จริงๆ ทริปนี้ผมเดินทางไปตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย. ครับ โดยรอบนี้เดินทางด้วยสายการบินนกแอร์ ซื้อตั๋วช่วงโปรมาราคาไป - กลับประมาณ 1,700 บาทครับ ถือว่าคุ้มอยู่ ใช้เวลาบินจากดอนเมืองราวๆ 1 ชม. และแล้วก็ถึงสนามบิน นครพนม อากาศดีมากครับ ร้อนดี 55555
[[[สำคัญ]]] ข้อแนะนำสำหรับคนที่ไม่เช่ารถคือ ไปถึงปุ้บรีบเดินไปที่บู้ทขายตั๋วรถตู้เลยครับ เพราะรถตู้จะออกเป็นเที่ยวโดยอิงจากรอบเครื่องบินลง (100 บาท/คน) แปลง่ายๆ คือ ถ้าเราไม่ทันรอบนี้ เราจะต้องรอขึ้นรถตู้กับคนที่ลงเครื่องรอบถัดไปครับ 55555 หรือถ้ามาหลายคนก็สามารถนั่งแท็กซี่ได้ครับ คุ้มกว่า
ส่วนตัวผมเอง แน่นอนครับว่าขึ้นรถตู้ไม่ทัน 555555 แต่โชคดีที่พี่เจ้าของเค้าจะขับรถเข้าเมืองพอดี เลยได้นั่งรถเก๋งในราคา 100 เท่าเดิมครับ ชิลล์เลย
นั่งรถตู้ราวๆ 10 นาทีก็ถึงที่พักของผมครับ ตั้งอยู่ตรงถนนนิตโย ซึ่งเป็นเส้นหลักที่เข้าเมืองนครพนมเลย โรงแรมที่พักสำหรับทริปนี้คือ "โรงแรมเอสพี เรสซิเดนซ์ นครพนม" ราคาถูกมากครับคืนละ 550 บาทเท่านั้น
เก็บของละก็ลุยต่อเลยครับ ขอบอกก่อนว่าที่เมืองนครพนมเนี่ย การเดินทางหลักๆ ในกรณีที่ไม่ขับรถคือ เดิน จักรยาน และรถสามล้อครับ โดยสถานที่เกือบทั้งหมดผมเดินเป็นส่วนใหญ่นะครับ เนื่องจากเมืองขนาดไม่ใหญ่มาก
ที่แรกที่เราจะไปกันคือออ กินข้าวครับ 5555 เดินแบบโนแพลน ไปเจอกับร้าน "เฝ๋อนายโอเล่" พึ่งรู้ว่าคนที่นี่ เค้าเรียกก๋วยเตี๋ยวกันว่าเฝอครับ สั่งก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นมา ราคามาณ 40 บาทครับ รสชาติโอเคเลย
เติมพลังแล้ว ก็เดินต่อมาที่ "รูปปั้นพระยาสัตตนาคราช" ตั้งอยู่ตรงสุดถนนนิตโยครับ เป็นแลนมาร์คแห่งใหม่ของจังหวัดนครพนม มีทั้งจุดสักการะบูชา จุดชมวิวแม่น้ำโขง และห้องน้ำ ถ้าร้อนก็แวะไปคาเฟ่ฝั่งตรงข้ามได้ครับ
มีอีกกิจกรรมที่ห้ามพลาดเมื่อมาเยือนนครพนมคือออ การนั่งเรือชมแม่น้ำโขง นั่นเองครับ จะมีผู้ห้บริการทั้งของเอกชนและรัฐบาล ครั้งนี้ผมขอนั่งของเทศบาลครับเพราะงบน้อย 5555 โดยมีค่าเรือ 50 บาท / 1 ชั่วโมง 20 นาที คุ้มมากกก โดยเรือจะแล่นให้เราชมแม่น้ำโขงทั้งฝั่งไทย-ลาวเลย บนเรือมีของกินกรุบกริบ และเครื่องดื่มเย็นๆ คอยให้บริการด้วยครับ
[[[สำคัญ]]] เรือของเทศบาลจะออกเวลา 17.00 ของทุกวัน มีแค่รอบเดียวเท่านั้น ควรมาก่อน 16.45 ครับ ถ้าอยากได้ที่นั่งวิวดีๆ
