หนุ่ม ๆ สาว ๆ สมัยนี้นิยมเที่ยวคนเดียวกันมากขึ้น ทำไมนะเหรอ? ก็เพราะการเที่ยวคนเดียวมันทั้งง่าย ได้ไปทุกที่ที่อยากไป ทั้งยังสามารถคุมงบประมาณได้ และถ้าพูดถึงการไปเที่ยวต่างประเทศ ญี่ปุ่นก็คงเป็นประเทศในฝันของใครหลาย ๆ คน เพราะนอกจากจะสะดวกในการไม่ต้องขอวีซ่า ยังมีตั๋วเครื่องบินราคาโปรโมชั่นให้เลือกตั้งเยอะ ถ้าชอบญี่ปุ่นแต่ยังไม่รู้จะไปไหนดี เราอยากแนะนำให้ลองแวะมาเที่ยวเมืองเล็ก ๆ สองเมืองนี้ดู พร้อมกับที่เที่ยวเกียวโตที่เราอยากเอามาบอกต่อ แล้วรับรองว่าจะติดใจ (เหมือนเรา อิ ๆ )

Day 1 ทริปอูจิ (Uji)
ทริปนี้เราเริ่มต้นจากสถานีเกียวโตค่ะ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะคนที่มาแบบ วันเดียว เช้า-เย็นกลับ แต่ใครที่มีที่พักในเกียวโต สามารถลองเชคจาก Google Map ได้ค่ะ ถ้าสะดวกก็สามารถใช้บริการรถไฟของเคฮัง (Keihan) ไปลงที่อูจิ (Uji) ได้เหมือนกัน
1สถานีเกียวโต
ที่สถานีเกียวโต พยายามมองหารถไฟ JR สีน้ำตาลแบบนี้ค่ะ มันคือรถไฟ JR สายอูจิ (Uji Line) จากประตูกลางเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ผ่านร้านค้า แล้วลงบันไดไปยังชานชาลา

ค่าเดินทางจากสถานีเกียวโตถึงเมืองอูจิโดยรถไฟ JR คือ 240 เยน แต่เวลาในการเดินทางนั้น ขึ้นอยู่กับขบวนรถไฟที่เรานั่ง ถ้านั่งแบบธรรมดาที่จอดทุกป้ายจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถ้านั่งแบบด่วนที่จอดบางป้าย จะถึงใน 19 นาที (ทั้งแบบธรรมดาและด่วนราคาเท่ากัน) หรือถ้าใครสะดวกเดินทางโดย รถไฟสายเคฮัง (Keihan) ก็จะหน้าตาประมาณนี้

ข้อแตกต่างระหว่างการเดินทางด้วย รถไฟสายเคฮัง (Keihan) และ JR คือ เมื่อถึงเมืองอูจิ สถานีของเคฮัง (Keihan) จะอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวมากกว่า JR ค่ะ สำหรับใครที่มีเวลาครึ่งวัน เราขอแนะนำให้ข้ามสะพานมาเที่ยวถนนคนเดินและวัดเบียวโดอินเลย พอเดินออกมาจากสถานีเคฮัง (Keihan) ถ้าข้ามสะพานมา จะเจอกับรูปปั้นมุราซากิ ชิคิบุ แต่ถ้ามาจากสถานี JR ให้ขอแผนที่จากนายสถานีแล้วเดินตามแผนที่ รับรองไม่หลงแน่นอน (แต่เดินไกลหน่อยนะ)
2พิพิธภัณฑ์ตำนานเกนจิ

นี่คือมุราซากิ ชิคิบุ เป็นผู้แต่งนิยายที่ได้ชื่อว่าเป็นนวนิยายเรื่องแรกของโลก ชื่อ ตำนานรักเกนจิ เป็นเรื่องราวของความรักของเจ้าชายหนุ่มรูปงามนามว่าเกนจิกับผู้หญิงหลายนาง และแน่นอนว่านางเอกของเรื่องนี้ก็ชื่อมุราซากิ ซึ่งมีชื่อเดียวกับเจ้าของบทประพันธ์ ถ้าใครที่สนใจบทประพันธ์นี้และมีเวลาอยู่ที่นี่ทั้งวันสามารถข้ามสะพานกลับไปฝั่งที่ใกล้สถานีเคฮัง (Keihan) เพื่อเดินไปชมพิพิธภัณฑ์ตำนานเกนจิได้ ในพิพิธภัณฑ์มีร้านกาแฟสไตล์ญี่ปุ่นที่น่าสนใจ จะจิบกาแฟไป อ่านหนังสือ ชมภาพวาดไปก็เก๋ไม่เบา

