4.2
734 เรตติ้ง (388 รีวิว)LINE MAN Wongnai User's Choice 2024
ปิดอยู่จะเปิดในเวลา 12:00
Fillets สี่พระยา
Smoked Salmon
เปลี่ยนทุกสัมผัสที่เคยทานกับอาหารญี่ปุ่นแบบพรีเมี่ยม วัตถุดิบเยี่ยม ร้านบรรยากาศดีมาก อร่อยฟินตั้งแต่คำแรกยันคำสุดท้ายFillets ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบพรีเมี่ยมสุดๆหนึ่งในไม่กี่ร้านในไทย ร้านนี้เป็นร้านของเชฟแรนดี้ผู้มากประสบการณ์ในเรื่องของอาหารญี่ปุ่นครับ ร้านนี้ประทับใจตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านเลยครับ เพราะทุกซอกทุกมุมนั้นตกแต่งแบบให้ความเป็นญี่ปุ่นสมัยมากๆครับ ทุกอย่างดูหรูหราสวยงาม สะอาดสะอ้าน อาหารของทางร้านนั้นก็มีให้เลือกทานหลายรูปแบบครับ ไม่ว่าจะเป็นแบบ A La Carte หรือ Omakase หรือที่เรียกว่าเชฟจัดให้นั่นเองครับ ด้วยความที่ร้านนี้เป็นร้านซูชิแบบพรีเมี่ยม วัตถุดิบนั้นมีการคัดแล้วคัดอีกว่าสดใหม่และอร่อยจริงๆ ราคาของอาหารในร้านนี้ก็เลยถือว่าสูงอยู่พอสมควรเอาใจคนกระเป๋าหนักนิดหน่อยครับ ถ้าจะมาทานยังไงก็พกบัตรเครดิตมาด้วยเลยละกันครับ โดยเฉพาะพวก Omakase ที่มีคอร์สให้เลือกทานได้หลายราคาอยู่ มีตั้งแต่พันต้นๆไปจนถึงครึ่งหมื่นเลยก็มีครับ แต่สิ่งที่ได้รับนั้นรับรองว่าอิ่ม คุ้มค่า แล้วก็ประทับใจเหมือนผมอย่างแน่นอนครับ [วิธีการเดินทาง] ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ของโครงการ The Portico หลังสวน ร้านอยู่ด้านหน้าสุดของโครงการเลยครับ เข้ามาแล้วขึ้นลิฟท์มาแล้วเดินต่อมาทางขวาก็จะเจอร้านเลยครับ วิธีการเดินทางมายังโครงการนี้ก็ไม่ยากครับเพราะโครงการนี้ตั้งอยู่บนถนนหลังสวนไม่ไกลจากรถไฟฟ้า BTS สถานีชิดลมเท่าไร สามารถเดินทะลุผ่าน Mercury Ville ต่อมาได้นิดหน่อยก็ถึงแล้วครับ หรือถ้าใครจะขับรถมาก็สามารถนำมาจอดในโครงการได้เลยครับ อย่าลืมนำบัตรจอดรถมาแสตมป์ด้วยนะครับ [บรรยากาศ/การบริการ] ร้านนี้บรรยากาศดีมากครับ ด้านในร้านตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นแบบโมเดิร์นดี ความเป็นญี่ปุ่นนี่มีให้เห็นตั้งแต่ทางเข้าร้านเลยครับทางเข้านั้นเป็นทางเดินสวยงาม ด้านในร้านมีที่นั่งทั้งสไตล์ญี่ปุ่น ที่นั่งโต๊ะธรรมดา แล้วก็ห้องส่วนตัว รวมถึงโซน Omakase ด้วยครับ ลูกค้าในร้านส่วนใหญ่เป็นต่างชาติหรือไม่ก็คนไทยที่มาทานโอมากาเสะนี่แหละครับ ถ้าอยากได้ที่นั่งดีๆแนะนำให้โทรมาจองก่อนเลยจะดีกว่าครับ ส่วนถ้าจะมาทานแบบ Omakase นี่ต้องโทรจองก่อนเลยครับ การบริการของพนักงานนั้นก็บริการได้ดีสมกับเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบพรีเมี่ยมครับ อย่างวันนี้ผมมาทาน lunch set แบบ Omakase พนักงานก็จัดห้องด้านในพร้อมกับดูแลให้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ผมมานั่งทานแบบ Omakase พนักงานเสิร์ฟทุกอย่างให้ถึงที่แบบพร้อมทานเลยครับ ทานเสร็จก็เก็บจานทันที