป็นซุปร้อนๆหรือของคาวมากกว่าครับ สรุปว่ารสชาติอาจไม่ถูกปากคนไทยแต่ถ้าใครเป็นคนชอบทานน้ำเต้าหู้กับฟองเต้าหู้ผมแนะนำว่าลองสั่งมาทานดูได้ครับเพื่อสัมผัสความแปลกใหม่หรือเรียนรู้สไตล์วิธีการทานแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม • Kid’s Set [250 บาท] ผมสั่งมาให้ลูกสาวทานครับ ดูแล้วชุดอาหารสำหรับเด็กสำหรับราคานี้ผมว่าไม่แพงมาก เค้าจะเสิร์ฟมาในถาดพลาสติกลายน่ารักซึ่งมีอาหารต่างๆคือ แฮมเบิร์กราดซอสมะเขือเทศ, เฟรนซ์ฟราย, สลัดผัก, ของชุบแป้งทอดต่างๆอย่างโคร็อกเกะ, ข้าวปั้นคลุกงาและโนริทอด, ฟองเต้าหู้ทอด, ยูบะกราแตง (กราแตงจากฟองเต้าหู้) พร้อมน้ำส้ม 1 ถ้วย (น่าจะเป็นแบบสำเร็จรูปไม่ใช่คั้นสด) ดูแล้วผมว่าก็สมราคาดีครับได้อาหารหลายอย่างหน้าตาดูกุ๊กกิ๊กชิ้นไม่ใหญ่เหมาะสำหรับดึงดูดให้เด็กทานครับ • Yuzu Tonyu [110 บาท] เป็นเมนูหนึ่งใน Tonyu Drink ของทางร้าน เป็นเครื่องดื่มผลไม้หรือชาเขียวผสมน้ำเต้าหู้สูตรพิเศษของทางร้าน ตัวนี้เป็นน้ำส้มยูซุผสมกับน้ำเต้าหู้ ดื่มแล้วสดชื่น เย็นๆดี ไม่ได้ออกเปรี้ยวมาก รสชาติไปทางน้ำเต้าหู้มากกว่า อร่อยดีครับ มื้อนี้ทั้งหมด +SC 10% กับ +VAT ทั้งหมด 2,4xx บาท ################# [รายละเอียดสำหรับเมนูชุดอาหารแบบ Kaiseki ที่สั่งครั้งนี้:] <เรียงตามลำดับการเสิร์ฟแบบดั้งเดิมสำหรับ Koubai Dinner Set > 1. Starters • Aperitif (Shokuzen-shu) โดยทั่วไปก่อนอื่นเริ่มต้นมื้อด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใส่ในถ้วยเล็กๆคล้าย Welcome Drink จะเป็นสาเกหรือเหล้าท้องถิ่นนั้นๆ // สำหรับเมนู course ทั้งหมดของที่นี่เค้าจะไม่มีสาเกรวมเสิร์ฟมาให้เป็น Welcome Drink เหมือนร้านสไตล์ Kaiseki บางร้านครับ เราต้องสั่งเองแยกต่างหากครับ ซึ่งผมสั่งมาเป็น Yuzu Tonyu ที่รีวิวไปก่อนหน้านี้ • Appetizers หรือเมนูเรียกน้ำย่อย ซึ่งเป็นแบบขนาดพอดีคำสำหรับก่อนเริ่มต้นอาหารจานหลัก // ใน course นี้จะเป็น “เต้าหู้มิเนโอกะ” เนื้อเต้าหู้ขาวเนียนและแน่นไม่มีฟองอากาศเลย เนื้อสัมผัสตัดลงไปนุ่มและเด้งดีมาก แต้มด้านบนชิ้นเต้าหู้ด้วยซอสโชยุส้มมีรสหวานนำและเปรี้ยวเล็กน้อย เสริมรสชาติเต้าหู้สีขาวด้านล่างได้อย่างดี เป็นเมนูเรียกน้ำย่อยที่อร่อยและเยี่ยมมากครับ 2. Main Courses • Sashimi (Otsukuri) หรือปลาดิบสไลด์ชิ้นเล็กพอดีคำ // สำหรับ course นี้จะไม่มีนะครับ • Steamed Dish (Mushimono) หรืออาหารประเภทนึ่งส่วนใหญ่ course นี้ใน Kaiseki จะเป็น Chawanmushi หรือไข่ตุ๋นนั่นเองครับ // สำหรับ course นี้ของที่ร้านจะเป็น “ไข่ตุ๋นหน้าครีมสด” โดยพนักงานจะเสิร์ฟคู่พร้อมกันกับเต้าหู้มิเนโอกะที่เป็น Starter ตามที่ผมเกริ่นไปก่อนหน้านี้ครับ ไข่ตุ๋นถ้วยนี้เนื้อเนียนแน่นละมุนมาก มีน้ำที่ออกมาจากการตุ๋นไข่พอประมาณแต่ไม่มาก ปกติก็จะใส่ซุปปลาแห้งเพิ่มกลิ่นหอมเข้าไปด้วย ด้านล่างมีก้อนโมจิหนึบๆ ซึ่งไม่มีรสชาติแต่คิดว่าเพิ่มเนื้อสัมผัสมากกว่าครับ เม็ดแปะก๊วยขมนิดๆ ส่วนกุ้งและปลาที่ใส่ในไข่ตุ๋นจะเป็นแบบชิ้นเล็กๆกรอบเด้งดีครับ นอกเหนือจากไข่ตุ๋นที่เป็นอาหารประเภทนึ่งใน course นี้แล้ว ยังมีเพิ่มเติมอีกหนึ่งเมนูในชุดนี้คือ Tofu Shumai หรือขนมจีบไส้ผสมเต้าหู้ ห่อด้วยแป้งคล้ายเส้นบะหมี่รูปร่างคล้ายขนมจีบทั่วไป เสิร์ฟมาในถ้วยที่มีฝาไม้ปิดมิดชิดกันลมเข้าไปที่ตัวขนมจีบ เมนูนี้รสชาติคล้ายขนมจีบแบบจีนครับ แต่ต่างกันที่ไส้มีรสชาติอ่อนกว่าน่าจะมาจากตัวเต้าหู้ทำให้ไส้มีรสชาติอ่อนลง แต่ไม่ถึงกับจืดนะครับ ตัวแป้งที่นำมาห่อก็ทำได้สวยดูดีครับ ไม่ได้หนาไปจนทำให้รสชาติของไส้ดรอปลง ทานกับซอสเปรี้ยวอมหวานที่เค้าเตรียมมาให้คู่กันคล้ายๆกับซอสเปรี้ยวของจีนเลย สรุปว่ารสชาติขนมจีบเต้าหู้ของที่ร้านนี้อาจไม่ค่อยถูกปากคนไทยเท่าไหร่ซึ่งคุ้นเคยกับรสชาติขนมจีบแบบจีนที่เน้นมีส่วนผสมของเครื่องเทศและพริกไทยครับ แต่ได้ความแปลกไปอีกแบบหนึ่งครับ คนชอบทานเต้าหู้รสอ่อนๆน่าจะชอบ • Boiled Dish (Nimono) หรืออาหารประเภทต้ม ส่วนใหญ่จะเป็นพวกผักต้มกับเนื้อสัตว์หรือซีฟูดและมีส่วนผสมในการปรุงด้วยโชยุหรือมิริน (สาเกใช้สำหรับทำอาหาร) และน้ำตาลให้ความหวาน // สำหรับ course นี้ไม่มีเมนูนี้ครับ • Deep Fried Dish (Agemono) หรืออาหารประเภททอดกรอบ ส่วนใหญ่จะเป็นเทมปุระผักหรือซีฟูด // สำหรับ course นี้ทางร้านจะเสิร์ฟเป็น Zuwai Kani Tempura หรือเทมปุระรวม ขาปูสึวาอิ ปลาหมึก เห็ดหอม รากบัว ตัวแป้งเทมปุระทอดได้พอกำลังดีมากๆครับ กรอบแบบแป้งไม่แข็ง ไม่อมน้ำมัน กรอบกำลังดี รสชาติตัวแป้งที่ชุบทอดมาออกแบบรสอ่อนๆเลยไม่เค็ม ไส้ก็สุกกำลังดีครับ เนื้อปูยังคงสดหวานอยู่ ปลาหมึกยังเด้ง รากบัวทอดกรุบกรอบดี กินกับน้ำจิ้มผสมหัวไช้เท้าบดขลุกขลิกเข้ากันมากครับ เมนูนี้ส่วนตัวค่อนข้างประทับใจ • Vinegared Dish (Sunomono) หรืออาหารประเภทหมักด้วยน้ำส้ม ส่วนใหญ่จะมีวัตถุดิบเป็นผักและซีฟูด // สำหรับ course นี้ทางร้านจะเสิร์ฟเป็น “สลัดเต้าหู้” ซึ่งเป็น Signature Salad ของทางร้านเลยมีอยู่ใน Kaiseki course ทุกเมนูของทางร้านครับ เต้าหู้สูตรพิเศษของทางร้านรสชาติและเนื้อสัมผัสจะไม่เหมือนที่ใส่ในอาหารตัวอื่นคือจะเคี้ยวไม่หนึบเหนียวมากและได้กลิ่นจากถั่วเหลืองชัดกว่า ผักสลัดหลายอย่างในชามสดกรอบมีสีสันหลากหลายตัดกันชวนน่าทานดี ส่วนน้ำสลัดจะรสออกเปรี้ยวชัดเจนมีส่วนผสมของน้ำส้มไว้ใช้ดองผัก มีใส่ถั่วช่วยเสริมรสมันและเนื้อสัมผัสกรุบกรอบเวลาเคี้ยวด้วย วัตถุดิบทั้งหมดผสานกันได้อย่างลงตัว สรุปสลัดจานนี้รสชาติถูกปากผมดีครับ • Grilled Dish (Yakimono) หรืออาหารประเภทย่าง // สำหรับ course นี้ไม่มีเมนูนี้รวมอยู่ครับ 3. Shokuji เป็น Course อาหารหลักที่เสิร์ฟก่อนจบมื้อครับ • Rice หรืออาหารที่มีข้าวเป็นส่วนประกอบหลัก // สำหรับ course นี้ทางร้านจะเสิร์ฟเป็น “Zuwai Kani Chirashi Sushi” หรือข้าวยำหน้าปูสึวาอิครับ เสิร์ฟมาในชามก้นแบนทำให้ได้ข้าวปริมาณไม่เยอะเกินไป ตัวข้าวญี่ปุ่นแท้นั้นคลุกด้วย ไข่ปลาแซลมอน สาหร่ายโนริ ไข่หวานซอย ใบชิโสะเขียวซอย เห็ดหอมซอย งาขาวเล็กน้อย โดยรวมผมว่าอร่อยดีครับได้กลิ่นหอมของพวกโนริและใบชิโสะซอย หวาน เค็ม มัน เปรี้ยว ครบทุกรสเลยครับ เคียงมาด้วยขิงดองและวาซาบิใส่ในชามไว้ตัดเลี่ยนเหมือน Chirashi หน้าปลาดิบอื่นๆ เนื้อปูสดหวานดีครับ ซึ่งทางร้านนั้นเสิร์ฟปูสึวาอิมาทั้งก้ามและขาโดยเค้ากะเทาะมาให้เล็กน้อยซึ่งเราต้องแกะเนื้อปูออกมาเอง แต่เค้าก็มีอุปกรณ์สำหรับช่วยทานในการเขี่ยเนื้อปูออกมาจากก้ามให้ด้วยครับ สรุปเมนูนี้ผมชอบที่ความสดของปูสึวาอิและรสชาติข้าวยำแบบญี่ปุ่นที่ปรุงมาทานพร้อมกับปูช่วยเสริมรสชาติกันได้ดีครับ • Miso Soup ซุปมิโซะเสิร์ฟมาพร้อมกับเมนูข้าวด้านบนครับ // สำหรับ course นี้คือ Zuwai Kani Miso Soup หรือซุปมิโซะขาปูสึวาอิ ซุปรสออกเค็มกำลังดีจากมิโซะและหวานหอมจากเนื้อปูที่นำไปต้มรวมกัน ซดแล้วคล่องคอดีครับ ในส่วนของเนื้อปูที่แช่อยู่ในซุปรสชาติยังกลมกล่อมดีอยู่ ทำให้เวลาทานซุปแล้วมาทานเนื้อปูยังรู้สึกถึงความเป็นปูอยู่ ไม่ได้โทนเดียวกันเกินไปแม้ว่าจะนำไปต้มรวมกัน