3.8
115 เรตติ้ง (97 รีวิว)
เปิดอยู่จนถึง 22:30
เมนูของร้าน Cafe Claire Oriental Residence Bangkok
มาจัดอาหารฝรั่งเศสมื้อหรูแบบ all you can eat ได้แบบคุ้มๆกับโปรดีๆจาก Hungry hubCafé Claire - ห้องอาหารฝรั่งเศสของโรงแรม Oriental Residence Bangkok นี้นำเสนออาหารสไตล์ French Bistro ภายใต้การดูแลของ Executive Chef Eric Weidmann – เชฟชาวสเปนที่มีประสบการณ์ในการทำอาหารฝรั่งเศสมากว่า 15 ปี อีกทั้งยังเคยเป็นผู้ชนะการแข่งขันรายการเชฟกระทะเหล็กไปเมื่อปีที่แล้วด้วย อาหารที่นี่มี concept เป็น Farm to Table นำวัตถุดิบที่หาได้ในประเทศไทยมาปรุงด้วยรสชาติแบบฝรั่งเศสแท้ๆ สำหรับช่วงนี้ทางร้านจัดโปรโมชั่นร่วมกับ Hungry Hub อยู่หลายรูปแบบ หลายราคา หลังจากประเมินความจุกระเพาะตัวเองแล้ว เลยขอเลือกจัด Unlimited French Food Buffet ที่เสิร์ฟอาหารแบบ a la carte ให้นั่งทานได้สวยๆที่โต๊ะแต่สั่งรัวๆได้ไม่อั้นนี่เลยค่ะ ****-รายละเอียดสำหรับ Unlimited French Food Buffet-**** • โปรโมชั่นนี้ต้องจองผ่าน Hungry Hub เท่านั้น รายละเอียดตาม link นี้เลย ดูเมนูพร้อมจอง http://bit.ly/2QYrfNj • ราคา : คนละ 1,090 บาทสุทธิ / ถ้าจองตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ลดเหลือคนละ 990 บาทสุทธิค่ะ (เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบทานฟรี) • ระยะเวลาทาน : 2 ชั่วโมง • สิ้นสุดโปรโมชั่น : 31 สิงหาคม 2020 • เงื่อนไข : สั่งอาหารจากเมนูที่กำหนดได้ไม่อั้น แต่ถ้าทานเหลือมีคิดค่าปรับด้วยนะ (ไม่แน่ใจว่าปรับราคาเท่าไหร่เพราะทานกันเกลี้ยงเลย 555) ****-เมนูที่สั่ง-**** [SALAD] • Salade niçoise : Niçoise salad served with seared, rare yellowfin tuna เป็นจานที่ดีงามคุ้มค่าน่าจัดที่สุดในหมวดสลัด แต่ก็หนักท้องที่สุดเช่นกัน ผักสลัดตระกูล lettuce สดดีใช้ได้ เสริมทัพด้วยพริกหยวก แตงกวา มันฝรั่งต้ม ไข่ต้ม เติมความเค็มจากลูกมะกอก ทีเด็ดคือทูน่าชิ้นยาว sear สุกแค่ผิวนอกกำลังสวย น้ำสลัดรสดีกลมกล่อม ชอบค่ะ • Salade caesar : Caesar salad with romaine lettuce with anchovies, bacon, Caesar dressing and parmesan cheese Gran Padano with grilled chicken ทำได้ดีตามมาตรฐานสลัดซีซาร์ทั่วไป ผักสดกรอบ น้ำสลัดเข้มข้นหอมชีส ใส่ชีส parmesan แผ่นบางๆมาให้เยอะพอสมควร โรย croutons และเบคอนกรอบๆเข้ากันดี ส่วนเนื้อไก่นั้นไม่ได้ใส่มาให้ (คิดว่าเมนูคงพิมพ์ผิด) ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรเพราะมื้อนี้เป็นบุฟเฟต์ มีจานเนื้อๆให้สั่งต่างหากไม่อั้นอยู่แล้วน่ะนะ • Salade de roquette : Arugula salad with heirloom tomatoes, parmesan, olive oil and lemon juice dressing เทียบกับสลัด 2 เมนูแรกแล้วตัวนี้จะสดชื่นที่สุด เหมาะกับจะสั่งมาใช้ตัดเลี่ยนเมนูอื่นๆ ผักร็อกเก็ตใช้ใบอ่อนไม่ขมมาก ใส่มะเขือเทศลูกจิ๋วๆรสเปรี้ยวแหลม โรย parmesan cheese และ croutons กรอบๆ น้ำสลัดรสอ่อนๆเป็นธรรมชาติดีค่ะ [STARTER] • Crabe cake : French style crab cake with Marie Rose sauce and green mango pickles เมนูนี้อร่อยและทานง่ายมากๆ เนื้อปูล้วนๆปั้นเป็นชิ้นกลมโต ชุบแป้งขนมปังทอดจนผิวกรอบแต่ไม่อมน้ำมัน ทานกับซอส Marie Rose รสอมเปรี้ยว-หอม-มัน เพิ่มความสดชื่นด้วยมะม่วงดิบซอยและมะเขือเทศสด เด็กทานได้ ผู้ใหญ่ทานดี ชอบเลย • Charcuterie : French cold cut platter with condiments and country artisanal bread Cold cut จัดมาเป็นชุดย่อมๆ มีทั้ง ham, prosciutto, และ spicy chorizo แนมมาด้วยมะกอกดอง ส่วนขนมปังนั้นจัดใส่ตะกร้ามาให้ตั้งแต่แรก เลยไม่แน่ใจว่าเป็น complimentary bread ที่มีให้ทุกคนอยู่แล้ว หรือมีให้เฉพาะถ้าสั่งเมนูนี้ แต่ก็เอามาทานด้วยกันได้เพลินๆไปนั่นล่ะ [SOUP] • Soupe aux champignons : Smooth and creamy mushroom soup with truffle oil Texture ของซุปคือดีเลย ใส่เนื้อเห็ดเยอะ ได้รสเห็ดชัดเจน เพิ่มความหอมจาก truffle oil ก็ยิ่งฟินไปกันใหญ่ค่ะ • Bisque de crustacés : Smooth and creamy crustacean soup with Andaman blue crab ซุปเห็ดว่าดีแล้ว เจอจานนี้ยิ่งเด็ดมากกว่า เนื้อสัมผัสของซุปครีมมี่นวลเนียนละมุน ความข้นกำลังเป๊ะ ได้ความหอมและรสอร่อยจากกุ้งและปู ใส่เนื้อกุ้งเด้งๆมาให้อีก 1 ชิ้น ปลื้มปริ่มกันไป... [EGG] อันที่จริงก็เคยได้ยินชื่อเสียงอยู่ว่า Egg Benedict ที่นี่ดีมาก แต่มื้อนี้ไปช่วงบ่ายแก่ๆ ไม่ค่อยนึกอยากทานเมนูสไตล์อาหารเช้าเท่าไหร่ เลยขอข้ามค่ะ [PASTA] • Tagliatelle à la bisque de homard et crevette : Tagliatelle with lobster bisque and prawns เส้น Tagliatelle เคล้ากับซอส lobster bisque เนื้อครีมมี่แต่ไม่เลี่ยน รสชาติอ่อนๆแต่กลมกล่อมใช้ได้ ใส่เนื้อกุ้งมาให้พอประมาณค่ะ • Spaghetti Carbonara : Served with pancetta bacon, garlic, cream, egg yolk and parmesan เป็น Spaghetti