*** ก่อนหน้าวันเดินทาง 1 สัปดาห์
มีอีเมล์มาถึง นู (เจ้าของรีวิว) เรื่องการเรียกตัวไปสัมภาษณ์งาน นับเป็นอีเมล์ไม่กี่ฉบับที่เข้ามาทักทายเราทั้ง 2 คน หลังการว่างงานมาเกือบ 1 เดือนเต็ม จากปัญหาวะเศรษฐกิจต่างๆ ที่กระทบกับงานฟรีแลนซ์ของพวกเราด้วย เรา 2 คนเหลือเงินกันอยู่คนละประมาณ 5 พันบาท และต้องเปิดเวทีถกปัญหาความจำเป็น ในการตอบรับการมาสัมภาษณ์งานครั้งนี้ เพราะปลายทางระบุว่า "คุณต้องมาสัมภาษณ์งานที่ "ภูเก็ต" "
ในวงนั่งของการสนทนาวันนั้น เราทั้งคู่ได้ยินเสียงคลื่น และความเค็มของน้ำทะเล รอต้อนรับพวกเราอยู่
19 เมษายน
เที่ยวบิน FD 3041 แตะถึงพื้นสนามบินภูเก็ต ก่อนเวลา 15 นาที จากเวลาเดิม คือเวลา ตี 5 นั่นหมายความว่า เที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินที่ออกจากดอนเมือง กรุงเทพฯ ตี 3.35 และเป็นรอบเวลาที่ราคาถูกที่สุดในวันนี้แล้ว เหมาะสมกับผู้โดยสารที่ไม่มีงบเกิน 5 พันบาทเป็นอย่างยิ่ง ต้องเตรียมร่างกายไว้ระดับนึงด้วย เพราะเท่ากับว่าคืนแรกนี้แทบจะไม่ได้นอนเลย
การจะมาภูเก็ตในราคาประหยัด จะต้องศึกษามาก่อนแล้วว่า ที่นี่ ค่าโดยสารสูงมาก สมมุติเรานั่งรถจากลาดพร้าวไปบางนา 300 บาท ที่ภูเก็ตอาจเพิ่มเป็น 500 ถึง 800 บาท ขึ้นอยู่กับการตกลง หรือประเภทรถก็มีส่วน
สมัยวัยรุ่นเชื่อว่า หลายๆคนต้องเคยรู้จักกับคำว่าโฮมสเตย์ หรืออย่างน้อยก็ต้องเคยเห็นหนังฝรั่งที่ นักเดินทางจะชอบโบกรถเข้าเมืองอะไรประมาณนี้ การมาภูเก็ตครั้งนี้ พวกเราก็ได้มีประสบการณ์นี้บ้างเหมือนกัน ซึ่งทำให้เราสามารถจำกัดการใช้จ่ายของเราได้มากขึ้น และที่สำคัญอบอุ่นจากการได้รับความช่วยเหลือจากคนภูเก็ตแท้ๆ ด้วย
หลังจากเรา 2 คน นู นุ้ย มาถึงสนามบินภูเก็ตแล้ว ก็ไป(นั่ง)นอนขดรอ บัง" ตอฮา " ชาวภูเก็ตดั้งเดิม ซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่มนักวิ่งออกกำลังกาย ที่รู้จักกันผ่านเฟซบุ๊คมาหลายปีแล้ว และได้ขอความรบกวนบังให้มาช่วยเหลือดูแลพวกเราในช่วงวันแรกที่พวกเรามาถึง โดยหลังจากวันพรุ่งนี้ (20 เมษายน) เมื่อสัมภาษณ์งานเสร็จ
พวกเราจะย้ายที่พักจากสามกอง ไป ป่าตอง แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของที่นี่
