ก่อนการเดินทาง เราเตรียมตัวดังต่อไปนี้
ดูราคาตั๋วเครื่องบินทาง Google Flights
จองรถยนต์ผ่าน ToCoo
ทำพาสปอร์ตแบบ walk-in ที่ธัญญ่าพาร์ค (เร็วมาก!)
จองโรงแรมผ่าน Agoda & booking.com
ทำใบขับขี่สากลที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 ตรงรถไฟฟ้าบางจาก (รอคิว 20 นาที ทำ 10 นาทีเสร็จ)
ซื้อประกันเดินทางจาก Tokio Marine (เพื่อนทำงานอยู่ที่นั่นพอดี) 5 คนพันกว่าบาท
แล้วก็บินได้!
เครื่องออกตอน 23.45 เราไปถึงสนามบินดอนเมืองตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง คิวยาวมากๆๆๆ แต่พอเช็คอินเรียบร้อย เราไปเดินหาซื้อ Sim2Fly แบบ 8 วัน ราคา 399 บาท ถ้าหันหน้าเข้าสนามบินก็ บู๊ธจะอยู่ชั้น 1 ฝั่งขวาด้านใน จากนั้นก็ไปแกร่วรอตรงหน้าเกต ลูกๆ ไม่ยอมหลับกันซักคน กว่าจะไปหลับก็บนเครื่อง แต่ผมมีหน้าที่อุ้มลูกคนเล็กติดตัวซึ่งเขาก็ดุ๊กดิ๊กตลอดเวลาจนรู้สึกว่าตัวเองแทบไม่ได้นอนเลย
ถึงสนามบิน New Chitose ของฮอกไกโดตอน 8 โมงกว่าๆ เข้าห้องน้ำห้องท่าเรียบร้อยก็ลงไปที่ Information เพื่อให้เขาโทร.ติดต่อบริษัทรถ Samurai Rental Car ให้ (จองผ่าน tocoo ตามด้านบน) เขาบอกว่าให้เราไปขึ้นรถบัสเวียนซึ่งพาเราไปจอดตรงที่จอดรถระยะยาว (กลางแจ้ง) จากนั้นเราก็เดินเข้าไปจัดแจงเซ็นเอกสารและได้รถมาขับ 1 คัน ค่าเช่า 6 วันประมาณ 55,000 เยน (*0.3 = 16,500 บาท) บวกกับค่า Hokkaido Expressway Pass อีก 6200 เยน รถที่ได้เป็น Toyota Wish คันสีดำใหม่เอี่ยมอ่องน่าใช้งานมาก ติดอยู่นิดเดียวตรงที่พอใส่ car seat ลงไปสองที่นั่งแล้วที่ใส่สัมภาระไม่ค่อยพอเท่าไหร่ ต้องจัดของกันหลายรอบพอสมควร
จุดหมายแรกของเราคือ Hakodate ซึ่งต้องขับรถล่องใต้ไปอีกสามชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทางเราหยุดที่เมือง Noboribetsu เพื่อทานข้าว และได้หยุดรายทางอีก 1 ที่ (ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไร) ก่อนจะเข้าโรงแรม Hakodate Kokusai Hotel ซึ่งทำเลดีมาก ใกล้ตลาดปลาแบบเดินได้ แต่ราคาก็แพงมากเหมือนกัน นอนคืนเดียวผู้ใหญ่สาม เด็กสอง เกือบ 15,000 บาท!
เก็บของเสร็จเราก็ขับรถไปที่ Mount Hakodate Ropeway เพื่อจะขึ้นกระเช้าไปชมวิวซึ่งได้ชื่อว่าสวยติด 1 ใน 3 ของโลก แต่พอไปถึง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า จะขึ้นไปก็ได้นะ แต่ visibility หรือวิสัยทัศน์การมองเห็นเป็น 0 มีรูป CCTV ให้ดูด้วยว่ามองอะไรไม่เห็นจริงๆ เพราะหมอกเยอะมาก สุดท้ายเราจึงจำใจไปหาอะไรกินแทนแล้วบอกตัวเองว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่
เราขับรถเข้าเมืองไปจอดแถวสถานีรถไฟหลัก แล้วก็เดินวนหาร้านกิน แต่ปรากฎว่าเลือกนานไปหน่อย พอเดินวนกลับมาร้านที่หมายตาก็ปิดไปเรียบร้อยแล้ว เดินไปอีกร้านที่คนเยอะๆ เขาก็บอกว่าต้องรอนานนะ สุดท้ายรออยู๋เกือบ 30 นาทีก็ไม่มีวี่แวว เลยขับรถไปทานในเวิ้งอื่นแทน เจอร้านซูชินจานหมุนก็เลยสั่งกันอย่างบ้าคลั่ง ตอนแรกๆ ก็ฟินดี แต่ทานไปเรื่อยๆ รสชาติก็ไม่ได้ดีไปกว่าที่เรากินที่ไทยเท่าไหร่ แถมพอบิลออกมา 10,000 Yen หรือ 3,000 บาท (ลูกๆ แทบไม่ได้กินอะไร) ก็รู้สึกว่าไม่ได้คุ้มค่าขนาดนั้น