จากพิพิธภัณฑ์ตำนานเกนจิ เดินตรงมาเรื่อย ๆ จะมีร้านน้ำชา และร้านขายอาหารสไตล์เก่าแก่ เราแวะทานข้าวเที่ยงที่ร้าน Fukujuen Uji เป็นอาคารไม้สองชั้นสวยงาม ข้าวที่เราสั่งก็หน้าตาสวยงาม เป็นข้าวที่มีแป้งโมจิและแป้งกรอบ ๆ ลูกกลม ๆ คล้าย ๆ เทมปุระ เวลาทานต้องราดน้ำชาและมีอุด้งชาเขียวมาในเซตพร้อมกับผักดอง เรียกว่าเป็นเซตรวมของขึ้นชื่อของเกียวโตเลยก็ได้ เพราะเกียวโตดังเรื่องผักดอง ส่วนอูจินั้นเป็นเมืองที่ดังเรื่องชาเขียว สนนราคาเซตนี้ 1200 เยน ถือว่าเป็นราคาปกติของอาหารเซตในเกียวโต (ซึ่งค่อนข้างแพงกว่าแถบโอซาก้า)



3วัดเบียวโดอิน
มายังอีกฝั่ง ก็จะพบกับวัดเบียวโดอินหรือวัด 10 เยน ฟังแล้วอย่าพึ่งตกใจไป 10 เยนนั้นไม่ใช่ค่าเข้า (ค่าเข้า 600 เยนสำหรับผู้ใหญ่จ้ะ) แต่วัดเบียวโดอินนี้ เป็นวัดเดียวกับที่อยู่บนเหรียญ 10 เยนของญี่ปุ่นต่างหาก ถ้าเข้าไปแล้วอย่าลืมถ่ายรูปกับอาคารนกฟินิกซ์ แล้วก็โชว์เหรียญ 10 เยนด้วยนะ

อาคารนกฟินิกซ์ ที่อยู่บนเหรียญ 10 เยน ที่ได้ชื่อว่านกฟินิกซ์เพราะเมื่อมองจากแปลน จะเหมือนกับนกฟินิกซ์สยายปีกออก โดยส่วนตรงกลางอาคารเป็นหัวนก ถ้าอยากเข้าชมโถงด้านใน ต้องจ่ายเพิ่มอีก 400 เยนต่างหาก

เมื่อเดินออกมาจากวัดเบียวโดอิน จะเจอถนนขายของเรียงราย (หรือถ้าข้ามสะพานมาเลย โดยไม่แวะพิพิธภัณฑ์เกนจิ ก็จะเจอถนนเส้นนี้ก่อน) ถนนนี้เต็มไปด้วยร้านขายของกระจุกกระจิกมากมาย และที่สำคัญคือ ร้านชาเขียว เพราะอูจิ เป็นแหล่งปลูกชาเขียวชื่อดัง ที่ถนนนี้ เราแวะชิมของหลายอย่าง แต่ที่แนะนำว่าห้ามพลาด คงจะเป็นชามัทฉะ กินคู่กับขนมหวานที่ทำจากถั่วแดง สามารถหาได้จากหลาย ๆ ร้านบนถนนเส้นนี้ ราคาประมาณ 900 เยน หรือถ้าอยากแวะทานอาหารแปลก ๆ เช่นโซบะชาเขียว หรือเกี๊ยวซ่าชาเขียว ก็สามารถหาชิมที่นี่ได้