เนื่องจาก บังตอฮา แกมีอาชีพเสริมคือเป็นไกด์พาฝรั่งเที่ยวด้วย แม้จะมีเวลาเจอพวกเราแค่ไม่กี่ชม. เพราะมีธุระต่อ แต่ก็สามารถพาพวกเราไปเก็บแหล่งฮิตได้ครบ ที่สำคัญแกต้อนรับพวกเราน้องๆจากใจ ไม่คิดเงิน เริ่มจาก พาไปถ่ายรูปเครื่องบินขึ้น-ลงรันเวย์ ระยะประชิดที่หาดไม้ขาว
ใครจะมาถ่ายรูปเครื่องบินขึ้น ต้องเตรียมพร้อมกล้องและความไวชัตเตอร์ให้ดี เพราะเครื่องจะขึ้น หรือลงเร็วมาก อาจตั้งตัวไม่ทัน อีกทั้งแดดที่แยงตาก็อาจทำให้ความอดทนในการชักภาพคู่กับนกยักษ์ลดลงได้ แต่ก็แนะนำให้มาอยู่ดี จะมีกี่ครั้งในชีวิตนอกจากเวลาเดินขึ้นเครื่อง ที่จะได้เห็นเครื่องบินขึ้นแบบใกล้สุดๆ
จุดเช็คอินที่ 2 กังหันแบบยี่ปุ๊น ญี่ปุ่น ที่แหลมพรหมเทพ
หลังจากหลับๆ ตื่นๆ มาในรถบังแล้ว ไกด์ชาวภูเก็ตของเราแจ้งว่า ถึงจุดชมวิวอีกจุดแล้ว เมื่อเราเปิดประตูรถออกไป ก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยกับอุณหภูมิของแดดในวันนั้นที่สัมผัสผิวอย่างแรงกล้า แต่กลับกันลมหอมเค็มที่ลอยมาเตะจมูกอย่างน่าประหลาด ก็เรียกพวกเราไปนั่งชมมัน
หลังเที่ยงวัน บังมาส่งพวกเราที่ที่พัก เป็นโฮสเทลอยู่ตรงข้ามรพ.วชิระภูเก็ต บังแนะนำที่เที่ยวละแวกใกล้ๆให้พวกเราคือย่านเมืองเก่า หรือที่เรียกว่า Old town พวกเรา 2 คน เห็นพ้องกันว่า เราควรจะนอนพักกันก่อนอย่างยิ่งยวด เนื่องจากไม่ได้นอนกันมา 1 คืนเต็ม หลังจากโยนกระเป๋าที่มีกันคนละใบ (ไม่พกกระเป๋าเยอะ จะได้ไม่ต้องซื้อน้ำหนัก) เปลี่ยนชุดนอนเรียบร้อย พวกเราก็หัวถึงหมอนกันอย่างรวดเร็ว
17.00 น. ไม่แน่ใจว่าเรา หรือนุ้ย ตื่นก่อนกัน แต่ความเป็นทีมช่างภาพที่ทำงานกันมาหลายปี ต่างคนต่างเตรียมอุปกรณ์ถ่ายภาพ กล้อง ขาตั้ง กล้องวีดีโอ ล็อกประตูห้องพัก และเดินเลียบไปตามทางเมืองเก่า เกือบ 2 กิโลเมตร อาจเป็นเพราะความเป็นนักวิ่งของพวกเราที่ไม่ได้กลัวกับระยะทางการเดิน 2 กิโลฯ นี้ หรือเป็นเพราะความน่าสนใจของเมืองกันแน่ ที่ทำให้เราลืมความเมื่อยขาไปเลย
อีกหนึ่งทริคของการเที่ยวย่านนี้ให้ได้แบบครบทุกมุม และสบายกระเป๋า หากมีเวลาแนะนำให้เดินเก็บบรรยากาศ หรือต้องการเดินทางด้วยรถโดยสารจะต้องสอบถามที่นั่งบนรถจากวินรถที่จอดตามถนนเลย ขอเบอร์โทรและสำรอง ไม่เหมือนการขึ้นรถตู้ รถเมล์ในกรุงเทพฯ แต่ถ้าเป็นระยะสั้นๆ ก็อาจโบกเอาได้เลย
