- หน้าแรก
/
- รูป Jok โต๊ะเดียว(เยาวราช) เยาวราช


หน่อไม้ทะเลผัดน้ำมันหอย
จกโต๊ะเดียว ห้ามเบี้ยว ห้ามฟิน ห้ามกินไม่หมดผ่านยุทธจักรการชิมอาหารมาทั่วหล้า แต่ไม่น่าเชื่อว่าไช้ไม่เคยมาชิม “จกโต๊ะเดียว” เลยสักหน ไม่ถึงกับเสียชาติเกิด แต่แค่จะคุยกับเขา..ไม่..รู้..เรื่อง ก็เท่านั้น ได้ยินกิตติศัพท์มาเนิ่นนานว่ามันอร่อยขนาดนั้น ขนาดนี้ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบปากคนชงไม่เท่าไช้ลงมาชิม(ด้วยตัวเอง)
กับทุกคำถามที่คุณยังคงค้างคาใจกับสิ่งที่เขาเล่าว่าเกี่ยวกับ “จกโต๊ะเดียว” ครั้งนี้ไช้จะขออาสาตวัดลิ้นชวนเสียว(กระเพาะ) ให้คุณได้อิ่มตาหลับเสมือนว่าได้ไปกินด้วยตัวเอง ถ้าพร้อมแล้วเชิญตามมาครับ
***คำเตือน***เรื่องนี้มีความยาวมากจนอาจดูเวิ่นเว้อ กรุณาอ่านผ่าน ๆ แต่ถ้าเพื่อน ๆ ชอบกัน ผมคงนอนยิ้มฝันหวานตลอดคืน
[อยู่ไกลแค่ไหน ช่วยบอกที?]
จกโต๊ะเดียวเป็นร้านอาหารจีนเล็ก ๆ ในตรอกอิสรานุภาพ ย่านเยาวราช/พลับพลาไชย แต่ก่อนมีแค่โต๊ะเดียว เดี๋ยวนี้เพิ่มมาเป็น 4 โต๊ะแล้ว (1 โต๊ะด้านหน้าเป็นห้องส่วนตัว และอีก 3 โต๊ะด้านหลังอยู่ติดกับครัว) ถ้ากลัวเดินทางมาไม่ถูก แนะนำให้เปิดพิกัดบน Google Map พิมพ์คำว่าจกโต๊ะเดียว เดี๋ยวมันขึ้นมาให้เองครับ
สำหรับคนที่ขับรถมา แนะนำให้จอดรถทิ้งไว้ที่วัดคณิกาผล (ตรงข้ามมูลนิธิปอเต๊กตึ๊ง) แล้วเดินมาที่ร้าน “จกโต๊ะเดียว” สังเกตง่าย ๆ ว่าจาก สน.พลับพลาไชย ให้มองเยื้องมาทางซ้ายฝั่งตรงกันข้าม จะเห็นตรอกอิสรานุภาพ ข้าง ๆ ซอยวัดมังกร (เป็นถนนเล็ก ๆ สำหรับคนเดินผ่าน เดินเข้ามาไม่ถึง 100 เมตรจะเห็นป้ายไฟสีแดงอร่อยเลิศตั้งอยู่หน้าร้าน)
สำหรับคนที่กลัวรถติดแนะนำให้นั่ง MRT รถไฟใต้ดินมาลงที่สถานีหัวลำโพง (Exit 1) แล้วต่อมอร์เตอร์ไซค์มาลงแถว สน.พลับพลาไชยแล้วเดินเข้ามาในซอย แต่ถ้าใครอยากทำมื้อนี้ให้อร่อยที่สุด ก็เดินมาครับ ผมใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเดินเท้าจากสถานีหัวลำโพงเดินผ่านเยาวราชจนมาถึงร้านด้วยความหิวโหยกำลังดีครับ
[จองล่วงหน้านานมั้ย?]
