ช่วงเช้าขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อตรงไปสนามบินคันไซ เมืองโอซาก้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง เวลาท้องถิ่นที่โอซาก้าจะเร็วกว่าที่ไทยอยู่ 2 ชั่วโมงครับ ถึงนั่นก็บ่ายแก่ๆ เนื่องจากเป็นทริปการเดินทางท่องเที่ยวสั้นๆไม่เกิน 15 วัน ดังนั้นไม่ต้อง apply VISA ใดๆ ถือ Passport กับเอกสารรายละเอียดการเดินทางคือ Boarding Pass กับ เอกสารการจองโรงแรม (ปกติไปกับบริษัททัวร์เค้าจะอำนวยความสะดวกเตรียมให้เราครบถ้วนอยู่แล้ว)
ลงจากเครื่องปุ๊บ เข้าช่องตรวจออกมารับสัมภาระ แล้วนั่งรถจากสนามบินคันไซเข้าไปตัวเมืองโอซาก้าระยะทางประมาณ 30 กว่ากิโล (ประมาณเท่ากับสนามบินสุวรรณภูมิเข้าใจกลางกรุงเทพ) เพื่อนำสัมภาระไปไว้ที่โรงแรมที่พัก แล้วออกมาเดินช่วงหัวค่ำที่ย่านการค้าทันสมัยที่ชื่อ Shinsaibashi ที่ไม่เคยเงียบตลอดทั้งคืน
ตื่นแต่เช้าทานอาหารที่โรงแรม จัดสัมภาระแล้วเตรียมออกเดินทางจากโรงแรมที่พักในตัวเมืองโอซาก้าเพื่อไปเที่ยวชมปราสาทโอซาก้า Landmark ของเมืองนี้เลย ระหว่างทางก็ได้ถ่ายรูปบรรยากาศในตัวเมืองโอซาก้าตามด้านล่าง
ปราสาทโอซาก้า เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องแวะเลยเวลามาเที่ยวที่โอซาก้าครับ อยู่ใจกลางตัวเมืองโอซาก้าเลย ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่นเทียบเท่ากับปราสาทนาโกย่าและปราสาทคุมาโมโตะ
[ประวัติ:]
ที่นี่ถูกสร้างขึ้นในบริเวณวัดโอซาก้าฮอนกาจิเดิม แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าตัวปราสาทปัจจุบันนั้นไม่ใช่อาคารเก่าแก่ดั้งเดิมที่สร้างขึ้นโดยโทโยโทมิ ฮิเดะโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ในปี ค.ศ.1583 ช่วงสงครามรวมประเทศ เพราะตัวปราสาทหลังเดิมและหลายครั้งต่อมานั้นถูกทำลายลงอันเนื่องมาจากสงครามภายในประเทศหรือสงครามโลกและภัยธรรมชาติรวมถึงทรุดโทรมตามกาลเวลามาหลายครั้ง ปราสาทโอซาก้าหลักที่อยู่ตรงกลางที่เราเห็นกันปัจจุบันถูกสร้างขึ้นเสร็จในปี 1997 นี่เอง
[จุดท่องเที่ยวน่าสนใจภายในบริเวณ]
• สวนและบริเวณรอบๆตัวปราสาท [เข้าฟรี] ฝั่งซ้ายของตัวปราสาท (ทิศตะวันตก) คือ Nishinomaru Garden ฝั่งขวาของตัวปราสาท (ทิศตะวันออก) คือ Osakajo เป็นสวนดอกบ๊วย หรือต้นซากุระ ผมว่าถ้าให้เดินจริงๆพอเอาบรรยากาศและถ่ายรูป ประมาณ 1-2 ชั่วโมง
• Miraiza Osaka-Jo ตัวอาคารฝั่งขวามือด้านหน้าตัวปราสาท แต่เดิมเป็นศูนย์บัญชาการกองทัพสมัยสงคราม ตอนนี้เปลี่ยนเป็นอาคารประมาณขายของที่ระลึกและมีพวกร้านอาหาร คาเฟ่ ให้นั่งแวะทานด้านหน้าปราสาท