เดินชอปปิง ชิมขนมจนเพลิน ก็ราว ๆ บ่ายสามโมง เราเลยเดินกลับไปที่สถานีรถไฟเพื่อที่จะแวะไป ฟูชิมิ อินาริ ซึ่งเป็นสถานีระหว่างอูจิ กับสถานีเกียวโต ที่สำคัญ ฟูชิมิ อินาริ ไม่มีเวลาปิด ถ้าเผลอเที่ยวอูจิเพลินจนเย็นแล้วค่อยแวะไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไปคนเดียว เราไม่แนะนำให้ไปที่นี่ตอนกลางคืน เพราะบรรยากาศน่ากลัวมาก แต่ถ้าอยากลองอะไรแปลก ๆ ก็ไม่ว่ากัน
4ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ
สำหรับผู้ที่นั่ง รถไฟ JR ลงสถานี Fushimi Inari ผู้ที่นั่งรถไฟ Keihan Inari ลงสถานที Inari พอลงมาปุ๊บจะเจอกับประตูศาลเจ้าที่มีของขายริมทางมากมาย ส่วนใหญ่เป็นของเล่นกับของฝาก ถ้าสนใจชอปปิงเราแนะนำให้ซื้อตอนก่อนกลับจะดีกว่า เพราะต้องปีนบันไป ชันมากกกกก พอเข้าไปในบริเวณศาลเจ้า จะเจอเสาแดงมากมาย แบบในภาพ แล้วก็ยังมีทางแยกมากมาย เราแนะนำให้ลองขึ้นไปถึงบนสุด วิวสวยมาก ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ที่เสาพวกนี้ จะมีสลักชื่อคนและบริษัทเต็มไปหมด ชื่อเหล่านี้เป็นของผู้บริจาคโดยเสาต้นเล็กที่สุดราคา ค่าบริจาคประมาณ 4 แสนเยน นอกจากนี้ที่ฟูชิมิ อินาริ จะเห็นรูปปั้นไปจนถึงสินค้าหน้าตาเป็นจิ้งจอกเต็มไปหมด เป็นเพราะในอดีตศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพแห่งข้าวในศาสนาชินโต และเชื่อกันว่าสุนัขจิ้งจอกคือผู้นำศาส์นจากเทพเจ้ามาสู่ชาวนา
เมื่อเดินฟูชิมิ อินาริจนอิ่มใจ ท้องก็เริ่มหิว เรานั่งรถไฟกลับสถานีเกียวโต ไปทานหมูทอดที่ร้าน Katsukura ใกล้ ๆ อิเซตัน เมนูที่เราทานเป็นหมูสันในเนื้อนุ่มแป้งกรอบกำลังดีแถมกะหล่ำปลี ข้าว ซุป ไม่อั้นด้วย ราคาประมาณ 1400 เยน

ทานเสร็จค่ำพอดี อย่าพึ่งรีบกลับนะ ทริปนี้ยังไม่จบ จริง ๆ แล้วสถานีเกียวโตมีอะไรดี ๆ ที่หลายคนไม่เคยสังเกตซ่อนอยู่เยอะมาก อยากให้ลองเดินเที่ยวดู เช่น ถ้าขึ้นบันไดเลื่อนสูง ๆ ด้านข้างอิเซตันไปเรื่อย ๆ จะเจอกับบันได LED ที่ตอนกลางคืนจะเปิดไฟสวยงาม หรือถ้าโชคดี ก็จะได้ดูการแสดงที่น่าสนใจ และถ้าขึ้นไปจนสุดบันได จะเจอสวนบนดาดฟ้า ที่สามารถมองเห็นวิวเกียวโตได้รอบ 360 องศา ถ้าไปตอนกลางคืนจะโรแมนติคมาก (ไปคนเดียวก็ได้ฟิลเหงา ๆ ไปอีกแบบ)


ถือเป็นโบนัสการปิดทริปเกียวโตใน 1 วันได้อย่างสวยงาม แต่คงยังไม่จุใจ ถ้างั้นเราไปต่อวันที่สองกัน
Day 2 ทริปทาคาโอะ (Takao)
5วัด Jingo-ji
ทริปนี้ขอเริ่มจากสถานีเกียวโตเช่นกัน สามารถนั่งรถบัสไปลงที่ ทาคาโอะ (Takao) แล้วเดินต่อไปยังวัด Jingo-ji ได้เลยสบายๆ เพราะมีป้ายชัดเจน รถบัสจากสถานีเกียวโต ราคา 500 เยน ซื้อแบบไปกลับ 800 เยน เราถึงทาคาโอะตอนเกือบเที่ยงพอดี ตามทางเดินไปวัด Jingo-ji มีร้านขายอาหารชุดหลายร้าน วิวดีน่าสนใจ ราคาพอ ๆ กับร้านอาหารชุดทั่วไปในเกียวโต (900-1xxx) เยน แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจเราได้มากกว่าคือ โมจิเสียบไม้ย่าง ราดซอส สีเขียวไส้ถั่วแดง เป็นแบบหวาน สีขาวเป็นแป้งธรรมดา ร้านที่เราไปเป็นเพิงตั้งอยู่ริมลำธาร อากาศหนาว ๆ นั่งกินของร้อน ๆ ชมวิวแม่น้ำสนุกไปอีกแบบ



