จะนับว่าการนอนบนตู้นอนรถไฟจากสถานีหัวลำโพง ไปสถานีรถไฟเชียงใหม่เจ้าเป็นการเดินทางวันแรกนะ เพราะตื่นตาตื่นใจกับขบวนรถที่ใหม่มาก สะดวกสบาย
ถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ 7 โมงเช้า หาชากาแฟดื่มแถวสถานีเพื่อรอร้านปล่อยเช่ามอเตอร์ไซค์เปิด เตรียมแว้นขึ้นไปพักแม่กำปอง
มื้อตอนสายของวันที่ 1 ในเชียงใหม่ หลังจาก คืนที่ 1 บนรถไฟ (งงมั้ย) —- เลือกมาแล้วคือโอ้จะจู๋
ก่อนขึ้นดอยแม่กำปองขอเติมพลังด้วยอาหารสุขภาพ ที่ฟาร์มผักเพื่อแม่ อาหารออร์แกนิกและสเต็กกันก่อน
ใช้เวลาอีก 20 กว่ากิโล ด้วยมอเตอร์ไซค์พร้อมกระเป๋าเดินทาง 2 ใบ แบกเป้อีก 1 ใบ เบาๆ.... ขึ้นเขามาไกลมากจนถึงที่พัก หนาวมาตลอดทาง
เราจองห้องเดี่ยวห้องน้ำในตัว ตามรีวิวทีมีน้ำตกแม่กำปองไหลผ่านที่พัก เป็นเช่นนั้น สวยงามสงบ อากาศเย็นสบาย กลางคืนได้ยินเสียงน้ำไหลกล่อมให้หลับ
บ่ายสองถึงที่พัก ชื่นชมบรรยากาศควรแก่เวลา ก็ออกมาเดินเล่นกลางหมู่บ้าน ถนนแม่กำปองจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ให้โอกาสคนในหมู่บ้านเท่านั้นที่จะสร้างรายได้จากการบริการนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร ร้านกาแฟ บริการนำเที่ยว หรือโฮมสเตย์ จะให้บุคคลภายนอกเข้ามาดำเนินธุรกิจไม่ได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องดี
เดินเล่นหาอาหารพื้นเมืองทานกัน มือเย็นเป็นหมกปลาดุกของคุณตาคุณยาย น้ำพริกหนุ่มแคปหมู อร่อยล้ำเจ้า
ที่หมู่บ้านจะเริ่มเงียบช่วง 2 ทุ่ม เรารีบกลับที่พักให้ไว เตรียมตัวพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ตี 5 มีขึ้นไปชมทะเลหมอกที่กิ่วฝิ่นเค้าว่าสวยงามนักเชียว
*** เช้าวันที่ 2 แล้ว
คนขับผู้ชำนาญทางมารอรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่ตีห้าเพื่อขึ้นไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้น ที่ยอดกิ่วฝิ่นความสูงเหนือน้ำทะเล 1,517 เมตร หากโชคดีจะได้เห็นทะเลหมอกหนาปกคลุมหมู่บ้าน.... และเราโชคดี
ใช้เวลาประมาน 15 นาที ทางชันและลำบากมาก และต้องเดินต่อไปยังจุดชมวิวอีก 15 นาที แต่สิ่งที่ได้เห็นงดงามาก เกินคำบรรยาย คุ้มค่า 100 บาทค่าคนขับรถ 7 โมงเช้ารถก็ส่งเราที่ร้านอิงดอย เพื่อทานมื้อเช้ารวมมาในราคาที่พักแล้ว
มื้อเช้าไม่หนำใจ เราเดินกลับขึ้นมาท้ายหมู่บ้านอีกประมาณ 800 เมตร เพื่อดื่มกาแฟที่ชมนกชมไม้ และชมบรรยากาศหุบเขาหมู่บ้านแม่กำปองแบบเต็มๆจากจุดนี้
กลับที่พักอาบน้ำเพื่อออกมาตะแล๊ดแต๊แต๋ต่อที่ถนนกลางหมู่บ้าน แอบเล็งร้านของฝาก แมวดอยแกลลอรี่ไว้ “ทุกอย่างล้วนเกี่ยวกับแมว”
ได้นาฬิกาแมวสีขาวเป็นของฝากให้น้องสาววันเปิดร้านกาแฟ และโปสการ์ดไว้เขียนให้เพื่อนๆ
กิจกรรมก่อนเช็คเอาท์คือเขียนโปสการ์ดส่งให้เพื่อนรัก
เช็คเอาท์จากชีวิตชีวา เพื่อไปอีกหนึ่งที่พัก แต่ขอแวะทานมื้อเที่ยวเป็นข้าวซอยให้หนำใจก่อนนะ
อิ่มแล้วก็แว้นมอไซค์ขึ้นกลับมาทางเหนือของหมู่บ้านมาอีกหนึ่งที่พัก ชื่อ แม่กำปอง 999 โฮมสเตย์ เป็นสไตล์ลอฟอยู่บนเขานิดหน่อย มองเห็นวิวธรรมชาติชัดเจน รูปที่พักมีน้อยเพราะเช็คอินท์แล้วออกไปเที่ยวกันต่อในหมู่บ้านจ้า
กลับเข้ามาในหมู่บ้าน เพิ่มสมาชิกเที่ยวมาอีก เดินขึ้นเนินมาเลี้ยวซ้าย คือวัดเก่าแก่และเป็นที่ศักการะของคนในหมู่บ้าน จุดที่พลาดไม่ได้คืออุโบสถเก่าแก่กลางน้ำตกแม่กำปองที่ไหลผ่าน
ชมวัดและธรรมชาติเสร็จก็เดินถ่ายรูปเล่นในหมู่บ้าน
บ่ายคล้อยนี่เลยร้านกาแฟขึ้นชื่อของที่นี่อยู่ตรงกลางหมู่บ้าน ตึกสวย น่าถ่ายรูป กาแฟทานได้ไม่เข้มมาก
ร้านลุงปู๊&ป้าเป็ง เป็นร้านที่คนต้องแวะมาเช็คอิน ดื่มกาแฟ ชมบรรยากาศเพราะด้านหลังเป็นลำธารจากน้ำตกแม่กำปอง ร้านตกแต่งอบอุ่นชวนให้อยากถ่ายรูป ส่วนรสชาติกาแฟจัดว่ากลางๆ ราคาสูงหน่อย
มื้อเย็นของเราเป็นอาหารชาวบ้านที่ทำขายหน้าบ้านเช่น ไข่ปาม หมกปลาดุก
หกโมงกว่าแล้วยังไม่อยากกลับที่พัก เลยพากันไปดื่มและศึกษาศาสตร์แห่งการชงกาแฟแบบไซ่ฟ่อน โดยใช้เมล็ดพันธุ์กาแฟจากทั่วโลก เจ้าของร้านไม่ธรรมดา อาร์ทมาก คารวะในความเชี่ยวชาญด้านกาแฟ
เมื่อคืนจากร้านปิรันยามามิได้ดีดกาแฟแต่อย่างใด ตื่นเช้าชมวิวสวยหน้าห้องพัก แล้วใช้เวลาวันสุดท้ายที่แม่กำปองก่อนเข้าเมือง
แว้นมอไซค์ลงจากแม่กำปอง แวะพักระหว่างทาง ตรงห้วยแก้ว ซึ่งจะมีไร่สตรอเบอร์รี่ให้แวะเก็บซื้อกันเองสดๆ เลยแวะที่ไร่ไออุ่น เก็บเพลินได้มาเกือบสองกิโล อร่อยๆ
มีเดินทางลงไปพักต่อในเมืองเชียงใหม่ 1 คืน เพื่อเตรียมตัวนั่งรถไฟกลับ กทม บ๊ายบายแม่กำปอง แล้วจะกลับมาใหม่
“Naturally, Private & Sweet Escape at Mhae Kampong”
สรุปค่าใช้จ่าย โดยประมาณจ้า
* ค่าเดินทางโดยรถไฟไปกลับ 2 คน = 3,200 บาท
* ค่าที่พัก ณ แม่กำปอง 2 คืน = 2,000 บาท
* ค่าเช่ามอไซค์ 4 วัน = 800 /น้ำมัน 150 บาท
* ค่าอาหาร กาแฟ ไม่รวมฝาก = 600 บาท/คน
* เที่ยวเดือน มกราคม 62 อุณหภูมิที่ 16-20 องศา
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