ลงเรือปุ้บ เจอถนนคนเดินพอดีครับ ตั้งอยู่ตรงถนนชยางกูร เส้นเลียบริมน้ำโขงเลย ถนนคนเดินจะมีศุกร์ - อาทิตย์เท่านั้นนะครับ มีของกินให้เลือกเพียบ รวมถึงเสื้อผ้าด้วย ผมเลยจัดของกินกรุบกริบไปนิดหน่อยครับ
เดินพอหอมปากหอมคอ เลยแอบหนีไปจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ร้าน ห-นาฬิกา ครับ ตั้งอยู่บนเส้นถนนคนเดินนี่เอง เป็นร้านดังที่รวมตัววัยรุ่นของที่นี่ไว้เลยทีเดียว บรรยากาศนึกว่าอยู่ Thay Ekkamai 55555 และมีโอกาสได้คุยกับพี่ๆ ที่บังเอิญมาหลบฝนมาอยู่โต๊ะเดียวกันด้วยครับ พี่ๆ ช่วยบอกข้อมูลเกี่ยวกับนครพนมมาให้เยอะเลย
ตื่นมาพร้อมกับความแฮงค์ เลยต้องรีบหาของกินมากระแทกปากด่วนครับ 5555 สุดท้ายตัดสินใจไปที่ร้าน "พรเทพอาหารเช้า" จัดไข่กระทะ - ขนมปัง - กาแฟ ราคารวม 75 บาทครับ โอเคอยู่
พอกินเสร็จแอบเปิดแอป Wongnai เล่นๆ เลยรู้ว่าร้านข้างๆ ที่ห่างออกไป 0.0km เนี่ย เป็นร้านดัง!?
นั่นคือร้าน "ข้าวเกรียบปากหม้อศรีเทพ" นี่เองครับ มีขนมปากหม้อไข่ดาว ใส่ไข่ หรือจะเป็นข้าวเกรียบปากหม้อก็ดี ขอบอกออกนอกหน้าเลยครับว่าอร่อยมาก !! แป้งนุ่ม ไส้ไม่เป็นวิญญาน และให้เยอะมากครับ 5555 คุ้มจริงๆ ใครมาขอแนะนำครับ สนนราคา 2 จาน 80 บาทเท่านั้น
ช่วงบ่ายคือไฮไลต์ของทริปนครพนมนี้ครับ เราจะไปปั่นจักรยานเลียบแม่น้ำโขงกัน เย่ๆ
ที่เมืองนครพนมเค้าทำทางจักรยาน เลียบแม่น้ำโขง ความยาวประมาณ 12km ครับ ตั้งแต่ตัวเมือง ยาวไปถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เลยทีเดียว
ขั้นแรกคือเราต้องมีจักรยานก่อนครับ เผอิญที่โรงแรมของผมเค้ามีให้เช่าพอดี เรตราคาประมาณ 40 บาท / 3 ชม. หรือจะไปเช่าตรงแถวหอนาฬิกาก็ได้ ราคาน่าจะพอๆกัน
[[[สำคัญ]]] ควรเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ก่อน 13.00 นะครับ ไม่งั้นขากลับจะมืด อันตรายพอสมควรเลยครับ และถ้าเริ่มเลทก็ไม่ควรปั่นคนเดียวแบบผม 5555 ทางค่อนข้างเปลี่ยวครับ ด้วยรักและหวังดี
เส้นของผมจะปั่นย้อนจากโรงแรมไปเริ่มที่ "พระธาตุนคร" ครับ เป็นพระธาตุที่ตั้งอยู่ในตัวเมือง อาจจะไม่โด่งดังเท่าพระธาตุพนม แต่ก็มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามไม่เบาเลยครับ
ระหว่างทางก็จะผ่านทั้ง พญาศรีสัตตนาคราช - จุดชมวิว - ตลาดอินโดจีน - ท่าเรือข้ามฟาก แต่พอดีผมไม่ได้แวะครับ เพราะ พรุ่งนี้ต้องมาอยู่แล้ว แต่ขอแวะถ่ายภาพ "หอนาฬิกา" ศูนย์กลางของเมืองนครพนมซะหน่อย ที่นี่เป็นอนุสรณ์ที่ชาวเวียดนามสร้างให้ก่อนย้ายกลับประเทศครับ เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันดีในสมัยนั้นเลย