• ตัวปราสาทด้านใน [มีค่าเข้าชม] 8 ชั้น ถ้ามีเวลาหน่อยซักอีก 1-2 ชั่วโมง แนะนำว่าสามารถเดินเข้าไปเยี่ยมชมด้านในตัวปราสาทหลักที่อยู่ตรงกลางได้เค้าจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เชิงประวัติศาสตร์รวบรวมศิลปะ หลักฐาน เครื่องแต่งกายนักรบโบราณ เสียค่าเข้าผู้ใหญ่คนละ ¥600 เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าฟรี
ช่วงหน้าท่องเที่ยวของปราสาทโอซาก้านี้จะเป็นฤดูดอกซากุระบาน ปลายเดือน มี.ค. ถึง กลางเดือน เม.ย. ครับ
ศาลเจ้าเทพอินาริ (伏見稲荷大社, Fushimi Inari Taisha) คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักในชื่อ ศาลเจ้าแดง หรือ ศาลเจ้าจิ้งจอก เป็นศาลเจ้านิกายชินโต ที่เราเห็นตามนิทานหรือตำนานพื้นฐานของชาวญี่ปุ่นต่างๆ เกี่ยวกับเทพเจ้า มังกร สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เป็นศาลเจ้าที่ชาวนาสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 ร่วมมากกว่า 1000 ปีมาแล้ว เก่าแก่มากๆครับ เพื่อบูชาจิ้งจอกที่เป็นทูตส่งสารของเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ จริงๆแล้วศาลที่เรียกว่า Fushimi Inari ที่มีรูปปั้นจิ้งจอกมีกระจายอยู่ทั่วญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะเป็นศาลเล็กๆ แต่สำหรับที่ในเกียวโตนี้เป็นศาลใหญ่สุด เลยมีชื่อเรียกต่อท้ายว่า Taisha และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกว่า A Must เวลามาเกียวโต
# ทางเดินขึ้นเขาผ่านซุ้มโทริอิใช้เวลาเดินขึ้น-ลง แบบถึงยอดเขาจริงๆ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่จะขื้นไปถึงแค่เพียง 1 กิโลเมตรแรก ก็จะเป็นจุดชมวิวที่สามารถเห็นวิวของเมืองเกียวโตได้แล้วครับ ไม่จำเป็นต้องเดินขึ้นไปจนสุดยอดเขา
# มีทริคนิดนึงสำหรับมุมถ่ายรูปให้ได้มุมมองพิเศษคือ ด้านหลังเสาโทริอิแต่ละต้นจะมีสลักชื่อผู้บริจาคอยู่ ดังนั้นถ้าเราหันหลังให้ทางขึ้นเขา แล้วมองลงมาจะเห็นด้านหลังของเสาที่มีภาษาญี่ปุ่นสลักอยู่เรียงรายกันลงไป ถ้าถ่ายรูปมุมนี้ลงไปจะสวยและแปลกไปอีกแบบครับ
ที่ป่าไผ่นี้เป็นสถานที่เที่ยวและจุดแวะถ่ายรูปสุดฮิตหนึ่งของเกียวโตเลยครับ เห็นอยู่ในรูปภาพโปรโมทการท่องเที่ยวเกียวโตอยู่บ่อยๆ ดูสวยงามและเงียบสงบ จากต้นไผ่สูงสองข้างทาง
Arashiyama เป็นชื่อเขตที่ตั้งของป่าไผ่นี้ครับ อยู่ทางตะวันตกของเมืองเกียวโต จริงๆไม่ใช่ชื่อทางการ แต่ก็นักท่องเที่ยวเรียกติดปากจนเป็นชื่อแทนป่าไผ่นี้ไปแล้วครับ จริงๆรู้สึกจะชื่อ Sagano Bamboo Forest เป็นทางเดินป่าไผ่เลียบเชิงเขาที่อยู่ด้านหลังของวัดเท็นริวจิ (Tenryu-Ji Temple) ซึ่งวัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น UN World Heritage Site มีความสวยงามทางด้านสวนแบบ Zen กลางบึงน้ำขนาดใหญ่ (เสียค่าเข้าชม) แต่ในส่วนของป่าไผ่เข้าเดินชมฟรีครับ