ซุปมิโซะของที่ร้านนี้ผมชอบมากครับตั้งแต่คราวก่อนๆที่มาทาน (ตอนนั้นเป็นซุปมิโซะฟองเต้าหู้) 4. Dessert ตบท้ายมื้อนี้ด้วยของหวานเป็นเต้าหู้ฟรุทสลัดในน้ำเชื่อมใส่ในถ้วยขนาดน่ารักลวดลายดอกไม้สวยงามพร้อมชาสำหรับดื่มล้างปากครับ จุดเด่นของร้านนี้ก็ยังเป็นที่เต้าหู้เช่นเคยถึงแม้เป็นของหวานเช่นกัน ตัวเต้าหู้ที่ใส่เป็นลูกบาศก์ขนาดพอดีคำเหนียวหนึบเหมือนกับที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอาหารเรียกน้ำย่อยครับ #### สรุป คหสต #### • ยังคงประทับใจเช่นเคยเวลามาร้านนี้ รสชาติอาหารที่อาจไม่ดึงดูดมากที่สุดสำหรับร้านอาหารญี่ปุ่น (บางอย่างรสชาติแบบญี่ปุ่นแท้อาจไม่ถูกปากคนไทย) แต่ได้เรื่องคุณภาพของวัตถุดิบที่ดีมากทั้งเต้าหู้และปูซึ่งเป็นตัวหลักของร้าน บวกเรื่องบรรยากาศที่ซึบซับความเป็นญี่ปุ่นแท้ๆได้อย่างดี ช่วงนี้ไปเที่ยวไม่ได้ก็มาญี่ปุ่นทิพย์ที่นี่ได้เหมือนกัน 555 ทำให้คิดถึงตอนไปพักเรียวกังเลยครับ • ไม่พูดถึงไม่ได้คือการบริการของร้านนี้ซึ่งผมว่าเค้ามี service code ที่ชัดเจนมาก บางทีก็คิดว่าอย่างลูกค้าก็นั่งตัวเกร็งทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่าเหมือนคำพูดที่ว่า ลูกค้าเสมือนพระเจ้า ประมาณนั้นครับ • เท่าที่ดูราคา Kaiseki Course ต่างๆสำหรับมื้อเย็น ราคาโดยเฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ประมาณ 1,300-1,500 บาท โดยชุดที่ราคาถูกสุดเป็นชุดเต้าหู้ล้วนอยู่ที่ราวๆประมาณ 850 บาท ชุดที่ราคากลางๆหน่อยจะเป็นวัตถุดิบอย่างปูสึวาอิหรือเนื้อวากิวครับราคาราวๆ 1,300-1,800 บาท ส่วนชุดที่ราคาบนสุดจะเป็นพวกที่มีปูทาราบะเป็นวัตถุดิบหลักราคาราวๆ 2,500-3,000+ บาท สรุป 4 ดาว ชอบพาครอบครัวมาทานในโอกาสสำคัญ เพราะที่ร้านมีห้องส่วนตัวด้วย และตกแต่งให้อารมณ์เหมือนไปพักในโรงแรมเรียวกังที่ญี่ปุ่นเลย ตั้งแต่เราเดินถึงที่ร้านแล้วเหมือนเราหลุดเข้ามาข้ามไปที่ญี่ปุ่นเลย เหมาะสำหรับพาครอบครัวมานั่งทานข้าวเปลี่ยนบรรยากาศใช้เวลาร่วมกัน แต่ถ้าใครชอบร้านที่เป็นแบบสไตล์ในสวนหินเซนญี่ปุ่นแบบเปิดที่นี่อาจจะไม่เหมาะครับ เมนูมีหลากหลายประเภทแบบอาหารญี่ปุ่นทั่วไป แต่ราคาจะสูงกว่าร้านที่เป็นแบบขายอาหารญี่ปุ่นโดยเฉพาะไปเลย ดังนั้นถ้ามาร้านนี้ผมแนะนำว่าให้ลองสั่งเป็นพวก Kaiseki Course น่าจะดีและคุ้มกับประสบการณ์มากกว่า