ระหว่างทางมีตึกเก่าสวยๆ เยอะมากครับ ประทับจุยยย ขี่ไป แวะไป 5555
ต่อมาเราจะมาแวะกันที่ "วัดนักบุญอันนา หนองแสง" เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปดูครับ พอดีมีคนใช้ห้องโถงอยู่ แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนเปลือกๆ แบบผมครับ 55555
ระหว่างทางจะมีจุดที่เรียกว่า "อุโมงค์นาคราช" ด้วยครับ สวยดีครับ แถมไม่ต้องกลัวตกน้ำอีกต่อไป 5555
เหมือนที่ผมเตือนไปครับว่าแนะนำให้ออกก่อน 13.00 น. พอดีผมออกช้าครับ เหลืออีกราวๆ 2km ถึงจะถึงสุดเส้นทาง (สะพานมิตรภาพไทย-ลาว) เลยขออนุญาติจบการปั่นที่ร้าน "ภูตะวัน ปลาจุ่ม" ปลาจุ่มสดๆ จากกระชังในแม่น้ำโขงเลยครับ ไม่มีกลิ่น อันนี้ผมคอนเฟิร์ม มีปลาเผาะ 200 บาท และปลาคัง 350 บาทครับ ที่ร้านบอกปลาเผาะมันจะเยอะกว่า ผมกลัวคาวก็เลยสั่งปลาคังแทน
ทั้งชุดจะมี เนื้อปลา - ผัก - วุ้นเส้น ครับ เยอะมาก กิน 2 คนอิ่มสบายๆ ผมกินคนเดียวเลยแอบเหลือผักให้รู้สึกผิดนิดนึง
ขอบอกสั้นๆ ว่าเรื่องรสชาตินี่ไม่มีผิดหวังครับ เป็นหนึ่งในอาหารที่ควรลองเมื่อมานครพนมเลย
หลังจากกินเสร็จฝนเทหนักมาก และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดครับ ผมเลย 1 2 ฮึบ แล้วปั่นกลับเข้าที่พักแบบไม่แวะเลย และไม่รู้ว่าแต้มบุญมาจากไหน ไม่ล้มเลยครับ ผิดวิสัยผมมากๆ 5555
วันนี้จะข้ามไปฝั่งลาวครับ ที่อำเภอท่าแขก ยอมรับครับว่าไม่ได้ทำการบ้านอะไรไปเลย จะเจออะไรบ้างไปลุ้นกันครับ 55555
พอดีจะตื่นมาถ่ายภาพการตักบาตรริมแม่น้ำโขงครับ แต่ตื่นไม่ทัน 555 เลยแวะกินข้าวใกล้ๆ ด่านตรวจคนเข้าเมืองก่อนครับ ระหว่างรอที่ทำการเปิด สุดท้ายไปเจอร้านชื่อ "เรือนรับรอง" เป็นบ้านไม้เก่าๆ ที่มีอาหารให้เลือกเยอะเลยครับ ผมสั่ง "ต้มเส้นหมู" (เหมือนก๋วยจั๊บญวนครับ) เส้นหนึบ อร่อยยย กระดูกหมูนุ่ม ราคา 30 บาทเท่านั้นครับ เยิ้ฟ
กินเสร็จ ถึงเวลาด่านตรวจคนเข้าเมืองเปิดพอดี ลุยโลดครับ
[[[สำคัญ]]]
สิ่งที่ต้องใช้ทั้งหมดคือ
1. พาสปอร์ต (ใครที่ไม่ได้เอาพาสปอร์ตมา ต้องใช้บัตรประชาชนไปทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวตรงที่ทำการครับ ติดกันเลย)
2. เงินค่าเรือ 60 บาท (ต่อเที่ยว)
3. ถ้าเดินทางเสาร์ - อาทิตย์ จะมีค่าดำเนินการตรวจคนเข้าเมืองของฝั่งลาว 100 บาทด้วยครับ
4. ไม่ต้องแลกเงินก็ได้ แต่เช็คเรตแลกเงินก่อนก็ดีครับ