ผมตอบแบบฟันธงไม่ได้ เลยขออนุญาตตอบแบบกลาง ๆ กั๊ก ๆ ว่า “อันนี้ก็แล้วแต่ดวงครับ” เร็วสุดน่าจะประมาณ 2 อาทิตย์ ช้าสุดอาจมี 3 เดือน อย่างก๊วนผมใช้เวลาประมาณเดือนกว่าครับ ต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้จองโต๊ะได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมาก เพราะเขามีโต๊ะเพิ่มขึ้น แถมยังมีทั้งมื้อกลางวัน และมื้อเย็นด้วย พูดง่าย ๆ ว่าวันนึงก็รับ 8 โต๊ะ อันที่จริง ผมว่าโทรไปจองไม่ยากเท่าไหร่นะ ไอ้ที่ยากน่าจะเป็นการรวมเทพคิวทองให้ว่างตรงกันมากกว่าครับ
[การสั่งอาหารที่จกโต๊ะเดียว]
เขาเล่าว่ามากินร้านนี้ห้ามเรื่องมาก อยากกินอะไรต้องตามใจเชฟ อารมณ์ประมาณ Chef’s Table เวอร์ชั่นจีน เรื่องของเรื่องคือมันเกิดจากที่เฮียจกเขาจะปรุงอาหารจากวัตถุดิบที่คัดสรรมาได้ในช่วงเวลานั้น ก็เลยทำให้กะเกณฑ์ไม่ได้เป๊ะ ๆ ว่าวันนี้จะได้กินเหมือนวันนั้นรึเปล่า อย่าเข้าใจผิดว่าเฮียเขาติสท์ จริง ๆ อาเฮีย และอาซ้อ น่ารักมาก อัธยาศัยดี ไม่เย่อหยิ่งเหมือนเชฟมีชื่อเสียงหลายคน วันนั้นไช้ชวนชิมโชคดีมาก เฮียจกเขาอนุญาตให้บุกไปถ่ายรูปถึงหลังครัวด้วย แต่เป็นตอนที่อาหารออกหมดแล้ว เลยไม่ได้เห็นเบื้องหลังการถ่ายทำ กว่าจะมาเป็นอาหารแต่ละจานในมื้อนี้
จากเท่าที่ผมสังเกตเมนูที่เฮียจกเตรียมไว้ให้ลูกค้าแต่ละครั้งก็เริ่มจะพอคาดเดาได้ละ อาหารเรียกน้ำย่อยมักจะเริ่มต้นด้วย “แปะก๊วยคั่วเกลือ” กับ “เกี๊ยวกุ้ง” ตอนท้ายมักจะจบด้วย “ข้าวผัด เสิร์ฟมาคู่กับซิ่วท้อ” กับ “ซุปปลา” โดยมีของหวานเป็น “เผือกหิมะ” อะไรประมาณนี้ (*ดอกจัน* เฮียจกอาจมีการเปลี่ยนแปลงเมนูโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า)
เมนูไฮไลท์ของร้านนี้คือ “ปูนึ่ง” เตรียมไว้ให้ตามจำนวนคน ถ้ามา 10 คน จะได้ปู 5 ตัว รวมทั้งก้ามและเนื้อปูแกะไว้ให้ทานง่ายเลย ส่วนเมนูอื่น ๆ อาจมีสลับวนไปมา ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง ปลา เป็ดรมควัน หน่อไม้ทะเล เป๋าฮื้อ ฯลฯ ส่วนถ้าใครต้องการเมนูพิเศษอย่าง “หูฉลาม” ควรแจ้งล่วงหน้าครับ ราคาก็จะอัพขึ้นไปอีกกว่าเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเหมือนร้านทั่วไป อย่างมื้อนี้เราไม่ได้รีเควสต์หูฉลามนะครับ ไช้ชวนชิมขอร่วมรณรงค์ไม่กินเมนูที่สัตว์ถูกเลี้ยงหรือถูกฆ่าอย่างทรมาน
สรุปว่ารายการอาหารไม่น่าจะหนีไปจากนี้มาก เพื่อน ๆ ไม่เห็นต้องลุ้นเลยว่าจะได้กินอะไรบ้าง? ขอให้ลุ้นว่ามื้อนี้จะมีตังก์พอจ่ายดีกว่ามั้ยครับ?
