4.2
419 เรตติ้ง (225 รีวิว)
ปิดอยู่จะเปิดในวันที่ 6 เม.ย. 2024 เวลา 12:00
บรรยากาศ La VIE Bistronomy
บรรยากาศ
Michelin Star Chef Events : Chef Sébastien SanjouLa VIE – ห้องอาหารฝรั่งเศสของโรงแรม VIE Hotel แห่งนี้ นอกจากจะได้รับการยอมรับนับถือเป็นอันดับต้นๆของร้านอาหารฝรั่งเศสในกรุงเทพฯ จนได้รับรางวัลมามากมายรวมถึง The Plate จาก Michelin Guide Bangkok 2018 และ Wongnai User’s Choice 2018 แล้ว ยังมีการจัด Michelin Star Chef Events เป็นระยะๆ โดยเชื้อเชิญเหล่าเชฟจากร้านอาหารเจ้าของดาวมิชลินจากทั่วโลกมาปรุงอาหารเมนูเด็ดให้เราได้ชิมกัน เมื่อนึกถึงว่าเชฟที่มีชื่อเสียงเหล่านี้มักต้องเดินทางไปหาประสบการณ์ในต่างแดนอยู่เสมอ ต่อให้ลงทุนซื้อตั๋วเครื่องบินไปถึงร้านต้นตำรับที่ฝรั่งเศสก็ไม่แน่ว่าจะได้ลิ้มรสอาหารจากฝีมือเชฟใหญ่ตัวจริง Event แบบนี้จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่ไม่ควรพลาดเลยล่ะค่ะ ****- Michelin Star Chef Events : 25th-28th April 2018 - **** สำหรับครั้งนี้ทาง La VIE ได้เชิญเชฟ Sébastien Sanjou แห่งร้าน 1 ดาวมิชลิน “Le Relais des Moines” ในเมือง Les Arcs-sur-Argens ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสมา โดยจัดเฉพาะช่วงวันที่ 25-28 เมษายนนี้เท่านั้น แบ่งให้บริการเป็นมื้อกลางวันและมื้อเย็นตามนี้ ราคาที่แสดงเป็นราคาสุทธิ ไม่มี ++ นะคะ ● 4-Course Set Lunch - เริ่มเสิร์ฟตั้งแต่ 12.00 น. เป็นต้นไป ราคา 3,000 บาท / คน (เฉพาะอาหาร) ถ้าสั่ง Wine pairing ด้วยจะเป็น 4,500 บาท / คน ● 6- Course Set Dinner – อาหารเริ่มเสิร์ฟตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ราคา 6,000 บาท /คน (เฉพาะอาหาร) ถ้าสั่ง Wine pairing ด้วยจะเป็น 8,000 บาท / คน ****- Reservation & Promotions -**** กับ event พิเศษแบบนี้ควรต้องจองที่นั่งไปก่อนล่วงหน้าค่ะ จะจองง่ายๆโดยโทร. ไปที่เบอร์ 083-820-4224 ก็ได้ แต่ถ้าจองผ่าน website ของโรงแรมก็จะมีส่วนลดให้ตามนี้ค่ะ https://www.viehotelbangkok.com/sebastien-sanjou/ โปรโมชั่นพิเศษ: มื้ออาหารค่ำแบบเซต 6 คอร์ส : ลด 15% (เฉพาะอาหารเท่านั้น) สิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิกบัตรเครดิต KTC VISA ทุกประเภท: รับส่วนลด 30% สำหรับมื้อกลางวันและมื้อค่ำโดยมิชลินสตาร์เชฟ เมื่อจองผ่านเว็บไซต์และใส่รหัสโปรโมชั่น “KTC30” หมายเหตุ: ต้องชำระเงินด้วยบัตรเครดิต KTC VISA เท่านั้น ****- Chef’s Biography -**** Chef Sébastien Sanjou นั้นเติบโตมาในครอบครัวที่อยู่ในแวดวงธุรกิจร้านอาหาร