ตอนที่ไปเหมือนสถานที่ยอดฮิตทั่วไป นักท่องเที่ยวเยอะมาก ทำให้หมดเสน่ห์ของที่นี่ไป ซึ่งจริงๆแล้วป่าไผ่เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับความเงียบสงบฟังเสียงลมพัดให้ใบไผ่ขัดกันได้อารมณ์แบบนั้นจะพิเศษมาก ดังนั้นสถานที่นี้ผมว่าจึงเหมาะสำหรับการเดินทางมาเที่ยวและสัมผัสบรรยากาศและถ่ายรูปในช่วงที่คนไม่เยอะ โดยเฉพาะช่วงที่แสงอาทิตย์ลอดผ่านลงมาตามช่องทางเดินป่าไผ่ 2 ข้าง
=====================
เดินเสร็จออกมาจากป่าไผ่ก็บ่ายแก่ๆแล้ว เตรียมตัวขึ้นรถเพื่อไปพักที่โรงแรมระหว่างทางที่จะข้ามไปเที่ยวชมเส้นทางธรรมชาติและหมู่บ้านมรดกโลกในวันรุ่งขึ้น (เริ่มข้ามเขตเข้าภูมิภาค Chubu)
ตื่นแต่เช้าอีกเช่นเคย กินข้าวชาร์จพลังแล้วนั่งรถเดินทางต่อไปยังไฮไลท์สำคัญของทริปนี้ครับคือ หมู่บ้านมรดกโลกหรือ Ogimachi Village หรือหลายคนเรียกติดปากว่า Shirakawa-Go
จริงๆแล้วชื่อ Shirakawa-Go เป็นชื่อเรียกของย่านนี้ที่เป็นพื้นที่ท่ามกลางหุบเขาสูงครับ แต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเรียกชื่อหมู่บ้านนี้ทับศัพท์แทนด้วยชื่อนี้ไปแล้ว ชื่อหมู่บ้านนี้แท้จริงแล้วคือ Ogimachi (荻町) เป็นชื่อหมู่บ้านที่มีพื้นที่กว้างสุดและเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของ Shirakawa-Go
## ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกหรือ UNESCO World Heritage Site ในปี 1995 ด้วยความที่ยังคงอนุรักษ์บ้านสไตล์ญี่ปุ่นแบบโบราณขนานแท้ และยังคงความสวยงามแบบดั้งเดิม (บางหลังมากกว่า 250 ปี) เรียงรายกว่าร้อยหลังท่ามกลางหุบเขา ที่เรียกว่า Gassho-zukuri หลังคาทรงสามเหลี่ยมสูงมีความชัน เพื่อใช้รองรับและเทหิมะที่ตกหนักในช่วงฤดูหนาวของที่นี่ครับ และรูปร่างหลังคานี้ที่เหมือนสองมือพนมจึงเรียกว่า “Gassho”
## ไฮไลท์ของการมาเที่ยวที่นี่ คือ Sight-seeing ครับ มาสัมผัสบรรยากาศของหมู่บ้านเงียบสงบใจกลางหุบเขา เยี่ยมชมบ้านฟาร์มรูปทรงสามเหลี่ยมอย่างที่บอกไปข้างบน ทางเดินโดยรอบหมู่บ้านสามารถเดินเข้าได้ฟรีเพื่อถ่ายรูป ยกเว้นบ้านบางหลังใหญ่ๆของตระกูลร่ำรวยดั้งเดิมของพื้นที่นี่ เค้าเปลี่ยนเป็น Public Museum จะมีค่าเข้าไปเยี่ยมชม คนละน่าจะ ¥300 อย่างเช่น บ้านหลังใหญ่ของตระกูล Wada Kanda และ Nagase
## ตอนเหนือของหมู่บ้านจะเป็นทางเดินขึ้นเขาเพื่อไปจุด Shiroyama Viewpoint (ใช้เวลาเดิน 10-15 นาที) ปิดในช่วงหน้าหนาวเพราะหิมะลงหนา วิวจากมุมนี้มองลงมาเห็นวิวหมู่บ้านเรียงราย เหมือนในรูปโปรโมทการท่องเที่ยวที่นี่ครับ (เค้าถ่ายจากตรงจุดนี้ครับ) หรือถ้าไม่สะดวกเดินเค้ามีบริการ Shuttle Bus ด้วย เสียเงินครับ น่าจะไม่เกินคนละ ¥200
Sanmachi-Suji เป็นเมืองที่คงภูมิทัศน์เก่าแบบดั้งเดิมไว้สมัยเอโดะ เคยใช้เป็นฉากในหนังด้วย อยู่ฝั่งตะวันออกของตัวเมือง Takayama อีกที ต้องข้ามแม่น้ำ Miyagawa ผ่านสะพานแดงสีโดดเด่นที่ชื่อ Namabashi ซึ่งตรงนี้เป็นจุดถ่ายรูปของนักท่องเที่ยวจุดหนึ่งเลย