11 โมงเช้า เวลาตามที่อีเมล์ระบุให้มาสัมภาษณ์งาน จากที่พักไปบริษัท เมื่อไปลองสอบถามรถโดยสารละแวกใกล้ๆ หลายเสียงแนะนำให้เช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่ ซึ่งตามความเห็นเรามองว่ามันจะไม่คุ้ม เพราะเราและนุ้ยจะต้องเช็คเอาท์ จากโฮสเทลอย่างช้าก่อนบ่ายโมง ไม่มีประโยชน์ที่จะเช่ารถขี่ไม่กี่ชั่วโมง ลุงวินมอเตอร์ไซค์เลยเสนอราคาให้ที่ 50 บาท เราตอบตกลง
การสัมภาษณ์ใช้เวลาไม่นาน แต่ก็ไม่น้อยจนเกินไป พอที่จะรับรู้ได้ว่า คนภูเก็ตเป็นคนใจเย็น ใจดี แม้จะอากาศร้อนกว่ากรุงเทพหลายเท่า ที่นี่มีโอกาสมากมายที่พร้อมจะเสนอให้คนที่เข้ามา มีสถานที่อีกเยอะที่รอนักท่องเที่ยวไปค้นหา
หลังการคุยงานชั่วโมงนั้น ทางบริษัทส่งเจ้าหน้าที่เป็นธุระไปส่งเราที่โฮสเทล และอวยพรให้เราเที่ยวภูเก็ตให้สนุกเต็มที่ และหวังว่าจะได้ร่วมงานกันเร็วๆนี้
เรา 2 คนเก็บกระเป๋าออกจากสามกอง นั่งรถตู้เข้าสู่ป่าตอง
รถตู้ประจำทางในภูเก็ตจะช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายการเดินทางมาก เช่นครั้งนี้ เรานั่งจากสามกองไปป่าตอง ในราคาคนละ 50 บาท (หากจ้างรถเหมาอย่างน้อย 400 บาท) แต่เสียเวลาในการรอรถ เกือบ 2 ชม. เพราะไม่รู้มาก่อนว่ารถตู้ประจำทาง หรือแม้กระทั่งรถเมล์ภูเก็ต ควรจะต้องโทรสำรองที่นั่งก่อน ซึ่งเราสามารถค้นหาได้จากอินเตอร์เน็ต หรือเดินไปสอบถามจากอู่รถที่จอดตามทางได้เลย
เราไปถึงที่พักในป่าตองกันประมาณเกือบบ่ายสามโมง ที่พักสำหรับคืนที่สองนี้
" Bedbox guesthouse "เหตุผลหลักที่เลือกมาพักเพราะเขาเลี้ยงแมว และชอบโพสต์รูปแมวลงแฟนเพจของโฮสต์เทล คือเราทั้ง 2 เป็นทาสแมว (หัวเราะ) แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จ น้องการ์ฟิลด์ แมวเจ้าบ้านก็ขึ้นมาต้อนรับ แม้พวกเราจะอยู่ถึงชั้น 5 ก็ตาม ที่สำคัญคือที่นี่ไม่มีลิฟต์
เจ้าของที่พักแนะนำให้พวกเราลองไปหาอาหารเย็นทาน ในห้างใกล้ๆ มีจังซีลอน และเซ็นทรัล การเดินเท้าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับแบ็กแพ็คเกอร์ชาวไทย (ชอบความจริงใจตรงนี้)