ได้รับการศึกษาที่โรงเรียนการโรงแรม Biarritz ผ่านประสบการณ์ทำงานกับเชฟ Christian Willer ที่ La Palme d'Or - ร้านระดับ 2 ดาวมิชลิน ที่เมือง Cannes และได้มาเปิดร้านของตัวเองคือร้าน Le Relais des Moines จนได้รับรางวัล 1 ดาวมิชลินในปี 2556 นอกจากนี้เขายังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งใน Maitres Cuisiniers de France ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เชฟอาหารฝรั่งเศสทุกคนใฝ่ฝันอีกด้วย สไตล์การทำอาหารของ เชฟ Sébastien Sanjou นั้นจะเน้นอาหารฝรั่งเศสแบบดั้งเดิมที่มีการแต่งแต้มความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองเข้าไปด้วย ให้ความสำคัญกับการคัดสรรวัตถุดิบสดใหม่คุณภาพดี แล้วนำมาปรุงด้วยเทคนิควิธีการต่างๆได้อย่างน่าสนใจ โดยเมนูที่จัดว่าเป็น Specialties ของเขานั้นได้แก่ Bleda-raba collection Philippe Auda , Half-wild duckling Pierre Duplantier และ Choco-gold sphere ค่ะ ****- 4-Course Set Lunch -**** [Complimentary Bread] เริ่มต้นกันด้วยขนมปังก่อน พนักงานถือถาดมาให้เลือก มีขนมปังอยู่ 3 แบบ สามารถขอเติมได้ ตัวที่เราเลือกเนื้อคล้าย baguette แต่เนื้อนุ่มละเอียดกว่านิดนึง ไม่ได้เสิร์ฟอุ่น แต่ได้กลิ่นรสแบบขนมปังอบใหม่ๆ อร่อยทีเดียวค่ะ ส่วนเนยที่นี่ใช้แบบจืดนะ [Amuse Bouche] ● Deep Sea Mussel, Champignon, Herbs เมนูนี้เสิร์ฟมาในแก้วใบย่อมๆ แบ่งเป็น 3 layers คือชั้นล่างสุดเป็นเนื้อเห็ดบดและผัก ตรงกลางเป็นหอยแมลงภู่ 2 ตัว ท็อปด้วยชิ้นเห็ด Champignon ฝาน 1 เสี้ยว เวลาเสิร์ฟพนักงานจะเอาซุปเห็ดข้นๆมาราดให้เหมือนเป็นซอส เป็นเมนูที่ได้เห็นการนำวัตถุดิบหลัก คือเห็ด Champignon นี้มาปรุงด้วยเทคนิคแตกต่างกัน แล้วมาประกอบเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ทำให้ได้รสชาติที่มีมิติยิ่งขึ้น อร่อยถูกใจเลยค่ะ [Starter] ● Foie Gras, Young Turnip, Juniper, Bitter Orange Foie Gras เนื้อเนียนละมุนลิ้น หอม และไม่มีกลิ่นสาบเจือเลยแม้แต่น้อย บ่งบอกว่าใช้ Foie Gras เกรดท็อปจริงๆ เสิร์ฟมาอุ่นๆ ระดับความสุกกำลังดี ราดด้วย Bitter Orange Sauce ทานกับหัว Young Turnip กรอบๆกับ puree มีรสขมนิดๆพอตัดเลี่ยน ดีงามจริงๆค่ะ ถ้าจะมีไม่สุดอยู่นิดก็คือเราชอบ Foie Gras แบบที่ sear ด้านนึงมาจนผิวนอกกรอบๆ ได้สัมผัสที่ตัดกับเนื้อในที่นุ่มละลายในปาก ซึ่งที่ได้ลองไปนี้ผิวด้านนอกยังไม่ถึงกับกรอบขนาดนั้น แต่ยังไงซะก็อร่อยมากเลยนะคะ [Main] เลือกได้อย่างใดอย่างหนึ่งจาก 2 เมนูนี้ค่ะ : ● Wild Sea Bass, Caviar, Jerusalem Artichoke, Nut สำหรับเมนูนี้แม้ในมื้อกลางวันจะเป็น Main Course แต่ในมื้อเย็นก็จะมีอยู่ในคอร์ส Fish Dish ค่ะ ถ้ารักพี่เสียดายน้องอยากลองทั้ง 2 อย่างก็คงต้องจัดมื้อเย็นล่ะนะ ● French Pigeon, Beetroot, Marsala เลือกเมนูนี้เพราะพนักงานแนะนำว่าเป็น Signature Dish ของเชฟ ..