[เมนูอาหารพร้อมราคา]
นี่คือเมนูอาหารของวันศุกร์ที่ผ่านมาครับ (19 ก.พ. 2559)
1) แปะก๊วยคั่วเกลือ (Salted Ginkgo) - 200 บาท
เป็นอาหารจานแรกที่เริ่มเสิร์ฟเมื่อสมาชิกพร้อมหน้าพร้อมตาครับ เป็นเมล็ดสีเหลืองทองอร่ามอาบมันเลื่อมพอให้เห็นเป็นเงาประกาย ทานกรุบกริบเมื่อมีรสเค็มของเกลือมาผสม ได้ความหอมมาเจือปนจากหอมเจียวทอดกรอบที่เวลาเคี้ยวแล้วมันดันติดร่องฟันพอเป็นพิธี เรื่องรสชาติยังไม่พูดถึง จานแรกกินอะไรก็อร่อย น้ำย่อยมันไหลท่วมออกมารอที่ท่าน้ำอยู่นานแล้ว
2) เกี๊ยวกุ้ง (Shrimp Wonton) - 250 บาท
เกี๊ยวกุ้งจานนี้หน้าตาดูยาจกแต่รสชาตินั้นยิ่งใหญ่ราวกับเป็นอาหารจักรพรรดิ์ (เป็น 1 ในเมนูเด็ดที่ไช้ชวนชิมเทคะแนนให้หมดหน้าตัก) ถ้าร้านบะหมี่เกี๊ยวไหนห่อเกี๊ยวปรุงรสได้มีรสชาติเยี่ยงนี้ ไช้จะผูกปิ่นโตซื้อกิน ซื้อแจก ให้อร่อยกันถ้วนหน้าเลย ว่าแต่กระเทียมเจียวมันลอยหน้ามาอีกแล้วครับพี่น้อง หอมเจียวชิ้นเดิมยังติดอยู่ในร่องฟันไม่หาย มีอันใหม่ดันเข้าไปเพิ่มอีก ตอนนี้หอมปากหอมคอมากเลยครับ
3) เป๋าฮื้อ วาซาบิ (Abalone with Wasabi Sauce) - 500 บาท
ที่เห็นในจานไม่ใช่หน่อไม้ดองนะครับ มันคือเป๋าฮื้อขอรับ เป็นเป๋าฮื้อแท้หรือปลอมอันนี้บอกได้ไม่แน่ชัด เพราะไม่ทำงานอยู่กองพิสูจน์หลักฐาน แต่ผมขอเตือนคุณก่อนว่าเมนูนี้อาจทำให้คุณเสียจริตได้ เพราะน้ำจิ้มวาซาบิที่เสิร์ฟมาคู่กันมันมีอานุภาพร้ายแรงมาก ทานเข้าไปคำแรก อาหารแทบพุ่งไปยังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม (ดีที่อั้นไว้ทัน ไม่งั้น…) น้ำหูน้ำตาไหลทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ซึ้งหรือเศร้าอะไรเลย ผมทานไปได้คำเดียวจอดเลยครับ อ้อ..ผักหลายสีที่วางอยู่ข้างกันคือเครื่องเคียงนะครับ ทานได้ไม่ต้องขออนุญาต
4) ปลาหิมะเจี๋ยน (Sautéed Snow Fish) - 2,500 บาท
ปลาหิมะจานนี้ตัวใหญ่มากครับ เป็นการนำเนื้อปลาหิมะไปทอดแล้วเจี๋ยนซีอิ๊ว ทานคู่กับผักกาดแก้ว หน้าตาก็ไม่ได้ดูเลอค่าอะไร แต่ต้องยอมรับกับความสด รวมถึงฝีมือการทอดสะเด็ดน้ำมันที่กินแล้วไม่รู้สึกเลี่ยนเลย จานใหญ่ขนาดนี้ ราคาก็น่าจะเอาเรื่องอยู่
5) ปูนึ่ง (Steamed Crab, The Precious) - 7,500 บาท
น่ากินใช่ป่ะล่ะ พระเอกของเราวันนี้จะเป็นใครไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เจ้าก้ามปูนึ่งที่ปอกเปลือกมาให้เสร็จสรรพ ไม่เคยกินปูอะไรที่ง่ายดายอย่างนี้มาก่อนเลย อมแล้วดูด ดูดแล้วจิ้ม จิ้มแล้วกินฟินจริง ๆ เลย ถ้าต้องการอรรถรสเพิ่มเติม สามารถจิ้มกินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดได้ครับ แต่ขอเตือนไว้สักนิด ผงชูรสน่าจะผสมอยู่ในน้ำจิ้มไม่ใช่น้อยเลย เพราะร่างกายผมมันจะมีตัว detector MSG อยู่ กินไปสักพักจะรู้สึกได้เลยครับว่าหิวน้ำมาก เมนูนี้ไม่ทำให้ผิดหวังในเรื่องของความสด ความเด้งของเนื้อปู จริงๆ เฮียจกไม่ได้เสิร์ฟมาแต่เนื้อก้ามปูนะ เนื้อปูส่วนอื่น ๆ ถูกแกะแล้วนำมาวางกองเรียงกันอยู่กลางจาน เป็นมื้อที่กินเนื้อปูอย่างเปรมเลยครับ ไม่ต้องบีบ แคะ แกะ เกา แม้แต่น้อย