## ในตัวเขตหมู่บ้านโบราณอารมณ์คล้ายถนนคนเดิน นักท่องเที่ยวพลุกพล่านใช้ได้ มีร้านขายพวกงานศิลปะต่างๆ ภาพวาดพู่กัน งานไม้แกะสลัก (ตะเกียบ) ร้านขายของฝากสินค้าท้องถิ่น (รู้สึกที่นี่จะมีโรงกลั่นสาเกท้องถิ่นอยู่) รวมถึงวัดและศาลเจ้า ซึ่งก็มีตั้งตลาดนัดด้วยเป็นแผงด้วยคล้ายๆบ้านเรา
## อาหารขึ้นชื่อของที่นี่คือเนื้อวากิวฮิดะ พันธุ์ขนดำ ซึ่งมีความนุ่มเป็นพิเศษ รอบๆทั้งในฝั่งตัวเมืองเองหรือฝั่งหมู่บ้านโบราณก็มีขายหลายร้านแต่ต่างเมนูกัน เช่น ซูชิหน้าเนื้อดิบ เนื้อย่างบนใบโฮบะ ด้ง เนื้อย่างเตาถ่าน ซาลาเปาไส้เนื้อ เนื้อย่างเสียบไม้ (ตัวอย่างร้านด้านล่างถัดไป) รวมถึง ร้านกาแฟ ร้านขายเต้าหู้ รวมถึงขนมเซมเบ้กับดังโงะ
ร้านนี้เค้าขายจะเป็น โคร็อกเกะไส้เนื้อฮิดะ (ชิ้นละ ¥200) กับ Kushi Yaki หรือเนื้อฮิดะเสียบไม้ย่าง ราคามี 3 แบบ คือ ¥300 (สันในไม่ติดมัน) ¥500 ¥800 ไหนๆมาเลือกเป็นตัวท็อปเลย 800 เยน (แปลงเป็นไทย ไม้นึงประมาณ 200 บาทนิดๆ) จะเป็น Rosu หรือส่วนสันนอกติดมัน ลายหินอ่อน เค้าเขียนตรงตู้ว่า 1 ไม้ 20 g
วิธีการซื้อ คือ เราต้องเดินไปจ่ายเงินที่ตู้ออกตั๋วเพื่อนำไปให้คนที่เตาเค้าปิ้งให้ตามออเดอร์ครับ เห็นที่ตู้กดมีเมนูอื่นด้วยนอกเหนือจากเนื้อเสียบไม้ย่าง เช่น ไอศกรีมซอฟท์ครีม เบียร์ เครื่องดื่ม
=====================
เดินเสร็จจากที่นี่ เตรียมตัวขึ้นรถเพื่อเดินทางข้ามไปยังอีกจังหวัดหนึ่งคือ Nagano ระหว่างทางเป็นเส้นทางธรรมชาติบนเขาเหมือนตอนขามาช่วงเช้าครับ
ใช้เวลาเดินทางจากเมือง Takayama ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ถึงเมือง Matsumoto แวะเดินเยี่ยมชมบริเวณตัวปราสาทที่ได้รับยกย่องเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง เป็น 1 ใน 12 ปราสาทดั้งเดิมของญี่ปุ่นด้วย ตัวปราสาทตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองนี้เลย ซึ่งเมืองนี้อารมณ์จะออกคล้ายๆกับเมืองก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เมืองหลักศูนย์กลางเศรษฐกิจ บ้านเรือนรอบๆมีย่านที่ออกแนวย้อนยุคหน่อย
บางคนเรียกว่า “ปราสาทอีกา” เพราะตัวปราสาทนั้นมีสีดำและมีลักษณะของตัวปราสาทที่เหมือนกับปีกนกที่กางออก เราสามารถเดินชมรอบๆปราสาทซึ่งเป็นสวนกว้างๆ และมีคูน้ำล้อมรอบได้โดยไม่ต้องเสียค่าเข้าชมด้านใน (ค่าเข้าบริเวณด้านในปราสาท เป็นพิพิธภัณฑ์ คล้ายปราสาทเก่าแก่อื่นๆของญี่ปุ่น ผู้ใหญ่ ¥610 เด็ก ¥300)
=====================
เดินเสร็จจากที่นี่ เตรียมตัวขึ้นรถเพื่อเดินทางเข้าไปยังโรงแรมที่พักคืนนี้ซึ่งอยู่บนเขา พิเศษมื้อเย็นวันนี้เป็นบุฟเฟ่ต์ขาปูตามรูปล่าง