Carbonara แบบต้นฉบับที่แท้ทรู เข้มข้น หนักชีส รสชาติอ่อนๆ ใครสายไม่แข็งหรือเลี่ยนง่ายขอเตือนว่าอย่าสั่ง ไม่ใช่ว่าทำไม่อร่อย แต่มันหนักท้อง ตัดกำลังมากมาย เดี๋ยวอิ่มซะก่อนจะกินเมนูเนื้อๆได้ไม่คุ้มน่ะค่ะ [FISH] • Saumon sauce dieppoise : Roasted salmon ”dieppoise style” with mussels and prawn, braised leeks ปลาแซลมอนชิ้นบางๆ มองดูตอนแรกแอบกลัวจะ overcooked แต่พอได้ทานจริงเนื้อก็นุ่มดีค่ะ ราดซอสครีมรสกลมกล่อม ใส่เนื้อหอยแมลงภู่กับเนื้อกุ้งมา 1-2 ชิ้น อร่อยพอใช้ได้นะ • Snow fish caramélisé : Caramelized honey mustard Snow fish, lemon risotto ปลาหิมะของที่นี่จะเนื้อแน่นกว่าทั่วๆไป มีความนุ่มความมันที่เคี้ยวสนุกดี แต่ซอส honey mustard นี่ทั้งความหวานและกลิ่นรสน้ำผึ้งมาเต็ม ในส่วนของ Risotto ก็เนื้อดี แต่รส lemon มาชัดๆโดดๆเช่นกัน อารมณ์เลยกึ่งๆของหวานคล้ายกินปลากับลูกอมฮอลล์รสน้ำผึ้งผสมมะนาวยังไงๆอยู่ คือพอทานได้แต่ไม่ค่อยปลื้มล่ะ • Barramundi à la bisque de homard : Roasted Seabass, lobster sauce ,crushed potato with crab,baby asparagus เป็นเมนูที่ทานแล้วถูกใจที่สุดในคอร์สปลานี้ค่ะ เนื้อปลากระพงชิ้นหนานุ่ม หนังกรอบพอใช้ ราด lobster sauce ที่ผสมเนื้อปูเน้นๆ และมันฝรั่งต้มมาด้วย อร่อยลงตัว [MEAT] • Bourguignon de Joue de Boeuf Thai Charolais : Slow-cooked Thai Charolais beef cheek in red wine Burgundy-style, and mashed potatoes เป็น Top pick ของมื้อนี้ที่บอกเลยว่าใครมาแล้วไม่สั่งคือพลาด เพราะนี่คือหนึ่งในเมนูแนะนำของเชฟ Eric Weidmann เลยทีเดียว เนื้อแก้มวัวตุ๋นนุ่มละมุน ซอสไวน์ก็รสชาติดีสมบูรณ์แบบ ทานกับมันบดเนื้อเนียนๆก็อร่อยเข้ากันสุดๆค่ะ • Blanquette de Poulet Fermier : Stewed free range chicken “Blanquette Style”, mushroom, rice pilaf and baby vegetables เนื้อไก่ของเมนูนี้ตุ๋นมานุ่มสุดๆ จนเนื้อเป็นสีชมพูเลยทีเดียว (แต่สุกทั่วถึงนะ) น้ำสตูว์เป็นครีมขาวไม่ข้นมาก ไม่เลี่ยน แต่สำหรับเราแล้วรสอ่อนเกินไป ต้องปรุงเกลือปรุงพริกไทยซะหน่อยถึงจะโอเคขึ้นล่ะ [DESSERT – CHOICE OF 1 / PERSON] เป็นคอร์สเดียวที่จำกัดให้เลือกได้แค่คนละ 1 เมนูค่ะ เราเลือกลองไปตามนี้ • Crème brulée à la vanilla : Vanilla crème brulée with orange zest เนื้อครีมคัสตาร์ดนั้นนุ่มนวลดี แต่ชั้นของแผ่นน้ำตาลเบิร์นไฟด้านบนหนาไปหน่อย