6) กุ้งอบเกลือ (Steamed Shrimp) - 1,000 บาท
กินปลา กินปู ไปแล้ว มาถึงเมนูกุ้งกันบ้าง จานนี้คือกุ้งอบเกลือ ความอร่อยของมันน่าจะอยู่ที่ความเด้งดึ๋งของเนื้อกุ้ง จะกินเปล่า ๆ หรือจิ้มกินกับน้ำจิ้มซีฟู้ด อันนี้แล้วแต่ถนัดเลย มีบ้างบางวันที่เหมือนผมเห็นเฮียจกเอากุ้งไปผัดกับซอสเอ็กซ์โอ เมนูหลังนี่ยังไม่เคยลิ้มรส เลยบอกไม่ได้ว่าโอมั้ย แต่สำหรับอาหารจานนี้ก็ถือเป็นเมนูพื้น ๆ ที่หาทานได้ตามร้านซีฟู้ดทั่วไป
7) กะเพาะปลาผัดเห็ดหอม (Stir-fried Fish Maw) - 800 บาท
กระเพาะปลาจานนี้จะแตกต่างที่เราทานตามเหลาทั่วไปตรงที่ไม่ได้เอาไปผัดแห้งกับไข่ แต่เป็นการนำไปผัดกับเห็ดหอมใส่ต้นหอมและโรยพริกชี้ฟ้าธรรมดา ความหยุ่นที่ไม่ยุ่ยของตัวเนื้อกระเพาะปลาทำให้รู้สึกเหมือนเป็นเมนูที่อาม่าผัดให้กินอยู่ที่บ้าน
8) ผัดหน่อไม้ทะเล (Sea Asparagus with Oyster Sauce) - 500 บาท
เมนูนี้เป็นการนำหน่อไม้ทะเลมาผัดน้ำมันหอยคู่กับก้านคะน้าและเห็ดหอม อร่อยแบบเบ ๆ คือทานอะไรตอนร้อน ๆ มันย่อมอร่อยกว่าตอนทิ้งไว้ให้หน่อไม้มันเหนียวและผักเย็นชืด
9) ข้าวผัดเป็ดรมควัน + ซิ่วท้อ (Fried Rice + Steamed Bun) - 500 บาท
พอข้าวผัดมาลงเท่านั้นเป็นอันรู้กันว่า นี่เราเดินทางมาจนเกือบจะปิดคอร์สโต๊ะจีนแล้ว (ตามธรรมเนียมโต๊ะจีน อาหารจานเด็ดจะเสิร์ฟให้กินตอนช่วงต้นและกลางคอร์ส ส่วนข้าวผัดและบะหมี่จะเสิร์ฟตอนปลายเพื่อให้แน่ใจว่าแขกกลับบ้านแบบอิ่มตื้อ ซึ่งถือเป็นการต้อนรับขับสู้ที่ดีในฐานะเจ้าบ้าน/เจ้าภาพ) สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของข้าวผัดร้านนี้คือ จะเสิร์ฟมาคู่กับซิ่วท้อซึ่งเป็นขนมมงคลที่เรามักใช้ในการไหว้เจ้า ทานแล้วเฮง ๆ ๆ ข้าวผัดอาจถูกเปลี่ยนไปตามกาล บางวันก็เป็นข้าวผัดปู ส่วนวันนี้เราได้กินเป็นข้าวผัดที่ใส่เป็ดย่างรมควัน ซิ่วท้อนั้นหน้าตารสชาติคล้ายกินซาลาเปาไส้ถั่ว แล้วผมยังแอบได้กลิ่นหอม ๆ อะไรบางอย่างที่ติดอยู่ในไส้ เข้าใจว่าเป็นกลิ่นอัลมอนด์ เพราะมันนัว ๆ เหมือนได้กินขนมอาลัวยังไงยังงั้น
10) ต้มบ๊วยปลาเก๋า (Grouper Plum Soup) - 500 บาท
เมนูปิดท้ายวันนี้เป็นซุปปลาเก๋าต้มบ๊วย เนื้อปลาเก๋านี่อย่างเยอะ ใส่มาเต็มหม้อทีเดียวเชียว ตัวน้ำซุปออกจะรสจัดหนักไปทางเค็มเล็กน้อยครับ แต่เนื้อปลาสดมาก ๆ ครับ
11) เผือกหิมะ (Sesame Taro) - 300 บาท
ณ จุดนี้ อิ่มได้ที่ ทุกคนดูอ่อนแรงลงไปอย่างเห็นได้ชัด มาเจอเผือกหิมะเข้าไปอีก เรียกได้ว่าเป็นการเติมอาหารในช่องว่างได้ดีมาก ๆ หิมะเจ้านี้สีอาจจะไม่สวยมาก แต่สิ่งที่ดีงามคือไม่เคลือบน้ำตาลเป็นแผ่นหนา ที่เห็น ๆ จะเป็นเคลือบงามากกว่า สรุปว่าอร่อยตามท้องเรื่องครับ