เป้าหมายของวันนี้ทั้งวันคือไปเยี่ยมชมฟูจิซัง หรือ Mt.Fuji ที่บริเวณทะเลสาบคาวากุจิ เยี่ยมชมอุโมงค์ใบเมเปิ้ล (เฉพาะช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี) และขึ้นกระเช้าไปยอดเขาเท็นโจช่วงบ่ายเพื่อชมยอดฟูจิซัง ต้องลุ้นว่าจะมีหมอกบังไหมครับ
ทะเลสาบคาวากุจิ (河口湖 Kawaguchi-ko) เป็นทะเลสาบที่กว้างใหญ่อันดับ 2 ในบรรดาทะเสสาบทั้ง 5 ที่อยู่รอบภูเขาไฟฟูจิ สัญลักษณ์ของญี่ปุ่นรวมถึงได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ภายในอุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกเนอิซุ
## เป็นสถานที่สวยติดอันดับในการถ่ายภาพวิวภูเขาไฟฟูจิ ที่นี่ยังเป็นเหมือนเมืองสำหรับการพักผ่อน สะดวกในการเดินทางมาท่องเที่ยวเพราะมีถนนและโครงข่ายรถไฟหรือรถบัสเข้าถึงตัวทะเลสาบได้ง่ายที่สุด มีทั้งโรงแรม เรียวคัง ออนเซน (พื้นที่บริเวณชายฝั่งทิศตะวันออกของทะเลสาบ) ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้ บริเวณโดยรอบทะเลสาบสามารถนั่งรถบัสท้องถิ่นหรือ Retro Bus มี 2 สาย (เริ่มต้นสายที่สถานี Kawaguchiko) หรือปั่นจักรยานเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบได้
<< ช่วงที่ไป ต้นเดือน พ.ย. ช่วงฤดูใบไม้เปลี่นสี >>
ความสวยงามรอบทะเลสาบนี้เปลี่ยนไปตามช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวด้วยครับ ถ้าอยากดูดอกซากุระบานมองฉากหลังเป็นทะเลสาบและ Mt.Fuji ให้ไปช่วงต้น เม.ย.อย่างที่บอกไปครับ ถ้าอยากได้ฟิลลิ่งแบบสีสันสดใสแดงส้มเหลือง ให้ไปช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เหมือนที่ไปในทริปนี้ครับ ไฮไลท์ของช่วงต้น พ.ย.จะอยู่ที่จุดท่องเที่ยวที่ชื่อ อุโมงค์ใบไม้แดง หรือ Maple Corridor ที่อยู่ทางฝั่งเหนือของทะเลสาบคาวากุจิโกะ
มาถึงที่ทะเลสาบนี้ก็ควรหาโอกาสแวะขึ้นมาชมวิวแบบพาโนรามารอบทะเลสาบมีฟูจิซังอยู่เป็นฉากหลังบนยอดเขาเท็นโจ สูงประมาณ 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โดยใช้กระเช้าลอยฟ้าเดินทางขึ้นมาครับ หรือ Ropeway นั่นเอง แต่เดิมชื่อสถานีกระเช้านี้ชื่อ Kachi Kachi Ropeway เมื่อไม่นานนี้เอง ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชื่อ Mt.Fuji Panoramic Ropeway
Mt.Fuji Panoramic Ropeway ระยะทาง 400 เมตร เชื่อมต่อชายฝั่งตะวันออกของทะเลสาบคาวากูจิ กับดาดฟ้าชมวิวใกล้ยอดภูเขาเท็นโจ มาถึงซื้อตั๋วที่ด้านล่างของสถานีตรงเชิงเขาครับ ราคาล่าสุดตอนที่ไป (พ.ย.61)
• ผู้ใหญ่ Round trip (ขึ้น-ลง) ¥800 One way (ขึ้นอย่างเดียว) ¥450
• เด็ก (7-12 ปี) Round trip (ขึ้น-ลง) ¥400 One way (ขึ้นอย่างเดียว) ¥230
• เด็ก ต่ำกว่า 6 ปี ฟรี
• กรุ๊ปทัวร์ (ตั้งแต่ 15 คนขึ้นไป) มีอีกเรทราคาหนึ่ง รู้สึกว่าเค้าจะมีป้ายสำหรับจุดซื้อโดยเฉพาะและมีภาษาไทยด้วย (นทท.ไทย คงไปกันเยอะ)