เรา 2 คนเดินลัดเลาะ จากที่พักมาตามทางที่เรียงไปด้วยโฮสเทลรับชาวต่างชาติ แทบไม่เห็นนักท่องเที่ยวชาวไทย ในเขตป่าตอง ซึ่งก็ตรงกับที่ชาวภูเก็ตท้องถิ่นหลายคนบอก อาจเพราะค่าครองชีพ และค่าบริการหลายอย่างมีราคาสูง และเพราะเหตุนี้ เมื่อพวกเขาเห็นนักท่องเที่ยวชาวไทย จึงต้องการช่วยเหลือเต็มที่
ระหว่างทางเดินจะพบร้านอาหารสตรีทฟู้ดที่ราคาสูงพอสมควร ทำให้เข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใด พี่เจ้าของโฮสเทลจึงแนะนำให้เราไปกินข้าวห้างแทน
หลังจากกลับที่พักเมื่อคืน พวกเราซื้อโจ๊กสำเร็จรูปมาจากจังซีลอน และมาอุ่นบนเตาแก๊ส ซึ่งทางโฮสเทลมีห้องครัวให้บริการ แต่ทุกคนจะต้องดูแลความสะอาดให้เรียบร้อยหลังการใช้งาน วันที่ 3 ที่ภูเก็ตนี้ จะเป็นการเที่ยวดำน้ำสน็อกเกิ้ล ในราคาคนไทย ซึ่งเราได้เพื่อนที่ทำงานอยู่ภูเก็ตมาเป็นเวลาหลายปีแล้วบอกบุญให้
โดยปกติ ทริปสน็อกเกิ้ล ในภูเก็ต ขั้นต่ำ จะต้องมีงบ 1500 บาท ไม่รวมรถรับส่ง จากที่พักไปยังจุดจอดเรือ แต่ครั้งนี้เราได้มาในราคา 1000 บาทถ้วน กับการเที่ยว 3 เกาะ (เกาะไม้ท่อน เกาะรายา และเกาะ Coral) พร้อมรถตู้มารับถึงด้านล่างที่พักเลยทีเดียว
กำหนดเวลารับคือ 8 โมงเช้า หลังจากที่โทรตกลงกันเมื่อวาน
เย็นนั้น นักท่องเที่ยวทุกคน แยกย้ายกันกลับที่พักของตัวเอง ทุกคนแบกผิวหน้าเกรียมแดดกลับไป หอบทรายไปเต็มกระเป๋ากางเกง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ทุกคนแฮปปี้ วัดจากรอยยิ้มตอนจากลากันกับคนที่ไม่ได้รู้จักกันเลย แค่บังเอิญลงทะเลด้วยกัน นั่งตากลมไปด้วยกัน เพราะสเน่ห์ เพราะความสนุกของทะเลภูเก็ตหรือเปล่านะ.. หรือความน่ารักเป็นกันเองของไกด์ชาวภูเก็ตกันแน่ 1 วันเต็ม กับ 3 เกาะ ที่ทุกคนใช้เวลาสนุกไปด้วยกัน .. แต่รับรู้ได้แน่ ว่าทริปภูเก็ตของพวกเขาจะถูกเล่าบอกต่อๆไป
วันสุดท้ายที่ภูเก็ต เราเก็บกระเป๋ากันเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืน โปรแกรมวันสุดท้ายนี้ จะมีนายช่างใหญ่จากย่านโบ๊ตลากูน ภูเก็ต มาพาเราไปชมไซด์งานของแก ซึ่งแนะนำมาโดยผู้ใหญ่ใจดีของพวกเราจากกรุงเทพ ให้ฝากดูแลน้องๆ ที
เรา 2 คน ลาเจ้าการ์ฟิลด์และน้องผู้ดูแลโฮสเทล ที่ในใจหวังว่าจะได้กลับมาเยี่ยมเยียนที่นี่อีก ลากกระเป๋า ไปที่ห้างจังซีลอน เพื่อหาข้าวเช้าที่นั่นรองท้อง และขึ้นรถตู้ที่จุดนัด หลังจากที่โทรจองที่ไปเมื่อคืน เพื่อจะไปยังจุดหมายต่อไป " โบ๊ต ลากูน "