สรุปมื้อนี้ค่าเสียหายทั้งหมด 14,740 บาท เมนูที่แพงที่สุดคือปูนึ่ง 5 ตัว ๆ 1,500 บาท เมนูรองลงมาคือปลาหิมะ จานละ 2,500 บาท ที่เหลือราคาก็ลดหลั่นกันลงมา รวมค่าน้ำและน้ำแข็งด้วยก็เฉียด 15,000 บาท พวกเราตั้งเป้าว่ามันจะอยู่ในช่วง 14,000-17,000 บาท ก็นับว่าต่างจากที่คาดคิดไว้ไม่เยอะ จริง ๆ เฮียจกคิดเราแค่ 14,500 บาท แต่พวกเราลงมติเป็นเอกฉันท์ขอเก็บเงินคนละ 1,500 บาทเพื่อง่ายต่อการจัดการ หลังจากติ๊บพนักงานเสิร์ฟไปแล้ว เงินที่เหลือเรานำหย่อนใส่กล่องทำบุญที่ตั้งอยู่ที่ร้าน ถือว่างานนี้เฮียจกและสมาชิกผู้ร่วมก๊วนกิน “จกโต๊ะเดียว” ได้ร่วมกันสมทุบทุนให้กับเด็กกำพร้าที่จังหวัดเชียงใหม่ สาธุ สาธุ สาธุ
[ประสบการณ์จกหมาด ๆ]
ถ้าจะให้สรุปความรวมของอาหารมื้อนี้ต้องบอกว่าเป็นมื้อที่ประทับใจมาก
- ความสดของวัตถุดิบโดยเฉพาะเนื้อปู ปลา กุ้ง ทำให้อาหารรสชาติดีมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว (10/10)
- รสชาติอาหาร จากฝีมือการผัด ทอด ต้ม นึ่ง ของเฮียจกที่ใส่เสน่ห์ปลายตะหลิวเข้าไปเลยทำให้อาหารจีนรสชาติดี ละม้ายคล้ายกับเป็นอาหารที่ทานกินอยู่ที่บ้านมากกว่าทานที่เหลา (9/10) คือถ้าเฮียตัดผงชูออกทุกเมนูผมจะให้ 10 เต็มเลย
- บรรยากาศร้าน ไม่ค่อยมี เพราะเป็นห้องแถวเล็กไร้การตกแต่ง แต่บรรยากาศการกินถือว่าสนุกสนานครื้นเครงมาก ขอบคุณเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ที่มีกินร่วมแบ่ง แย่งกันกิน จ้วก ตัก หยิบ ยก(เข้าปาก) อย่างต่อเนื่องจานแล้วจานเล่า ไม่เหลือซากให้ซึ่งต้องพิสูจน์หลักฐาน (9/10)
- ในเรื่องความคุ้มค่า หลายคนคงมองว่าแพง ผมก็ว่าแพงเมื่อเทียบกับมื้อธรรมดาทั่วไป แต่ถ้าเทียบกับคุณภาพอาหารและประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหน ผมคิดว่าราคาสมเหตุผลมาก (9/10)
- การบริการนั้นก็ดีใช้ได้เลย พนักงานเสิร์ฟคอยเติมน้ำให้ตลอด (สงสัยรู้ว่าผงชูรสเยอะ) อาเฮีย อาซ้อก็ให้ความเป็นกันเอง อันนี้ผมปลื้มครับ (9/10)
สำหรับร้านจกโต๊ะเดียว มันอาจเป็นอะไรที่ยากต่อการเข้าถึง โทรจองก็ยาก หาที่จอดรถก็ยาก แต่ถ้าตัดเรื่องหยุมหยิมออกไป ผมว่ามันเป็นเรื่องเล่าที่น่าจดจำดี
ไช้ชวนชิมคงบอกไม่ได้ว่าอาหารมื้อนี้สมควรเป็นอาหารจีนมื้อที่ดีที่สุดแล้วรึยัง เรื่องนี้ถือเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลแต่สามารถเลียนแบบได้
ผมเชื่ออยู่อย่างนึงว่ามื้อที่อร่อยที่สุด อาจไม่ใช่มื้อที่หรูที่สุด แพงที่สุด แต่อาจเป็นมื้อที่ทำให้คุณและคนข้างคุณกินเพลินจนลืมเวลา ขอให้เพื่อน ๆ ชาววงในมีความสุขกับการกินกับคนที่รู้ใจนะครับ
16 Likes0 Comment