เลยออกมาแข็งๆและทำให้รสชาติโดยรวมหวานเกินไปนิด กลิ่นของผิวส้มไม่ค่อยชัดเจน แต่ผลไม้สดทั้งสตรอเบอร์รี่ ส้ม และบลูเบอร์รี่นั้นช่วยเพิ่มความอร่อยได้ดีทีเดียว • Mousse au Chocolat et Fruits Rouges : Chocolate mousse with red berries มูสช็อกโกแลตเนื้อนุ่ม หวานมันเต็มที่และหอมโกโก้ชัดเจน ใส่ผลไม้สดแบบเดียวกับเมนูที่แล้วและโรย Chocolate crumble กรอบๆ ชิมแล้วชอบมากกว่า Crème brulée นะ [BEVERAGE] • Iced Tea : Lemon Bush เป็นชาของ TWG เรื่องกลิ่นรสก็เป็นอันว่าเลิศอยู่แล้ว แก้วนี้ชงมาแบบใส่น้ำแข็ง หวานน้อย และหอมสดชื่นมากๆค่ะ • Hot Americano ปิดท้ายมื้อนี้ด้วยกาแฟร้อนเข้มๆซักแก้ว จิบแกล้มขนมได้เพลินดีทีเดียว ****-บรรยากาศ-**** บรรยากาศของร้านนั้นดูมีความเรียบหรูแบบร้านสไตล์ยุโรปแท้ๆ ตกแต่งด้วยโทนสีขาว-ดำ โต๊ะลายหินอ่อน เก้าอี้โซฟาน่าสบาย ผนังกระจกจรดพื้นจรดเพดานมองออกไปเห็นวิวสวนสวยชอุ่มร่มรื่น สำหรับช่วงนี้ทางร้านมีมาตรการป้องกัน covid-19 โดยมีแอลกอฮอล์เจลจัดไว้ให้ จัดโต๊ะนั่งแบบสลับเก้าอี้ไม่ให้นั่งประจัญหน้ากันตรงๆ (แต่นั่งโต๊ะเดียวกันได้) พับกระทงกระดาษวางไว้บนโต๊ะไว้สำหรับใส่หน้ากากอนามัย และมีการให้ลงทะเบียนเข้า-ออก (ใช้แอพหรือเขียนเอาก็ได้) ตามนโยบายของรัฐบาลค่ะ ****-The Verdict-**** เพราะเป็นบุฟเฟต์ที่นำเมนู a la carte มาเสิร์ฟแบบ all you can eat ทั้งรสชาติและความประณีตจึงสูงกว่าอาหารในบุฟเฟต์ที่อื่นทั่วๆไปชัดเจน แต่ถ้าเทียบกับการทานอาหารแบบ a la carte หรืออาหารคอร์สแบบ tasting menu จริงๆก็ถือว่าปานกลาง รสชาติดีเป็นส่วนใหญ่แต่ไม่ได้โดดเด่นมาก สิ่งที่ทำให้มื้อนี้น่าจัดจึงเป็นเรื่องของราคาที่พอนำมาเทียบกับคุณภาพและปริมาณที่ทานได้ไม่อั้นก็ถือว่าคุ้มสุดๆ สำหรับวันที่เราไปนั้นเป็นวันเสาร์ โดยเลือกไปช่วง 14.00 น. ซึ่งเป็นรอบที่ 2 ของวัน ปรากฏว่าพนักงานแจ้งว่ามีบางเมนูได้หมดไปแล้ว ไม่สามารถสั่งได้ คือ Escargots de Bourgogne, Creamy tomato gnocchi with basil และ Thai Kurobuta pork Tomahawk ซึ่งเป็นเมนูที่เราตั้งใจอยากมาทานทั้ง 3 อย่างเลย ทำเอาผิดหวังจนสตั๊นไป 3 วิ แต่พนักงานก็อธิบายว่าเพราะเป็นช่วง covid-19 ระบาดทำให้วัตถุดิบบางอย่างขาดแคลน ไม่สามารถจัดหามาให้เพียงพอได้ เราก็เลยเข้าใจและอภัยให้ได้ค่ะ แต่ก็เลยเก็บมาเตือนว่าถ้าใครคิดจะไปทานบุฟเฟต์นี้ พยายามเลือกจองรอบแรกของวัน จะได้มีเมนูให้สั่งครบๆนะ... อ่านต่อ
36 Likes0 Comment
photo