## สำหรับคนที่ชอบท้าทายหรือ Hiking สามารถเลือกซื้อตั๋วแบบขาเดียวขาขึ้นหรือจะไม่ซื้อเลยก็ได้ครับ ถ้าเดินลงเขาเองชมวิว ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ได้เหงื่อดีพอประมาณ
อีกไฮไลท์ด้านบนยอดเขา คือ The Bell of Tenjo ซึ่งมีความเชื่อว่า ถ้ามองภูเขาไฟฟูจิผ่านกรอบรูปหัวใจแล้วสั่นกระดิ่ง คำอธิษฐานจะเป็นจริง นอกเหนือจากกระดิ่งแห่งเท็นโจแล้ว บนนี้ยังมีศาลเจ้าขนาดเล็กๆอยู่ด้วยแห่งหนึ่ง
ตอนที่ไปจังหวะไม่ค่อยดีเหมือนตอนอยู่ที่ด้านล่างรอบทะเลสาบ คือมีเมฆหมอกบังยอดภูเขาไฟฟูจิพอดี เลยเก็บภาพสวยๆไม่ได้ แต่ถือว่าขึ้นไปเก็บบรรยากาศรอบๆบนยอดเขาแล้วกันครับ
พอลงมาด้านล่างก็จะมีจุดที่นักท่องเที่ยวแวะกันเยอะเหมือนกัน คือ ร้านขายขนมของฝากตรงเชิงเขาด้านล่าง คือ Fujiyama Cookie หรือคุกกี้รูปภูเขาไฟฟูจิ
====================
เสร็จจากที่นี่นั่งรถต่อเข้าไปที่ Tokyo เพื่อไปเดินย่านชินจูกุช่วงเย็น
ย่านชินจูกุคุ้นหูนักท่องเที่ยวไทยอยู่แล้วครับ ถ้ามาโตเกียวก็ต้องมีโอกาสแวะผ่านมาเดินซักครั้ง Shinjuku เป็นเขตศูนย์กลางทั้งในด้านการปกครอง (อาคารศาลาว่าการกรุงโตเกียว – หอชมวิว) ด้านการท่องเที่ยวและด้านวัฒนธรรมของกรุงโตเกียว
แบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งตะวันตก (ส่วนใหญ่เป็นศูนย์ราชการกับอาคารสูง โรงแรมหรู) กับ ฝั่งตะวันออก (แหล่งชอปปิ้ง ศูนย์การค้า ร้านอาหาร) มี JR Shinjuku Station สถานีรถไฟหลักอยู่ตรงกลาง ทางฝั่งตะวันออกจะมีย่านการค้าที่สำคัญคือ Kabukicho เป็นแหล่งบันเทิงยามราตรีที่ใหญ่สุดของญี่ปุ่น ที่ย่านนี้เต็มไปด้วยร้านอาหาร ไนท์คลับ บาร์ โฮสคลับ ร้านปาจิงโกะ ร้านคาราโอเกะ โรงแรม โรงภาพยนตร์ รวมทั้งร้านขายสินค้าลดราคา ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น ร้านเครื่องไฟฟ้า ร้านค้าในย่านนี้เปิดตั้งแต่ช่วงกลางวันประมาณ 10:00 น. ส่วนในกลางคืนจะเริ่มคึกคักหลัง 18:00 น. สีสันแสงไฟคล้ายๆกับย่าน Shinsaibashi ที่ Osaka ได้ไปวันแรก
## ไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวไปเดินดูบรรยากาศและเก็บภาพคือถนนเส้น Central Road (ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นเค้าโปรโมทและเรียกชื่อถนนสายนี้ว่า Godzilla Road หรือถนนสายก๊อตซิลล่า) ที่มองตรงออกไปจะเห็นมีหัวก๊อตซิลล่าโผล่อยู่บนตึก ตึกนั้นเป็นโรงหนังครับ และมีตึกโรงแรม Hotel Gracery Shinjuku อยู่ด้านหลัง
## ร้านขายของลดราคาชื่อดัง Don Quijote เพกวินน้อย เรียกสั้นๆว่า ร้านดองกี้ ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว สาขาในย่านนี้ชื่อ Shinjuku Higashiguchi Honten ซึ่งเป็นสาขาหลักที่เปิดให้บริการตลอดทั้งวัน มีสินค้าลดราคาให้เลือกสารพัด ตั้งแต่ ของกินของใช้ เครื่องสำอาง เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้ารองเท้า เป็นต้น ตอนนี้ดองกี้ก็มาเปิดในไทยแล้วด้วยครับ
## กิจกรรมที่น่าสนใจของย่านนี้อันหนึ่งคือ Robot Show แสงสีเสียงจัดเต็มที่ร้าน Robot Restaurant
===============
