4.1
47 เรตติ้ง (29 รีวิว)
สเต๊ก฿฿฿฿฿
เปิดอยู่จนถึง 19:00
เมนูของร้าน Maillard Butcher & Steak สาทร
Rib Eye SteakDry Aged, Medium Rare
[BRW2018] ร้านเนื้ออาโนลด์เวอร์ชั่นคนไทย Dry Aged ขั้นต่ำ45วัน เสิร์ฟแบบ Old-Fashioned ต้นซอยเซ็นต์หลุยส์ ~ไม่ใช่ BRW 3*ร้านนี้เป็นทั้งร้านขายเนื้อ (Butcher Shop) ซึ่งแบ่งพื้นที่หน้าร้านตั้งตู้โชว์เนื้อ และร้านสเต็กบริเวณในที่เดียวกันครับ ตั้งอยู่แถวๆต้นซอยสาทร 11 (เซ็นต์หลุยส์ 3) หรือซอยข้างๆ AIA Sathorn Tower ที่เป็นซอยลัดทะลุไปถนนจันทน์ได้ เข้ามาจากถนนสาทรใต้ไม่เกิน 100 เมตรดี สังเกตร้านอยู่ฝั่งขวามือ แต่ที่จอดรถต้องขับเลยไปอีกประมาณ 130 เมตร ฝั่งขวามือเหมือนกัน แชร์ที่จอดกับอพาร์ทเมนท์เก่าๆติดกับ Mawin Hotel บอกป้อมยามว่ามาร้านสเต็ก จอดฟรีครับ แล้วเดินย้อนขึ้นมาที่ปากซอยหน่อย ## ส่วน Butcher Shop เปิดตั้งแต่ 14:00 – 22:00 ## ส่วนร้านอาหารสเต็ก เปิดแค่ช่วงมื้อเย็น 17:30 – 22:00 บรรยากาศร้านเป็นแบบขนาดเล็กๆไม่กว้างมาก โต๊ะนั่งเบียดๆกันไม่กี่ตัว เพราะแบ่งพื้นที่ให้ส่วนที่เป็นร้านขายเนื้อกับส่วนครัวด้านข้างไป ผมว่าเหมือนร้านอาหารเล็กๆติดแอร์ในซอยมากกว่าครับ ดังนั้นผมแนะนำว่าควรโทรไปสอบถามหรือจองกับที่ร้านก่อนไปครับ สำหรับ BRW2018 ผมโทรไปจองที่ร้านก่อนไปแค่ครึ่งวันตอนบ่ายๆแล้วไปช่วงหัวค่ำวันเดียวกันก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะอาจเป็นวันธรรมดาด้วยครับลูกค้าไม่เยอะมาก [ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อและเมนูสเต็กของร้านนี้:] • ร้านนี้มีขายแต่เนื้อวัวในไทย สายพันธุ์ Thai-Wagyu จากหนองคายและอุบลฯ (ไม่มีเนื้อนำเข้า) ทั้ง Grass-fed และ Grain-fed หรือเลี้ยงให้ทานด้วยหญ้ากับธัญพืช • เนื้อที่ขายในร้านเค้าจะคัดเกรดดีสุดหรือ Prime • ก่อนเอามาแบ่งแล่ขาย เค้าเอาไปทำ Dry Aged หรือบ่มก่อน ขั้นต่ำ 45 วัน (ปกติทั่วไปเริ่มต้น 28 วัน) เพื่อให้เนื้อนุ่มและมีรสชาติเข้มข้นกว่าเนื้อที่ไม่ทำการบ่ม • ราคาเนื้อเค้าคิดตามปัจจัย 2 อย่าง คือ 1) Marbling Score สเกลแบบ US คือ 1-12 ร้านนี้สูงสุดที่เค้าขาย score 8-9 และ 2) ระยะ Dry Aged ยิ่งจำนวนวันนานก็ยิ่งแพงขึ้น เพราะเนื้อที่บ่มมีการย่อยสลายจากเอนไซม์ตามธรรมชาติทำให้เนื้อขนาดหดลง เริ่มต้น 45 วัน ผมเห็นสูงสุดตอนที่ไป 75 วัน • วิธีการสั่งอาหารพวกสเต็กเนื้อวัว ก็เหมือนร้านสไตล์เดียวๆกัน ไปชี้เลือกส่วนหรือ Cut ของเนื้อที่ต้องการก่อน