DAY 1
เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ครั้งนี้เราได้รับการสนับสนุนการเช่าจากบริษัท ไทยอินเตอร์เนชั่นแนล เรนท์ อะ คาร์ จำกัด ภายใต้แบรนด์ เอวิส เรนท์ อะ คาร์ (AVIS) ซึ่งมีสาขาบริการ รวมกว่า 29 สาขา สามารถสำรองรถเช่าล่วงหน้าได้ที่ www.avisthailand.com
จากกรุงเทพฯ ถึงกาญจนบุรี ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงครึ่งก็ถึง จุดเริ่มเดินที่วัดพุไม้แดง ครั้งนี้เราตั้งใจไปสำรวจหุบเขาที่ยังไม่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว เราสามารถติดต่อคนนำทางหรือพรานได้ที่ทางเทศบาลตำบลลุ่มสุ่ม
เริ่มเดินจากหลังวัดพุไม้แดง ป่านี้ไม่มีลูกหาบ ด้านบนไม่มีแหล่งน้ำ แต่ก็ยังมีหญ้าเขียวๆพอให้เพลินใจ
ระยะทางเดินเท้าประมาณ 8-9 กิโลเมตร ไปกลับราวๆ 16 กิโลเมตร ทางเดินส่วนใหญ่เป็นป่าไผ่ บางจุดต้องปีนป่ายข้ามหินตะปุ่มตะป่ำเกือบทั่วบริเวณและค่อนข้างคม ควรเตรียมพร้อมให้ดี แนะนำว่าควรพกถุงมือ ต้องยอมรับเลยว่าเป็นป่าที่เหนื่อยเอาเรื่อง นอกจากสัมภาระส่วนตัวแล้ว ยังมีเชือก อุปกรณ์โรยตัว อีกที่เพิ่มเข้ามา เมื่อเดินมาถึงจุดกางเต้นท์ ก็ตั้งแคมป์ไว้ก่อน แล้วค่อยเดินไปสำรวจหลุมยุบ
ตลอดทางเดิน ก่อนถึงปากหลุมยุบ มีต้นไผ่เล็กๆขึ้นเต็มสองทางเดินเหมือนปูไปด้วยพรมสีเขียวขจีสวยมาก ปากปล่องหลุมยุบมีลักษณะเป็นเขาหินปูน ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยไม้พุ่มแคระ หรือไม้ยืนต้นบางชนิดเท่านั้น เช่น จันทร์ผา ปรงเขา สลัดได ไทร หญ้า เฟิร์น ฯลฯ
เมื่อถึงปากหลุม ถึงกับต้องร้องว้าว ให้กับความอลังการของปากหลุมยุบขนาดใหญ่ มันหย่ายยยยมากค่ะ เราทำการบินโดรนสำรวจรอบๆ ปากหลุมทันที แต่ก็ต้องตะลึงอีกครั้ง เมื่อพบว่ามีอีกหลุมอยู่ติดกันซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า พวกเราไม่รอช้ารีบพุ่งไปอีกหลุมทันที
เมื่อมองลงไปด้านล่างเท่าที่เห็นมี ต้นปรง ต้นไทร ต้นกล้วยต้นตาลขนาดสูง และพืชพันธุ์หน้าตาแปลกๆ ดูลึกลับน่าค้นหา หนาแน่นเต็มหลุม ป่าด้านล่างมีความสมบูรณ์อยู่มาก เนื่องจากที่นี่ยังไม่เคยมีใครลงไปสำรวจมาก่อนทำให้เราไม่รู้ว่าข้างล่างมีอะไรบ้าง แต่ดูลึกลับมาก เหมือนหลุดมาอีกโลกหนึ่งจนไม่น่าเชื่อว่าที่นี่คือ กาญจนบุรี
ตอนแรกเราทำการลองทดสอบการโยนหินก้อนใหญ่ลงไปด้านล่างจับเวลาได้ 8 วินาที หินร่วงถึงพื้น ซึ่งตอนนั้นคิดแล้วว่าหลุมนี้ลึกมากกว่า 100 เมตรแน่นอน พวกเราไม่รอช้า ทำการเคลียพื้นที่ เซ็ทเชือก 200 เมตร ลงสำรวจหลุมทันที แต่ด้วยความที่ยังไม่มีใครเคยลงไปสำรวจหลุมนี้มาก่อน ฉะนั้นเราจะต้องรอบคอบและให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด
เมื่อลงมาได้ 20 เมตรแรกเป็นการโรยตัวผ่านกอไผ่หนามและผาหินลาดเอียง 80 องศา ตลอดระยะทางลง80 เมตรต้องตัดผ่านดงหนามไม้เลื้อยที่ขึ้นพันกันหนาแน่นใช้เวลาตัดช่องเพื่อโรยตัวผ่านให้ได้ ใช้เวลานานนับชั่วโมงต้นไม้หนามเหล่านี้ผ่านกาลเวลาเติบโตหลายร้อยปี มีตั้งแต่ขนาดนิ้วก้อยรูปร่างลำต้นเป็นแบบไม้หนามทั่วไป จนถึงขนาดลำแขนผู้ใหญ่ ยากต่อการตัดช่องผ่านได้ มีบางช่วงระยะ 40 เมตร เป็นหน้าผาหินตัดตรง ผาหินนั้นเป็นรูป ผลมะเฟือง แหลมคมมาก ต้องระมัดระวังในการหลบไม่ให้เชือกถูกความคมราวกับใบมีดโกนของหินมะเฟือง เมื่อผ่านมาได้แล้ว