เดินช็อปเสร็จก็หาไรทานช่วงเย็นในย่านชินจูกุนี่แหละครับ ผ่านร้านนี้น่าสนใจเลยเข้าครับ
NEGISHI เป็นร้านขายพวกเนื้อย่างแบบเป็นเซทประกอบด้วยข้าวสวยกับเครื่องเคียงต่างๆ ราคาประหยัดสำหรับคนญี่ปุ่น ราคาเริ่มต้นเซทละ ¥1000 มีสาขามากมายรอบๆในโตเกียว (Shibuya, Shinjuku, Ueno, Kanda, Harajuku, Nakano) และรอบๆอย่าง Yokohama
สาขาที่มาลองอยู่ในย่าน Shinjuku ฝั่ง East ริมถนน Yasukuni Dori ต้นซอยเดียวกันกับร้าน Robot Restaurant ที่มีโชว์หุ่นยนต์ ร้านอยู่บนชั้น 2 ของตึกที่รวมหลายๆร้านอาหารอีกทีหนึ่ง หรือสังเกตชื่อร้านเขียนอย่างนี้ครับเป็นภาษาญี่ปุ่นตัวใหญ่ๆ “ねぎし”
ร้านนี้เค้าเด่นที่เมนู Gyutan หรือลิ้นวัวย่างครับ จะมี 2 แบบ (ต่างกันตรงการและการหมักซอส) คือ Akatan (แล่บางหน่อย เนื้อออกเหนียวๆต้องมีเคี้ยว รสอ่อนๆ) กับ Shirotan (นุ่มกว่าและมีรสชาติกว่า มีทั้งแบบแล่บางและแล่หนา ราคาเลยแพงกว่าแบบแรก) มีทั้งขายเป็นเซทแบบ Shirotan เดี่ยวๆ หรือ combination กับ Akatan หรือเนื้ออย่างอื่น ถ้ามีลิ้นวัวราคาเริ่มต้น ¥1400 ต่อเซท
ในเซทจะมี ข้าวสวย ซุปหางวัวใสๆ ผักดอง สลัดผัก และที่เป็นตัวเด่นของร้านนี้คือ Tororo แยกใส่ถ้วยมาให้ หน้าตาเหมือนแยมข้นๆเหนียวๆสีเหลืองอ่อนๆ มันคือ Yamato Yam มันคล้ายๆมันมือเสือบ้านเราเอาไปบดกวนให้ออกมาเป็นแยมเหนียวๆครับ ไว้แกล้มกับเนื้อย่าง
ปกติไม่ทานลิ้นวัวครับ เลยสั่งมาเป็นชุดเนื้อหมูกับเนื้อวัว 2 set ต่างกัน คือ
• Triple Set Meal (¥1000) จานหลักจะเป็น Beef Loin + Pork Loin + Spicy Pork อย่างละ 1-2 ชิ้น
• Blacky Set Meal ((¥1400) จานหลักจะเป็น เนื้อวัวติดมันหน่อย 5 ชิ้น
มีเซทนึงสั่งเพิ่มเป็นซุปข้นสตูว์เนื้อวัว (เพิ่มอีก ¥400)
===============
กลับโรงแรมที่พักเพื่อเติมพลังเที่ยววันสุดท้ายในวันรุ่งขึ้นก่อนกลับเมืองไทย
ออกเดินทางจากโรงแรมในโตเกียวเพื่อไปแวะสักการะที่วัดนาริตะซัน ชินโชจิ ใกล้สนามบินนาริตะก่อนบินกลับไทยครับ
วัดศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่กว่า 1000 ปี สัญลักษณ์เมืองนาริตะ นักท่องเที่ยวนิยมมาก่อนขึ้นเครื่องเพราะใกล้สนามบิน อยู่ในจังหวัดชิบะ