ถ้าไปดูที่ตู้จะเห็นลายเนื้อและไขมันทำให้ตัดสินใจได้ง่ายกว่าครับ และระดับความสุกตามชอบเลย • ทางร้านรู้สึกเค้าจะมีคิดค่า Cooking Charge หรือค่าปรุงทำสเต็ก 150 บาทต่อชิ้นเนื้อที่เลือก บวกเพิ่มเข้าไปในราคาอาหารด้วยครับ และยังมีค่าซอสถ้าต้องการ seasoning ให้สเต็กเพิ่ม สั่งแยกต่างหากและขายแยกเป็นถ้วยๆเหมือนร้านอาโนลด์เลย เป็น Chimichurri Sauce กับ Diane Peppercorn Sauce ถ้วยละ 90 บาท • ร้านนี้เค้าจะใช้การทำสเต็กแบบเอาไปจี่บนกระทะ ไม่ใช่ย่างแบบเตาเซาะร่อง ดังนั้นชิ้นเนื้อสเต็กเวลาเสร็จจะไม่เห็นเป็นลายตารางของเตา วิธีการปรุงสเต็กของเค้าจะออกแนวไม่ต้องใช้อะไรมาก ใช้เนยเหลว โรยเกลือ โรยพริกไทย ปรุงรสด้วยพวกใบไทม์แบบฝรั่งๆ [อาหารที่สั่ง:] ตอนที่ผมไปเป็นช่วง BRW2018 ซึ่งได้ซื้อดีล 3-course dinner set 999++ ไว้ครับ มาลองดูว่ามีเลือกเมนูอะไรบ้างครับ 1. Appetizer เลือกเป็น Broccoli Cheddar Soup เป็นซุปผักบร็อคโคลี่สีเขียวๆแบบ creamy ท๊อปด้านบนด้วย Cheddar Cheese ที่เป็นแบบเหลวๆโดนความร้อนละลายมาแต่ยังไม่กลืนกับเนื้อซุป ตอนมาเสิร์ฟใส่เป็นถ้วยเล็กๆ (ไม่ใช่จานกระเบื้องหลุมอย่างที่คาดไว้) ## คหสต ผมว่าซุปยังออกไม่ creamy มากเท่าไหร่ ยังเห็นเนื้อบร็อคโคลี่ปั่นบ้างแบบหยาบๆ ไม่กลืนกับเนื้อซุปมาก ดูจากรูปของคนอื่นและในเมนูที่ให้เลือกแล้ว คิดว่า French Onion Soup ดูดีและน่าทานกว่าครับ แนะนำว่าสั่งตัวนั้นน่าจะเวิร์คกว่า 2. Main Course (ไม่มีตัวเลือกครับ) Rib Eye Steak ในรายการเมนูที่เลือกระบุว่าน้ำหนัก 280g แต่ไม่ได้ระบุเรื่อง Marbling score หรือ จำนวนวัน Dry Aged ของเนื้อ ในวันที่ผมไปร้านเค้ามี Rib Eye Cut ที่มี Marbling ตั้งแต่ 2-3, 4-5, 6-7,8-9 // Dry Aged 60-75 วัน คาดว่าทางร้านคงเลือกตัวที่มี score ราวๆ 3-5 มาเสิร์ฟให้ จากหน้าตาและเนื้อที่ได้ เพราะราคาถูกสุดในวันนี้ ถ้า 8-9 และ 75 วัน วันนั้นเค้าแปะราคาอยู่ 4,950 บาท/kg ส่วนชิ้นที่ผมได้น่าจะเป็นแบบ 2,000 บาท/kg ถามพนักงานแล้วบอกว่าใช่ทางร้านเลือกเป็นแบบ Dry Aged 60 วัน มาเสิร์ฟให้ครับ ผมเลือกระดับความสุกเป็น Medium Rare ซึ่งเหมาะสมสุด เครื่องเคียงในจานของสเต็กร้านนี้ default คือ หอมทอด ## คหสต เนื่องจากเป็นเนื้อวากิวไทยครับ Rib Eye คือเนื้อส่วนตอนต้นของซี่โครง ตัดแต่งกระดูกและเอ็นนอกออก ธรรมชาติของส่วนนี้คือติดมันหรือมี Marbling เนื้อนุ่มกลางๆ เพราะเนื้อส่วนนี้ Marbling เยอะ ทำให้รสชาติหวานอร่อย เวลาย่างไขมันจะค่อยๆละลายออกมาผสมกับเนื้อ เนื้อส่วนนี้จะได้ทั้ง Juicy และ Tender ระดับหนึ่ง มี Flavorful เด่นกว่าพวก Tenderloin ซึ่งเน้นความนุ่มเป็นหลักมากกว่ารสชาติ มาดูที่ระดับความสุกว่าตรงกับที่สั่งไหม ผมว่าโอเคให้ผ่าน ยังไม่ถึงกับเป๊ะๆมาก ชิ้นที่ได้เนื้อด้านนอกสุกทั้งหมด ด้านในออกสีแดงๆผมว่าเกิน 50% แต่ยังไม่ถึง Rare ดี เนื้อนุ่มอย่างที่ควรจะเป็นสำหรับส่วนนี้และ Dry Aged ด้วย ทำให้นุ่มดีมาก แอบมีติดพังผืดนิดหน่อยที่ขอบๆชิ้นเนื้อ อยู่ที่ขั้นตอนการชำแหละและแล่แบ่งมา ส่วนเครื่องเคียงหอมทอดในจานผมว่าทำให้เลี่ยนไปหน่อย แต่เค้าก็ทอดมากรอบดี หวานหอม สรุปว่า Balance-seasoned (ไม่ต้องปรุงรสหรือกินกับซอสอะไรมากก็ทานได้อร่อยแล้ว) แต่ Under-cooked ไปนิดหน่อยตามที่สั่งเลือกไป 3. Dessert/Beverage เลือกเป็น ในดีลนี้มีทั้งของหวานที่เป็นไอศกรีมให้เลือก 2 รส หรือ เครื่องดื่ม alc ที่เป็น ไวน์ขาวหรือไวน์แดง หรือ เครื่องดื่ม non-alc พวก soft drink ต่างๆหรือน้ำแร่ก็มี เลือกตามใจชอบเลย ส่วนตัวถ้าทานเนื้อ ไวน์แดงจะเป็นอะไรที่ทานคู่กันดีที่สุดครับ เป็นการกระตุ้นต่อมรับรสให้ได้รสและกลิ่นของเนื้อมากที่สุด ในรายการไวน์แดงที่มีให้เลือก มี 2 ตัว Shiraz ของ Australia กับ Cabernet ของฝรั่งเศส ผมเลือกตัวหลังครับ น่าจะเหมาะกับอาหารมื้อเย็น ค่อนข้างแรง abv ค่อนไปสูง สีไวน์เลยออกเข้มๆ มีความฝาดกลางๆ สั่งน้ำเปล่ามาเพิ่ม ที่ร้านมีเป็นน้ำแร่ Evian ขวดพลาสติกใส ราคาเริ่มต้น 50 บาท ปกติราคาอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดของร้านนี้ ต้องมี +SC 10% และ +VAT 7% เข้าไปอีก ### มุมมองส่วนตัวสำหรับ BRW Dinner Set 999 ### • เมนูแต่ละ course มีตัวเลือกให้สั่ง ถือว่าดี โดยเฉพาะเครื่องดื่มกับขนม เหมาะสำหรับคนที่ดื่ม alc หรือ ไม่ดื่ม alc หรือชอบของหวาน เลือกได้ ยกเว้น main course ที่เป็นสเต็กเนื้ออย่างเดียว และเลือก cut อะไรไม่ได้เลย มีแต่ Ribeye ผมว่าน่าจะมีให้เลือกซัก 2-3 เมนูก็ยังดี อาจเป็นพวก Striploin หรือ Tenderloin แต่ขนาดอาจจะระบุลดลงก็ได้ • ความคุ้มค่าของ course นี้ ถ้าเทียบกับราคาปกติของร้านเค้าผมว่าก็คุ้มประมาณนึง แต่ส่วนตัวผมว่ารวมๆแล้วราคาเนื้อร้านนี้ค่อนข้างสูงเหมือนกัน • เงื่อนไขการใช้ดีล Dinner Set ใช้ได้เฉพาะช่วงมื้อเย็นอย่างเดียวครับ เพราะส่วนร้านอาหารเปิดเฉพาะช่วงเย็นครับ ควรโทรมาจองก่อน เพราะร้านไม่ใหญ่ • การบริการสำหรับการใช้ดีล เสิร์ฟเป็น course ได้ต่อเนื่องดี ช่วงที่เปลี่ยนจาก soup เป็น สเต็ก ทางในครัวเค้าก็เตรียมกะเวลาทำสเต็กเสิร์ฟแบบทำใหม่ๆให้ครับหลังจากจบ course ที่เป็น appetizer #### คหสต #### พูดถึงร้านเนื้อสเต็กดีๆ ผมจะขอสรุปเป็นข้อๆ คือ 1. คุณภาพของเนื้อ ที่นี่ถึงจะใช้เนื้อจากวัวเลี้ยงในไทย 100% แต่ก็เป็นวัวสายพันธุ์วากิวครับ เลี้ยงด้วยอาหารพวกธัญพืช ตัวเนื้อจะมีความหอมมากเป็นพิเศษ และเค้ามีการทำ Dry Aged เนื้อด้วย ทำให้รสชาติเนื้ออร่อยและนุ่มขึ้น – ผมว่าเป็นจุดเด่นและจุดขายของร้านเค้าครับ อันนี้เท่าที่ได้ลอง Rib Eye เนื้อนุ่มดี ชอบครับ 2. การตัดแต่งหรือรูปแบบการ Cut ผมว่าก็ใช้ได้ครับ เนื้อที่ตัดแต่งมาดูสวยงามดี มีลาย Marbling ให้เห็นชัด เลือกตามความชอบได้เลย ชิ้นเนื้อแดงที่ตัดมาหนาดีตาม cut ต่างๆของวัว เวลาเอาไปย่างสเต็กแล้วเสิร์ฟดูน่าทานใช้ได้ แต่คอมเม้นท์อย่างหนึ่งคือแอบมีโดนส่วนที่เป็นพังผืดตรงขอบๆนิดหน่อย เคี้ยวยากครับ ต้องตัดออก แต่โดยรวมๆผมโอเคครับ 3. เทคนิคการทำสเต็กให้สุกตามระดับการสั่ง ผมว่าพอใช้ได้ ยังไม่ถึงเป๊ะดี แต่ถ้าให้สุกระดับเดียวกันทั้งชิ้นโดยตลอดจะดีมากครับ 4. การปรุงรสและรูปแบบการเสิร์ฟออกแนวไม่หวือหวา ไม่ฟิวชั่น หรือผมจะเรียกว่า Old-fashioned เครื่องปรุงที่ใช้ เกลือ พริกไทย ใบไทม์ balance-seasoned ดี 5. ผมว่าเค้ามีคิด add on ราคาหลายอย่างเหมือนกัน ตั้งแต่ cooking charge สำหรับสเต็กที่ทานในร้าน ซอสถ้าอยากได้รสชาติก็ต้องสั่งเพิ่ม (แต่ผมว่าตัวสเต็กเค้าปรุงมาดีอยู่แล้ว ไม่ต้องมีซอสก็ทานได้แล้วครับ) และราคามี +SC +VAT เข้าไปอีก เมื่อเทียบกับลักษณะร้านที่ไม่ใหญ่มากเหมือนพวก Steakhouse แล้ว ผมว่าราคาปกติที่ขายแอบสูงเหมือนกัน ผมเคยทานร้านเนื้อไทยที่เค้า dry aged เองด้วย สไตล์คล้ายๆร้านนี้เลยครับ แต่อยู่นอกเมือง ราคาขายปกติพอๆกับดีลนี้เลยครับ สรุปถ้าเป็น BRW2018 เมื่อเทียบรสชาติกับความคุ้มค่าแล้วผมให้ค่อนข้างดี 4 ดาว แต่ถ้าเป็นเมนูราคาขายปกติผมว่าร้านนี้แอบราคาสูงเหมือนกันครับ จะให้ 3 ดาว ถ้าไม่ใช่ BRW ------------------ Maillard (เมญาร์ด) ที่มาชื่อร้าน เป็นชื่อของแพทย์ชาวฝรั่งเศสผู้ค้นพบ Maillard Reaction ปฏิกิริยาเคมีระหว่างกรดอะมิโนกับน้ำตาลในอาหาร โดยมีความร้อนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้ผิวนอกของอาหารปรากฏเป็นสีน้ำตาล มีกลิ่นและรสชาติชวนทาน... อ่านต่อ
31 Likes0 Comment
photo