พร้อมนำจานใหม่ที่พร้อมสำหรับเมนูถัดไปมาให้ทันที ประทับใจสุดๆครับ [รสชาติอาหาร/ความคุ้มค่า] วันนี้ผมมีโอกาสได้มาลองทาน Business Lunch Omakase ของทางร้าน ซึ่งเป็น Business Lunch Tasting Menu ที่ทางร้านเพิ่งออกมาให้สั่งทานกันดูได้ไม่นานครับ วันนี้ความพิเศษแรกเลยของทางร้านก็คือเชฟมีการชงชาเขียวญี่ปุ่นที่เรียกว่า Gyokuro ให้ทานกันเป็นเซตเปิดก่อนที่จะเริ่มทานมื้อหลักกันด้วยครับ Gyokuro - เกียวคุโระเป็นหนึ่งในชาเขียวญี่ปุ่นที่มีการปลูกแบบพิเศษและแตกต่างจากชาเขียวธรรมดา เพราะการปลูกชานั้นจะมีการนำฟางมาคลุมชาก่อนที่จะเก็บถึง 20 วันเพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้กับตัวชานั่นเองครับ ทางร้านเสิร์ฟชาตัวนี้ให้ทานกันถึงสามคอร์สด้วยกันครับ 1) Cold Brew - ทางร้านจะชงด้วยน้ำเย็นก่อนเป็นอันดับแรกครับ ใส่น้ำเย็นลงไปแค่ 13 วินาทีเท่านั้นแล้วเสิร์ฟเลยครับ 2) Hot Brew - หลังจากชงด้วยน้ำเย็นเสร็จทางร้านจะเทน้ำเย็นที่เหลืออกแล้วใส่ด้วยน้ำร้อนนิดๆ (ใช้น้ำร้อนมากไม่ได้ครับ) ชงอยู่ 30 วินาที ก็จะนำมาเสิร์ฟเป็นคอร์สที่สองให้เราดื่มกัน 3) Addable - หลังจากชงด้วยน้ำร้อนเสร็จแล้วทางร้านจะนำใบชามาใส่ด้วยพอนซึกับเปลือกส้มยูสุ คลุกให้เข้ากัน แล้วเสิร์ฟตัวใบชามาให้ทานครับ ตัวชาอาจจะขมหน่อยเมื่อทานไปคำแรก แต่พอทานไปเรื่อยๆจะอร่อยขึ้นครับ เค็มๆ มันๆดีครับ Sashimi - หลังจากทานชาเสร็จแล้วเรียบร้อย ทางร้านก็เริ่มเสิร์ฟซาชิมิมาให้ทานเป็นอย่างแรกเลยครับ ซาชิมิถือว่าเป็นเมนูแรกของ Business Lunch Tasting Menu Omakase ครับ ทางร้านเสิร์ฟมาเป็นปลากระพงขาว ปลาซาบะดองลนไฟ แล้วก็หอยเชลล์จากฮอกไกโดครับ ซาชิมิทั้งสามนั้นสดมาก เอาเข้าปากแล้วรู้สึกได้ถึงความสดใหม่เลยครับ 1) ปลากระพงขาวสดมาก หลายร้านที่ผมเคยทานมานั้นจะออกกลิ่นคาวอยู่เยอะ แต่ที่นี่ไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อยครับ อร่อยมาก 2) ซาบะดองนั้นอร่อยของมันในตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งได้กลิ่นของการเบิร์นเข้ามาช่วยยิ่งทำให้หอมอร่อยขึ้นไปอีก ชอบชิ้นนี้มากครับ 3) หอยเชลล์ของทางร้านนั้นอิมพอร์ตเข้ามาจากฮอกไกโดโดยตรงครับ เนื้อแน่น หวานอร่อยมากครับ Appetizer - หลังจากทานซาชิมิเสร็จแล้วทางร้านจะเสิร์ฟเมนู Appetizer ซึ่งจะเป็น Creative Menu เปลี่ยนแปลงไปตามใจเชฟในแต่ละวันครับ วันนี้ผมได้ทานเป็น Chutoro ราดมาด้วยทรัฟเฟิ้ลออย ออสเซตร้าคาร์เวียโปะมาด้านบน ตัวชูโทโร่นั้นสดใหม่มาก ละลายในปาก ซอสทรัฟเฟิ้ลนั้นมีการนำไข่นกกระทามาตีกับโชยุทรัฟเฟิ้ลให้เข้ากัน ไม่แปลกใจเลยที่รสชาติมันหอมอร่อยมาก เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับชูโทโร่ครับ Sushi Course - เมนูซูชิคอร์สของทางร้านเสิร์ฟมา 5 คำด้วยกันครับ ประกอบไปด้วย ชูโทโร่ อินาดะ เอบิ อุนิ ไข่หวาน ซูชิของทางร้านปลาชิ้นใหญ่ โปะข้าวได้แบบมิดเลยครับ แต่ละคำนั้นก็สดอร่อยมากเช่นกันครับ 