การเดินทางภายในเมืองไม่ได้ยากลำบากหากเราไม่ได้เช่ารถ เราสามารถซื้อตั๋วรถรางได้ที่สถานีรถไฟราคา 500 Yen เป็นแบบ 1 day pass แต่ถ้าเราไม่ต้องการซื้อแบบเหมาก็จ่ายเป็นรอบๆแทนได้
ตอนที่เราซื้อตั๋วเขาจะให้แผนที่เส้นทางทางการเดินรถ ซึ่งจะบอกสถานที่เที่ยวสำคัญๆ
วันแรกของการเดินทาง เราคิดว่าควรไปทำบุญกันก่อน ตามความเชื่อ ความงมงายส่วนตัวของเราเอง 555+ เลยได้วางแผนเดินทางไปที่ Suwa Shrine เพื่อทำบุญ นั่งรถไปลงป้าย 39 พอถึงแล้วจะเจอป้ายบอกทาง เดินตามได้เลยจร้า
ก่อนจะถึงเราต้องเดินขึ้นบันไดมาสักพัก เพราะว่า Suwa Shrine อยู่บนเขา แต่ไม่ไกลเลย เดินสบายๆ พอขึ้นมาถึงแล้วมองย้อนกลับไปจะเห็นวิวเมือง
หลังจากที่เราทำบุญขอพรเรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่เราไม่ใช่คนงมงายอะไร เราเลยขอแวะร้านเครื่องรางสักแปบนึง ไปดูๆเท่านั้นเอง แต่ซื้อมาแบบไม่รู้ตัว
จุดขายเครื่งรางจะอยู่ซ้ายมือ เมื่อหันหน้าเข้า
เราต้อง Move on จากร้านเครื่องราง ไปเดินเล่นบริเวณศาลเจ้ากันเถอะ
ที่จริงศาลเจ้าแห่งนี้ใหญ่เหมือนกัน และมีความสวยงาม วันที่เราไปมีคนมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งด้วยหละ
ภายในศาลเจ้าเราก็เจอกับร้านขายกาแฟร้านนึงจึงเดินเข้าไป ทางร้านมีไอติมขายด้วย เราเลยสั่งไอติมมา 4 โคน
อย่างที่เห็นแหละจ๊ะ เยอะมาก กินทีคืออิ่มไปนานพลาดมากที่สั่งมาเยอะ แต่ความอร่อยคืออร่อยจริงๆเรื่องนี้ยอมรับเลย
สวนสันติภาพนางาซากิ(Nagasaki Peace Park) สวนแห่งนี้จัดสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ชื่อว่า Fat man การเดินทางมาไม่ยาก ขึ้นรถรางเหมือนเคย มาลงที่สถานี 19 MATSUYAMA-MACHI เมื่อไปถึงเราจะงงๆหน่อยมองไม่เห็นอะไร ต้องเดินขึ้นบันไดไปก่อน แล้วจะพบกับน้ำพุ
จากนั้นพอผ่านน้ำพุมาได้เราก็จะพบกับไฮไลท์ของสถานที่แห่งนี้
ที่นี่เราจะเจอรูปปั้นเยอะมาก ใครสายถ่ายรูปก็คิอว่าเหมาะอยู่นะ เป็นสถานที่ ที่เราเจอคนไทยหลายกรุ๊ปเลยทีเดียว
นอกจากนี้ที่สถานี 19 ยังมีที่เที่ยวให้เดินเล่นอีกหลายที่ เช่น Urakami Cathedral, Atomic Bomb Hypocenter, Nagasaki Atomic Bomb Museum และ Nagasaki National Peace Memorial Hall for the Atomic Bomb Victims
บอกตรงๆว่าก่อนมาที่นี่ Glover Garden เป็นที่ที่เราอยากเข้ามากสุด ตอนที่หาข้อมูลเขาบอกมีดอกไม้ตลอดปี แต่พอเราไปถึง อย่างแห้ง แหะๆ
สิ่งที่ได้รับจากการซื้อตั๋วคือ แผนที่ เราอยากไปที่ไหนก็เปิดแล้วเดินตามเลยจร้า
บรรยายกาศด้านในจะแอบคล้ายพิพิธภัณฑ์ มีบ้านให้เราเข้าไปเดินชม
นี่แหละเธอ... ที่เราบอกว่ามันแห้งมาก ถ้าไปช่วงธันวาคมจะเจอแบบนี้เลย
แนะนำว่าไปช่วงที่ดอกไม้บานคงจะสวยมากเลยหละ
ได้เวลาไปต่อแล้วระหว่างเดินกลับเราก็เจอกับร้านหนึ่งคนต่อแถวยาวมาก
เขาขายพุดดิ้งแหละเธอ ชื่อว่าร้าน MINAMI YAMATE PUDDING
ตอนแรกก็ไม่ได้รู้หรอกว่ามันอร่อย เห็นแถวยาวก็ต่อตามเขา แต่พอกินเข้าไป เออมันดีอะ เอาเป็นว่าใครไปเจอก็แวะชิมนะ
เธอจะพบเจอสิ่งนี้ได้ทั่วไปมีเยอะมาก เยอะจนต้องชิมสักหน่อยแล้ว
อารมณ์มันเหมือนซาลาเปาไส้หมูอะ แต่หมุคือเป็นชิ้นๆเลย
บอกตรงๆว่าสถาที่นี้ ไม่ได้อยู่ในแพลนแต่อย่างใด แต่ด้วยความหิวเราก็หาร้านอาหาร เลยได้มาที่ Hamanomachi Shopping Street แบบงงๆ แต่บอกได้เลยว่า ที่นี่คึกคักมาก ของกินเยอะดี ใครมาก็แนะนำให้มาเดินเล่นนะ
ตรอกนี้คือดี ของเยอะ ความครึกครื้นดีกว่า China Town มาก
และนี่คือร้านที่เราจะมากินกันวันนี้ Ringer Hut
ความพีคคือเมนูเป็นภาษาไทยจร้า พร้อมมากบอกเลย
อาหารก็ดีนะเธอ น่ากินทุกอย่างเลยนะ ใครแวะมาก็มาชิมได้
ทำไมต้องมาพักที่ "APA Hotel Nagasaki Ekimae" เหตุผลมีดังนี้
1. อยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟ Nagasaki
2. ราคาไม่แรง เราจองไป 3 ห้องนอนสำหรับ 5 คน ราคาอยู่ที่ 5,543 บาท ได้ราคาเบาๆในวันที่ใกล้ปีใหม่ (28-29 ธันวาคม)
3. มีอาหารเช้า ราคาที่เราจองไปไม่มี แต่เราไปซื้อเพิ่มเอา แต่งงตรงที่ว่า เขาไม่คิดเงินเพิ่ม เราก็ถามเขาย้ำๆหลายครั้งเลยนะว่าเราทานอาหารเช้าไปด้วย ไม่คิดเพิ่มหรอ เขาบอกไม่มีค่าใช้จ่าย หรือเราคุยกันไม่รู้เรื่องนะ
บรรยากาศภายในห้องนอน มันจะแคบๆหน่อยตามประสาห้องพักญี่ปุ่น แต่อุปกรณ์ก็ครบเด้อ ว่าปายยย...
เวลาจองห้องที่ญี่ปุ่นจะรู้สึกชอบอยู่อย่างนึงคือ ห้องจะเล็กจะแคบแค่ไหน ห้องน้ำจะมีอ่างอาบน้ำเสมอ ดี๊ดี
ใครลืมชุดนอนก็ไม่ต้องกังวล เพราะเขามีชุดให้ด้วยนะ
ที่ Nagasaki ยังมีที่เที่ยวอีกเยอะเลยที่เรายังไม่ได้ไป ยังมีสวนสนุกด้วย ว่าแล้วก็อยากไปเที่ยวอีกแล้ว ยังไงก็ขอฝาก Part.02 Yufuin มันฟินจริงๆนะ จะมาในเร็วๆนี้
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