หรือถ้ามาเป็นช่วงกลางวันเค้าก็มี Lunch Set ราคาเบาลงให้สั่งได้ครับ --------------- [เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ Kaiseki] Kaiseki (懐石) หรือเขียนแบบเต็มๆคือ Kaiseki ryori (懐石料理) เป็นอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมโบราณซึ่งมีรูปแบบการเสิร์ฟเมนูแยกเป็นหลายคอร์ส (multi-course) ต่อเนื่องจนครบมื้อ หลักๆก็เพื่อให้ได้ลิ้มรสความสดใหม่ของอาหารของทุกๆจานเสมอ คล้ายๆกับรูปแบบการเสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสตามร้านหรูที่เสิร์ฟแยกมาทีละ course ในรูปแบบ tasting portion ขนาดพอดีคำและเน้นการตกแต่งจานอาหารที่สวยงาม ทำให้อาหารญี่ปุ่นรูปแบบ Kaiseki และอาหารฝรั่งเศสแบบชั้นสูงมีทั้งความเหมือนและคล้ายคลึงกันในการเสิร์ฟ ต้นกำเนิดของอาหารญี่ปุ่นแบบ #Kaiseki นั้นย้อนหลังไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน (ช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1500-1600) โดยเป็นมื้ออาหารเริ่มต้นเสิร์ฟในพิธีชงชาแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า chanoyu (茶の湯) ต่อมามีการพัฒนารูปแบบอาหารสไตล์นี้ไปเป็นอาหารที่เน้นความประณีตอย่างมากทั้งในการตกแต่งจานรวมถึงการเลือกใช้วัตถุดิบเหมาะสมตามฤดูกาลและต้องเสิร์ฟในภาชนะที่ดูสวยงาม ดังนั้นจึงเป็นเมนูอาหารที่ได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นสูงรวมถึงขุนนางในสังคมญี่ปุ่นในยุคต่อมา ส่วนในปัจจุบัน Kaiseki เป็นที่นิยมเสิร์ฟให้แก่ลูกค้าหรือแขกที่สำคัญซึ่งมาพักในโรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นโบราณหรือเรียกว่า “เรียวกัง” Ryokan นั่นเองครับ ** สำหรับความเห็นผมนั้น Kaiseki ก็คล้ายกับอาหารไทยตำรับชาววังของบ้านเรานั่นเองที่มีวิธีการเสิร์ฟที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติและต้องตกแต่งหน้าตาจานอาหารให้สวยงามเช่นกัน อดีตเป็นอาหารสำหรับในวังเท่านั้น แต่ปัจจุบันสามารถหาทานได้ตามร้านอาหารบางร้านที่พิเศษครับ ** [พิกัด:] ชั้น 2 Nihonmura Mall ซอยทองหล่อ 13 ขึ้นลิฟท์มาจากที่จอดรถใต้ดินถึงชั้น 2 มองออกมาทางซ้ายเจอร้านนี้เลย ต้องเอาบัตรจอดรถมาแสตมป์ตราที่ร้านถึงได้อัตราพิเศษ (ค่าที่จอดรถต่อชั่วโมงถ้าไม่มีแสตมป์ที่นี่โหดมากครับ)... อ่านต่อ
24 Likes0 Comment
photo