พวกเรานั่งรถตู้มาถึงโบ๊ตลากูนกันคนละ 100 บาท นายช่างใหญ่ใจดีก็มารอรับ และพาชมไซด์งานของแก ซึ่งเป็นบริษัทซ่อมบำรุงเรือยอร์ชหรู ลูกค้าเกือบ 90% เป็นชาวต่างชาติ เรือยอร์ชที่จอดส่วนใหญ่ เป็นเรือบ้าน อารมณ์คล้ายรถบ้าน แต่หรูกว่ามาก ราคาอย่างต่ำ USED คือ 7 ล้านบาทไทย ฝรั่งที่เป็นเจ้าของส่วนใหญ่ จะใช้แล่นเรือเที่ยวข้ามประเทศ บางรายแล่นเรือเที่ยวถึง 3 ปีก็มี (รวยจริงอะไรจริง)
ที่โบ๊ตลากูน นักท่องเที่ยวจะรู้จักกันผ่านที่พักวิวหรู ซึ่งสามารถหาโปรโมชั่นดีๆ ได้ตามอินเตอร์เน็ต มองออกมาจากห้องพักก็จะสามารถเห็นท่าเรือสวยๆ บรรยากาศริมน้ำได้ฟินๆ
หลังนายช่างใหญ่พาพวกเราไปทานอาหารกลางวันเรียบร้อย จุดต่อไปคือ อ่าวปอ Grand Marina Bay นายช่างบอกว่า อากาศจะร้อนกว่าที่โบ๊ตลากูน แต่จะสวย หรูกว่ามาก
Grand Marina Bay เป็นท่าเรือยอร์ช ที่จะรับนักท่องเที่ยวมาจากเกาะอื่นๆ นั่ง Cruise มาชมทะเลสวยๆ แล้วเทียบที่อ่าวปอนี้ เพื่อเข้าที่พักต่อไป
เย็นวันนั้น นายช่างมาส่งพวกเราให้พักผ่อนนอนหลับสักงีบที่บ้านภรรยาของแก เพื่อที่พวกเราจะได้กลับกรุงเทพฯอย่างสดชื่น เที่ยวบิน 4 ทุ่ม ย่านเกาะแก้ว อาหารการกินถือว่าราคาไม่สูงไปจากกรุงเทพมาก พวกเราทานข้าวเย็นที่นี่เพื่อเซฟเงินไม่ต้องไปซื้อในสนามบิน นั่งซึมซับบรรยากาศครั้งสุดท้ายของภูเก็ต
ทั้งเราและนุ้ยต่างก็เคยมาภูเก็ตกันคนละครั้ง เราเคยมาเที่ยวทะเลกับที่บ้านตอนสมัยวัยรุ่น ซึ่งตอนนั้นยังไม่อินอะไรมาก เพราะนอนเล่นอยู่แต่ในห้องพักในขณะที่น้องๆเราไปเล่นน้ำทะเล ส่วนนุ้ยก็เคยมาทำงาน แต่ไม่มีโอกาสเที่ยวทะเล
การมาเที่ยวแบบได้เก็บ ทุกมุม ทุกอารมณ์ของภูเก็ตครั้งนี้ มันต่างออกไปจริงๆ ที่นี่อากาศร้อนมาก แต่ผู้คนใจเย็น ใจดี น่ารัก แม้กระทั่งนักท่องเที่ยวก็ยังโอเค อารมณ์เหมือนเราได้ไปเที่ยวต่างเมือง ต่างประเทศที่ผู้คนพร้อมจะต้อนรับเรา ถ้ามีโอกาสอีกครั้งก็คงจะไปอีก คงยังมีอะไรให้ทำอีกมากรออยู่ ครั้งหนึ่งในชีวิตคุณต้องไปภูเก็ต แล้วคุณต้องเที่ยวให้ครบ เดินให้ทั่ว คุยกับคนที่นั่น ทุกอย่างที่นั่นรอให้เราไปเที่ยว ...
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