เดินขึ้นบันไดต่อไปที่วัด Jingo-ji วัดนี้มีค่าเข้าชม 600 เยน ด้านในมีอาณาบริเวณกว้างมาก สามารถเดินเล่นได้ทั่ว และอย่าลืมแวะมาสักการะพระโพธิสัตว์ ที่ห้องโถงใหญ่ของวัด ขากลับอย่าลืมถ่ายภาพกับมุมบังคับ เป็นที่ระลึก

6วัด Saimyo-ji
จากนั้นเราเดินลงเขากันต่อ กลับไปตามทางเดิมที่ขึ้นมา จะเห็นป้ายบอกทางไปอีกสองวัด คือ Saimyo-ji และ Kozan-ji ไม่ต้องคิดอะไรมาก เดินตามป้ายไปเลย ไม่ไกลก็จะพบกับวัด Saimyo-ji ก่อน ซึ่งเราสามารถเลือกขึ้นได้ 2 ทาง ทางที่ชันกว่า คือข้างหลัง เราแนะนำทางเข้าด้านหน้า เพราะสวยงามและไม่ชันเลย วัดนี้เก็บค่าเข้า 600 เยน เข้าไปด้านในจะมีสวนสวยงาม ตอนเราไปใบไม้สีแดง ตัดกับมอสสีเขียวสวยงามมาก ถ้าอยากดื่มชาเคล้าบรรยากาศ ที่นี่ก็มีเรือนชาไว้รับรอง



7วัด Kozan-Ji
พอนั่งชมบรรยากาศอันสงบร่มรื่นของวัด Saimyo-ji เสร็จพิธี เราก็เดินย้อนออกไปทางเดิม จะมีป้ายบอกให้ไปที่วัด Kozan-ji ต่อ วัดนี้มีจุดเด่นที่เป็นสถานที่ปลูกใบชาที่แรกในญี่ปุ่น โดยทางเจ้าอาวาสที่เดินทางไปศึกษาพุทธศาสนาที่จีน ได้นำเมล็ดชามาปลูกที่วัดนี้ ก่อนจะแพร่หลายไปยังอูจิ (เมืองแห่งชาเขียวที่เราไปเที่ยวกันมาเมื่อวาน) และกลายเป็นวัฒนธรรมดื่มชาทั่วประเทศ


นอกจากนี้ด้านในยังมีภาพวาดล้อเลียนเสียดสีเป็นภาพสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ ที่เลียนแบบมนุษย์ เรียกได้ว่า จุดเริ่มต้นของภาพวาด “มังงะ” เกิดขึ้นที่นี่ก็ว่าได้ ด้านในอาคารส่วนที่โชว์ภาพ สามารถนั่งชิลล์ ๆ ชมวิวภูเขาสวย ๆ ได้

พอใกล้เย็น เราก็เดินลงจากวัด Kosan-ji ไปอีกนิด จะเจอป้ายรถเมล์ (คนละป้ายกับตอนมา) ป้ายนี้ชื่อ Togano-O รถบัสที่นั่งจะไปสิ้นสุดที่สถานีเกียวโต ส่วนเราลงรถที่สถานี Nijojo-Mae แวะไปกินร้าน มันมารุ อิซากะยะ เป็นร้านที่เมนูอาหารสนุกมาก เมนูหลากหลาย ราคาไม่แพง มีเทมปุระผักกับต่างๆ เป็นไอเทมที่น่าสนใจ เราสั่งชุดเนื้อย่าง ปิดท้ายด้วยไอติมเทมปุระเป็นของหวาน ค่าเสียหายประมาณ 800 เยนเท่านั้น แต่ปริมาณถือว่าคุ้มมาก เมื่อเทียบกับร้านอื่น ๆ จาก Nijo สามารถนั่งรถเมล์กลับสถานีเกียวโตได้หลายสาย หรือจะนั่งรถใต้ดินก็ได้เหมือนกัน


หวังว่าทริป ขึ้นเขา ชมเสาแดง จิบชาเขียวคนเดียวที่เกียวโต จะถูกใจใครหลาย ๆ คนนะคะ ถ้ากลัวเหงาจะชวนกันไปหลาย ๆ คนก็ได้ แต่อย่าลืมเตรียมยืดเส้นยืดสายกันก่อนมาเที่ยวและเดินระวัง ๆ ด้วยค่ะ ด้วยความเป็นห่วง นอกจากนี้เรายังมี 10 ที่เที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว และ 10 คาเฟ่ในโตเกียวที่ห้ามพลาด มาแนะนำกันอีกด้วย ส่วนครั้งหน้า Wongnai Travel จะพาไปเที่ยวไหนอีกก็อย่าลืมติดตามกันด้วยนะคะ