พอไปถึง สิ่งแรกที่ได้ยินคือเพลง เก็บตะวัน ของคุณ อิทธิ พลางกูร ทำให้รู้สึกไม่ต่างกับฝั่งไทยเลยครับ ทุกคนที่นี่เป็นมิตรมากกกกกก และผมเลยได้รู้ข้อมูลมาว่าส่วนใหญ่คนที่ข้ามมาเค้าออกไปเที่ยวสถานที่เที่ยวธรรมชาตินอกเมืองท่าแขกกันครับ แต่ผมขี้เกียจเลยขอเก็บบรรยากาศในเมืองแทนดีกว่าโดยถนนของเมืองท่าแขก ผมขอแบ่งแบบง่ายๆ เป็น 2 ถนนนะครับ คือ 1.ถนนริมน้ำ 2.ถนนถัดมา 555
เริ่มที่ถนนริมน้ำกันก่อน เดินไปเรื่อยๆ จะมีวัดใหญ่อยู่วัดนึงครับ พอตอนผมไปเค้ามีงานบวชพอดี เลยได้เห็นบรรยากาศงานบุญของฝั่งเค้า น่ารักดี
แวะกินข้าวฝั่งลาวกันหน่อยครับ อาหารดังฝั่งนี้คือ ปิ้งเป็ด แต่ประเด็นคือผมไปเช้าไป ไม่มีปิ้งเป็ดเปิดเลยครับ 5555 เลยกินร้านริมน้ำ สั่งไก่ย่าง ไข่ปิ้ง ข้าวเหนียว ละก็เบียร์ลาวขวดใหญ่แบบกรุบกริบ ราคา 140 บาทครับ ข้าวเหนียวเยอะมากกกก เหมือนคนที่นี่เค้ากินข้าวเหนียวเป็นหลักเลยครับ แต่ผมคงต้องขออนุญาตเหลือไว้ ละก็น้ำจิ้มอร่อยมากเลยครับ เป็นตำพริก-เกลือ รสเค็มเผ็ด อร่อยแบบง่ายๆ จิ้มข้าวเหนียวเพลินมาก
ตัดมาที่ถนนเส้นที่ 2 ง่ายสุดคือเป็นเส้นขนานกันที่ถัดมาครับ
เส้นนี้จุดเด่นคือมีตึกเก่าสวยๆ เยอะมากกก ใครชอบถ่ายรูป แนะนำว่าห้ามพลาดเลยครับ
และช่วงเวลาฝั่งลาวของผมก็จบเพียงเท่านี้ครับ ไว้วันหลังมาแก้ตัวใหม่ หาคนแชร์คนรถออกไปนอกเมือง 55555
หลังจากกลับมา คิดว่าวันนี้จะพักครับเลย ไปหาอาหารเวียดนามกินซะหน่อย ก่อนกลับไปนอน ใช้แอป Wongnai ค้นหาไปเจอร้าน "ครัวเวียดนาม @นครพนม" พอดีครับ เมนูแปลกดี มีขนมจีนเนื้อวัว รสชาติโอเคครับ แต่ผมกินละปวดหลัง ไม่รู้ว่าเพราะผงชูรส หรือเดินเยอะ 555 ค่าใช้จ่ายจำได้คร่าวๆ ว่าประมาณ 100 กลางๆ ครับ
วันนี้ยังคงตื่นเช้าเช่นเคยครับ ผิดวิสัยผมสุดๆ 5555 ที่แรกที่จะแวะไปคือ "ตลาดสดเทศบาลนครพนม" ครับ กะว่าจะเดินเล่นๆ ดันเจอร้าน "หมูย่าง นครพนม" เทพมากกกกก หมูย่างหนังกรอบ เนื้อไม่แห้ง หอมเครื่องเทศ ต่างจากสูตรตรังตรงที่ไม่หวานครับ (ผมไม่ชอบหวานพอดี) สั่ง 50 บาท กินแทบไม่หมดเลย 555
หลังจากจัดหมูไปจนอิ่ม ผมขอแอบไปเดินที่ "สวนชมโขง" ก่อนกลับ ที่ข้างหน้าทางเข้าสวนมีสตรีทอาร์ตสวยๆ ให้ถ่ายรูปเพียบเลยครับ อันนี้เป็นเซอร์ไพรส์สำหรับผมเหมือนกัน 555
ก่อนกลับ ได้คุณแม่ของพี่มี่มาช่วยพาผมไปส่งสนามบิน ต้องขอแอบขอบคุณพี่มี่ และคุณแม่มา ณ ที่นี้ด้วยครับ 5555
จบไปแล้วสำหรับทริปเที่ยวคนเดียว 4 วัน 3 คืน ที่นครพนม ของผม อาจจะไม่ค่อยได้ไปนอกเมือง และเก็บสถานที่ดังๆ เท่าไหร่ แต่อยากให้ทุกคนได้เห็นด้านน่ารักๆ ของวิถีชีวิตของคนที่นี่เหมือนที่ผมได้เห็นในช่วง 4 วันที่ผ่านมา และผมมั่นใจว่าทุกคนจะตกหลุมรักเมืองนี้ เหมือนที่ผมโดนตกไปครับ 5555