วันนี้กว่าจะตื่นก็แปดโมงเช้า ทานอาหารเช้าของโรงแรมซึ่งจัดว่าคุ้ม เพราะวิวดีและมีซาชิมิและไข่ปลาแซลมอนให้ทานไม่อั้น เช็คเอาท์จากโรงแรมเสร็จก็มุ่งหน้าไป Mount Hakodate อีกรอบ แต่คราวนี้ไม่ขึ้นกระเช้าแล้ว ขับรถขึ้นไปเองเลย (ถ้าตอนกลางวันเขาให้ขับรถขึ้นไปได้ แต่ตอนค่ำต้องขึ้นกระเช้าอย่างเดียวเท่านั้น คาดว่าน่าจะเพราะเรื่องความปลอดภัย)
วิวข้างบนสวยดังคำร่ำลือ ที่สำคัญไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เราใช้เวลาอยู่ราว 1 ชั่วโมงก่อนจะเดินทางต่อไป
ขับรถกลับเข้าซัปโปโร ต้องผ่านเส้นทางเดิม เลยแวะที่ Noboribetsu อีกรอบ ตอนแรกกะว่าจะไปเที่ยวหมู่บ้านนินจา แต่เวลาไม่พอ (เขาปิดห้าโมงครึ่ง แต่เราไปถึงก็สี่โมงกว่าแล้ว) เลยไปดูน้ำพุร้อนที่ชื่อว่า Jigokudani (Hell Valley) แทน ก็เพลิดเพลินและได้รูปสวยๆ มาหลายรูป แต่ถ้าใครไม่ชอบกลิ่นกำมะถันก็ทำใจนิดนึงนะครับ
ถึงเมืองซัปโปรตอนสองทุ่มกว่าๆ พักที่โรงแรม APA Hotel & Resort Sapporo ซึ่งเป็นโรงแรมขนาดใหญ่มีทัวร์มาลงเยอะ คนไทยก็เยอะด้วยเช่นกัน เราจะพักที่นี่ไปอีก 4 คืนเลยทีเดียว
วันนี้กะว่าจะเป็นวันสบายๆ มาเดินช้อปปิ้งเล่นในซัปโปโร โดยเริ่มต้นจากการมาหาร้านกินที่ตรอกราเม็ง แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดคิด คือเมื่อถึงร้านราเม็งที่จะกิน ผมทำลูกคนเล็กตกจากรถเข็น หัวคะมำเอาหน้าลงพื้นซึ่งเป็นตะแกรงของท่อน้ำทิ้ง
ลูกร้องไห้จ้า แฟนก็ร้องไห้ตามไปด้วย ผมอุ้มลูกเข้าไปถามคนขายราเม็งว่าแถวนี้มีหมอมั้ย เขาก็บอกว่าให้ไปหาตำรวจ เราก็เลยเดินไปจนเจอสถานีตำรวจซึ่งช่วยเรียกรถพยาบาลให้ เลยได้ประสบการณ์นั่งรถพยาบาลครั้งแรก ไปถึงโรงพยาบาลในเมืองข้างๆ ชื่อเมือง Teine หมอเช็คอาการแล้วไม่เป็นอะไรมาก กลับบ้านได้เลย เราก็เลยนั่งรถไฟกลับเข้าซัปโปโรอีกทีแล้วหาของกินในห้าง จากนั้นก็เดินกลับมาที่รถ ผ่าน Odori Park โดยไม่ตั้งใจ เลยได้ฉายรูปกันไปพอสมควร
ขากลับแวะซื้อของกินหลากหลายจากซูเปอร์มาร์เก็ต Coop แถวโรงแรม ได้ซูชิอร่อยๆ มาเพียบ แถมราคายังถูกมาก 20 คำเพียง 300 เยนหรือ 90 บาทเท่านั้น!
วันนี้ถือเป็นวันไฮไลท์ ขับรถสองชั่วโมงครึ่งเพื่อมาดูทุ่งลาเวนเดอร์ที่ Tomita Farm ในเมือง Furano ได้กินเมล่อนอร่อยๆ ด้วย ติดอยู่นิดเดียวที่ "ปรายฝน" ลูกคนโตไม่สบายหนัก นางก็เลยไม่ค่อยเอ็นจอยเท่าไหร่ ให้ภาพเล่าเรื่องดีกว่าครับ
วันนี้ก็เป็นวันที่ดีอีกวัน ได้ออกจากโรงแรมค่อนข้างเช้า ขับไปเดินเล่มริมคลองโอตารุ จากนั้นก็ไปเดินตรงถนนคนเดิน Sakaimachi Street แดดปรี้ยงแต่อากาศสบายๆ คนไม่เยอะเกินไป ถือเป็นที่ที่ชอบเป็นอันดับต้นๆ ของทริปนี้เช่นกัน
ส่วนตอนเย็นก็ไป Tanukikoji ที่ให้อารมณ์คล้ายๆ กับการไปเดินที่โอซาก้า เพียงแต่ลดสเกลลงมา แฟนได้เครื่องสำอางค์และของฝากไปไม่น้อย
วันสุดท้าย เครื่องออก 9 โมงครึ่ง เลยออกจากโรงแรมตั้งแต่หกโมงเช้า ไปส่งทุกคนที่สนามบินก่อน ส่วนผมขับรถไปคืนที่ลานจอดรถระยะยาวและนั่งรถบัสกลับมาที่สนามบิน
มีเวลาอยู่นิดหน่อย เลยไปเดินซื้อของฝาก รวมถึงเก็บภาพกับ Dorameon Wakuwaku Skypark ซึ่งเปิด 10 โมงเช้า เลยได้แต่ถ่ายรูปจากด้านนอกมา
จบลงแล้วกับทริป 6 วัน 5 คืน อาจจะไม่ได้เที่ยวมากนัก แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าและเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ประจำปีนี้ของผมครับ
อ่านบทเรียนจากทริปนี้ได้ที่บล็อก Anontawong's Musings ครับ
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