40 เมตรสุดท้ายก่อนถึงพื้นมีต้นไทรใหญ่ พอยืนพักให้หายเหนื่อยได้ เมื่อเลยต้นไทรใหญ่ลงมาเป็นผาตัดคล้ายโถงถ้ำตื้นๆ เราโรยตัวลงเหมือนลอยอยู่ในอากาศ เพราะมีเชือกอย่างเดียวที่ยึดตัวเราไว้บรรยากาศรอบข้างค่อยๆ มืดลงตามความลึกของหลุมยุบ อากาศเย็นสบายเป็นเพราะได้ร่มไม้โบราณสูงใหญ่ ลำต้นมีแต่เฟิร์นและกล้วยไม้เกาะกันแน่นจนไม่เห็นเปลือกไม้ คล้ายต้นไม้ห่มผ้าสีเขียว ก่อนเราจะถึงพื้นระยะ 20 เมตร สุดท้าย มีใบปาล์มขนาดใหญ่บดบังทางลง เราต้องแหวกใบปาล์ม ก่อนจะสัมผัสพื้นดินหลุมยุบ พื้นที่หลงสำรวจ ซึ่งคาดว่ายังไม่เคยมีสิ่งมีชีวิต ได้ลงมา ณ ที่แห่งนี้ ทำการเดินสำรวจรอบๆด้านล่าง ไม่มีรอยเท้าสัตว์ใดๆ เลย บรรยากาศโดยรอบเหมือนหลุดเข้าไปในหนัง จูราสสิคพาร์ค บรรยากาศรอบข้างเงียบงันชวนขนลุก
แต่หลุมยุบเขาพุไม้แดงหลุมที่ 2 นี้ วัดจากความยาวเชือกที่เหลือพบว่าจากจุดโรยตัวลงปากหลุมจนถึงก้นบ่อมีความยาวประมาณ 160 เมตร ความสูงของภูเขาวัดได้ 442.7 เมตร
แค่วันแรกตอนนี้ก็แทบจะหมดแรงแล้ว
DAY 2
เช้าวันถัดมาเตรียมตัวเก็บของแล้วเดินทางต่อไปยัง “น้ำตกภูเตย” ระหว่างทางมีจุดชมวิว ” เนินสวรรค์” จากจุดชมวิวเนินสวรรค์จะเห็นทิวทัศน์ของขุนเขาสลับซับซ้อนไกลสุดลูกหูลูกตา
มื้อเช้าแบบง่ายๆของเรา
เดินทางต่อ (จุดชมวิวเนินสวรรค์)
น้ำตกภูเตยมีอีกชื่อหนึ่ง(ชื่อเดิม)ในภาษากระเหรี่ยงว่า “น้ำตกห้วยองเผาะ” ตั้งอยู่ในเขตป่าชุมชนของหมู่บ้านภูเตย ช่วงก่อนเข้าน้ำตกภูเตยจะเป็นพื้นที่ไร่กะหล่ำ มันสำปะหลัง ข้าวโพด ของชาวบ้าน จากนั้นเดินเท้าเข้าไป ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง ต้องลัดเลาะข้ามน้ำบางช่วงสั้นๆ เดินแปปเดียวก็ถึงจุดกางเต้นท์ซึ่งอยู่ติดลำธารน้ำ ทางไม่ลื่นเท่าไหร่เพราะพื้นส่วนใหญ่เป็นหินปูน และในส่วนของอาหารเย็นวันนี้มีไก่ย่าง คอหมูย่างแสนอร่อย แต่ขาดข้าวสวยร้อนๆ เพราะลืมเอาข้าวสารเข้ามาด้วย T T จบไปด้วยดีในส่วนของวันนี้
DAY 3
น้ำตกภูเตยมีทั้งหมดด้วยกัน 12 ชั้น นอกจากชั้น 7 แล้ว ยังมีชั้นไฮไลท์อยู่อีก 2 ชั้น คือชั้น 8 ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก กับชั้น 9 ที่อยู่ลึกลงไป น้ำตกชั้น 8 มีความสูงราว 100 เมตร ส่วนชั้น 9 เป็นชั้นที่สูงที่สุด มีความสูงราว 120 เมตร พวกเราเลือกที่จะชื่นชมน้ำตกที่ชั้น 2
แต่จะให้ชื่นชมน้ำตกอย่างเดียวคงไม่สมกับการมาเยือนครั้งนี้ จัดการโรยตัวผ่านน้ำตกให้ชื่นใจกันดีกว่า วันนี้ตื่นแต่เช้า เดินสำรวจรอบๆน้ำตกภูเตยชั้นที่ 2 หาต้นไม้ดีๆสัก 2-3 ต้นเพื่อยึดเชือกให้มั่งคง
วันนี้น้ำตกไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีความฟูของฟองน้ำราวกับหิมะที่ขาวโพลน
น้ำตกภูเตย ตั้งอยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติลำคลองงู ถ้าช่วงเข้าพรรษาจะเป็นช่วงที่สวยที่สุด น้ำจะแรงและอันตรายต้องระมัดระวัง
และแล้วก็ได้เวลาโบกมือลาความสนุก กับการได้มาเยือนกาญจนบุรีในครั้งนี้ ถือว่าไม่ผิดหวังเลย สถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ดื่มด่ำทุกอณูของธรรมชาติ สูดลมหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง มันทำให้เราได้กล้าออกไปผจญภัยและทุกเรื่องเราสามารถทำให้มันเป็นไปได้ ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง เมืองไทยยังมีอีกหลายมุมให้เราได้ออกไปค้นหา เมืองไทยสวยทุกที่ เท่ทุกสไตล์
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