1) Chutoro - ชูโทโร่ของทางร้านเกรดดีมากครับ ละลายในปากไม่แพ้โอโทโร่เลยครับ 2) Inada - ปลาตัวนี้เป็นลูกปลาบุรี เนื้อปลาคล้ายๆฮามาจิ แต่มีรสหวานกว่า และอร่อยกว่าครับ 3) Ebi - ปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบทานซูชิหน้ากุ้งสักเท่าไร แต่ที่นี่ยอมเลยครับ อร่อยมาก เนื้อหวาน ไม่เย็นชืดจนแข็งเหมือนหลายๆร้านเลยครับ 4) Uni - ไข่หอยเม่นของทางร้านสดแบบถึงขีดสุด ไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อยครับ มีแต่ความหวานละมุนละลายในปากครับ 5) Tamago - ไข่หวานของทางร้านพิเศษมากครับ หน้าตาเหมือนบัตเตอร์เค้กเลย เนื้อนุ่ม แต่รสชาติไม่หวานเหมือนกับไข่หวานปกติเท่าไร ควรทานปิดท้ายนะครับสำหรับคำนี้ Main Course - อาหารเมนเมนูสามารถเลือกได้สองเมนูครับว่าอยากทานเป็นข้าวหน้าเนื้อซากะ A5 หรืออยากเป็นข้าวหน้าปลาดิบรวม (Bara Chirashi) สำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อ วันนี้ผมเลือกเป็นข้าวหน้าเนื้อ A5 ทางร้านใช้เนื้อวัวซากะแบบพิเศษ นำไปย่างมาแบบ Medium Rare ที่ด้านในนั้นยังสีชมพูสวยงาม ส่วนด้านนอกนั้นหอมกลิ่นเบิร์นที่อบอวลไปด้วยกลิ่นพริกไทยมากๆครับ เนื้อวัวนั้นคุณภาพดีมากแทบจะละลายในปากเลยครับ ส่วน Bara Chirashi นั้นก็พรีเมี่ยมมากจริงๆครับเพราะทางร้านให้มาทั้ง แซลมอน ฮามาจิ โกฮาดะ ไข่ปลาแซลมอน ซาบะดอง รวมถึงอูนิด้วยครับ ฟินแบบไม่ต่างกันสำหรับคนไม่ทานเนื้อครับ Dessert - ของหวานปิดท้ายทางร้านเสิร์ฟมาให้เป็น Matcha Cupcakes แล้วก็ Tiramisu Mochi ที่ทางร้าน outsource ให้กับร้าน Chikalicious เป็นคนทำมาให้ ตัวคัพเค้กนั้นนุ่มอร่อย หอมกลิ่นมัทฉะมากๆ ส่วนโมจินั้นข้างนอกก็เหนียวนุ่ม ข้างในทิรามิสุก็อร่อยมากครับ Artisan Housemade Soda Bottle - ทางร้านยังคงมีเมนูพิเศษเป็น Artisan Soda มาให้ลองทานแก้หิวน้ำกันด้วยครับ โซดาตัวนี้เป็นโซดาแบบ Housemade คือทำเองโดยทางร้านนั่นเองครับ ผมเลือกทานรสลิ้นจี่ มันหอมอร่อยมากครับ วันนี้ก่อนออกเชฟเกิดอยากให้ลองทานบ๊วยแผ่นจากญี่ปุ่น เชฟเลยจัดมาคู่กับแซลมอนรมควันโรยมาด้วยข้าวพองให้ทานคู่กัน ทานแล้วมันลงตัวมากอีกเช่นกันครับ ความหวานของบ๊วยตัดกลิ่นคาวของแซลมอนรมควันที่มีรสเค็มไปได้หมดสิ้นเลยทีเดียว นอกจากนี้เชฟยังมีการนำวาซาบิสดๆมาให้ลองทานกันดูอีกด้วยก่อนปิดมื้อนี้ไป Business Lunch Omakase นี้ราคาอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาทครับ ใช้เวลาในการทานประมาณ 1 ชั่วโมงพอดี สามารถมาทานได้ในช่วงเที่ยงวันเลยครับ เหมาะทั้งจะมาทานหลังคุยธุรกิจเสร็จ หรือจะมากับคู่รัก หรือมากับเพื่อนร่วมงานก็ได้ทั้งนั้นครับ รับรองว่ามันจะเปลี่ยนทุกสัมผัสและประสบการณ์ในการทานอาหารญี่ปุ่นไปเลยอย่างแน่นอน และที่สำคัญคุณภาพของวัตถุดิบและความอร่อยนั้นมันคุ้มกับเงินที่จ่ายไปอย่างแน่นอนครับ... อ่านต่อ
74 Likes0 Comment
photo