เดาว่าน่าจะนำไอเดียมาจากจาน Half-wild duckling Pierre Duplantier นั่นเอง แต่เปลี่ยนมาใช้เนื้อนกพิราบจากฟาร์มแทน ชิมแล้วมีฟินเคลิ้มมม....เนื้อนกพิราบเนียนละเอียดนุ่มสุดใจ หนังกรอบนิดๆ ราด Marsala sauce ที่รสชาติกลมกล่อมพอดิบพอดีสุดๆ ทานคู่กับ puree of beets รสหวานเบาๆที่ทำจาก red beetroot, white beetroot และ sugar beetroot ดีงามสมเป็นเมนูเด่น ทราบมาว่าเมนูนี้เชฟคิดค้นอยู่ถึง 4 ปี และอุตส่าห์ขนเครื่องปรุงจากฝรั่งเศสมาด้วยเพื่อ event นี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว [Dessert] ● Chocolate Sphere, Raspberry อีกหนึ่งเมนูที่เป็น Specialty ของเชฟ Chocolate Sphere เสิร์ฟมาเป็นก้อนกลม โดยพนักงานจะเอาซอสช็อกโกแลตมาราดให้ที่โต๊ะ แต่ราดเสร็จแล้วไม่ยักกะทะลุเห็นข้างในสวยๆ เลยต้องใช้ช้อนส้อมช่วยแหวก ด้านในมีไอศกรีม Chocolate Sorbet , ผล Raspberry สด, และ Hazelnut Crumble กรอบๆอยู่ด้านบน มี White Chocolate Mousse รองด้านล่าง ชิมแล้วช็อกโกแลตรสชาติดีจริงๆ ระดับความหอม-หวาน-มันจัดว่าลงตัว คนรักช็อกโกแลตอย่างเรานี่ปลื้มปริ่มมากมาย... ● Coffee or Tea เลือกเป็นกาแฟร้อน หอมเข้มดีงาม เป็นการจบมื้อนี้ลงได้อย่างน่ารื่นรมย์ค่ะ ****-The Verdict-**** ในแง่รสชาตินั้นสมฝีมือเชฟมิชลิน แม้จะมีบางจุดไม่เป๊ะบ้างแต่ก็น้อยจนเหมือนเป็นเรื่องหยุมหยิม วัตถุดิบดีงาม ส่วนปริมาณสำหรับ Set Lunch นี้คืออิ่มหลวมๆ (ใครรู้ตัวว่าทานจุให้ขอขนมปังมาตบให้อิ่มเลย) สำหรับราคาถ้าเปรียบเทียบกับอาหารชุดมื้อกลางวันของบางร้านที่ได้ดาวมิชลินในบ้านเราก็ดูว่าแรงเอาเรื่อง แต่ก็ยังดีที่เป็นราคา net และมีโปรโมชั่น ถ้ามองอย่างเข้าใจก็ต้องถือว่าจ่ายเป็นค่าประสบการณ์ เพราะการที่เชิญเชฟบินมาถึงเมืองไทยนี่ก็เป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง สำหรับคนที่ให้คุณค่ากับการได้สัมผัสทักษะฝีมือและสไตล์ที่เชฟต่างคนต่างก็มีเอกลักษณ์ของตนเองแล้วล่ะก็ มื้อพิเศษแบบนี้ถือว่าเป็นอะไรที่ควรหาโอกาสไปลองค่ะ กับ event ครั้งนี้มีถึงวันที่ 28 เมษายนนี้เท่านั้น ใครสนใจก็ต้องรีบจองให้ด่วนจี๋ ส่วนใครที่พลาดไปก็คงต้องรอ Michelin Star Chef Events ครั้งต่อๆไป ซึ่งทาง La Vie ก็ได้มีกำหนดการออกมาแล้วตามภาพที่โพสต์ไว้ โดยจะมีเรื่อยๆถึงสิ้นปีนี้เลยล่ะค่ะ... อ่านต่อ
66 Likes0 Comment
photo