## พอถึงประตูเข้าบริเวณวัดชั้นแรกเดินเข้าไปจะมีกระบวยที่ให้ล้างมือ บ้วนปาก เพื่อความบริสุทธิ์ เป็นธรรมเนียมของการมาวัดหรือศาลเจ้าที่ญี่ปุ่นครับ หลังจากนั้นเดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าประตูส่วนที่เป็นตัววัด ตรงนี้จะมีโคมแดงขนาดใหญ่เด่นอยู่ตรงประตูทางเข้า ประตูไม้มีการสลักลายสวยงาม
## พอเข้ามาในบริเวณลานวัดตรงกลาง จะมีอาคารเด่นอยู่ 2 อย่างที่นักท่องเที่ยวจะเก็บรูปกลับไป นั่นคือ ตัวโถงหลักหรือวิหารหลักของวัด และเจดีย์แดง 3 ชั้น ซึ่งทั้งสองไม่ใช่ตัวอาคารดั้งเดิมตั้งแต่ 1000 ปีกว่าที่แล้ว มีการบูรณะสร้างใหม่หลายครั้งจนดูใหม่เหมือนในปัจจุบันครับ
บริเวณวัดเป็นพื้นที่กว้าง ประกอบด้วยอาคารต่างๆ เช่น วิหารหลักซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของ Dainichi Nyorai (พระไวโรจนพุทธะ) ด้านในของวิหารก็จะมีห้องโถงซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าเอาไว้ทำพิธีทางศาสนา และส่วนด้านหน้าของห้องโถงก็จะมีที่ให้ขอพรโดยการโยนเหรียญ 5 Yen กันตามความเชื่อ นอกจากนั้นก็จะมีเซียมซีและเครื่องรางต่างๆจำหน่ายอีกด้วย และวิหารอื่นๆเช่น Komyodo วิหารอายุเกินสามร้อยปีคนนิยมอธิษฐานให้สมหวังเรื่องความรัก วิหาร Shakado ที่คนมักมาอวยพรให้โชคดีแคล้วคลาดปลอดภัย หรือศาลเล็กๆ ทางซ้ายของวิหารหลัก ที่เป็นที่ตั้งของเทพ Shusse-inari ที่ดูแลเรื่องความก้าวหน้าทางการงาน
ออกมาจากตัววิหารหลักจะมีสวนแบบญี่ปุ่นด้านข้างและด้านหลัง ตามทางเดินที่จะออกจากตัวบริเวณวัดครับ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจด้วย ตอนที่ไปเค้ามีจัดงานประมาณประกวดไม้ดอกพอดี มีการแสดงดอกไม้รวมถึงประกวดต้นบอนไซด้วยตามรูป ตรงทางออกของวัดจะมีพวกซุ้มให้บริการดูดวงขอพรต่างๆด้วย อารมณ์ไม่ต่างกับวัดใหญ่ๆที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของบ้านเราเลยครับ
มื้อก่อนขึ้นเครื่องกลับไทยครับ ชั้น 1 AEON Mall Narita เข้าประตูฝั่งเดียวกับ Starbucks สาขาที่มอลล์นี้ ร้านนี้จะอยู่ฝั่งหัวมุมด้านในสุดติดกับทางออกลานจอดรถ
ร้านนี้เด่นที่เมนูข้าวในถังไม้เสิร์ฟแบบ #Ohitsugohan นั่นคือมีวิธีการทานได้ 3 แบบตามลำดับคือ
1. กินข้าวหน้าตามเมนูที่สั่งแบบปกติ
2. โรยเครื่องปรุงที่แยกใส่ถ้วยเล็กๆไว้ 3 อย่างลงไปบนข้าวแล้วกินแบบปกติต่อ
3. ก่อนข้าวจะหมดถัง โรยเครื่องปรุงต่างๆให้หมดแล้วเทน้ำซุปดาชิที่เสิร์ฟมาในกาลงไปแล้วคลุกให้ทั่ว ทานเป็นแบบข้าวต้มทรงเครื่อง อร่อยอีกแบบ
ร้านนี้แนะนำร้านหนึ่ง ถ้ายังอยากกินอาหารญี่ปุ่นก่อนลาขึ้นเครื่องกลับบ้านและอยากนั่งสบายๆหน่อยหรือไม่อยากทานในฟู้ดคอร์ทของมอลล์ ขายเป็นเซทราคาไม่แพง เซทนึงช่วงราคาประมาณ ¥1,100 – ¥1,900 รสชาติผ่านครับ บริการตอนที่ไปถือว่าโอเค พนักงานพอสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เมนูมีภาษาอังกฤษครับ
=================
บินกลับถึงไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