ใครที่อยากกินอาหารเหนือแบบดั้งเดิมพร้อมกับซึมซับบรรยากาศเก่าๆ ที่หวนให้นึกถึงความหลัง ขอแนะนำที่นี่ “บ้านสราญรมณ์” หน้าร้านตกแต่งเหมือนบ้านทรงไทยทั้งร้าน ใช้ไม้ให้ดูขลังยิ่งขึ้น เมื่อเข้ามาในร้านเตะตาด้วยผนังที่ติดด้วยถาดเคลือบโบราณหลายสีแบบที่เคยเห็นสมัยเด็กๆ ถือเป็นเอกลักษณ์ของร้านกันเลยทีเดียว


บรรยากาศร้านสบายๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกินอาหารที่บ้าน การตกแต่งเป็นสมัยเมื่อ 40-50 ปี ไม่ว่าจะเป็น จั่ว ตู้กับข้าว มีบานเฟี้ยมเปิด-ปิด เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ที่ร้านได้สะสมมา บ้านสราญรมณ์ มีทั้งหมดสองชั้นครึ่ง ชั้นแรกเน้นความรวดเร็วแบบจานด่วน ชั้นลอยที่เลียนแบบชานพักเน้นให้นั่งเล่นบนโซฟาสบายๆ ชั้นสองจะนั่งกันโต๊ะใหญ่แบบครอบครัว ส่วนใครที่ชอบถ่ายถาพ ร้านนี้เป็นอีกร้านที่ต้องจดไว้ในลิสเลยเพราะมีพร็อพน่าถ่ายมากๆ อย่างพวกภาชนะในร้านจะเป็นถ้วยสังกะสี ช้อนทองเหลืองรูปไม้ไผ่ ปิ่นโตโบราณ รวมไปถึงรสชาติอาหารที่คุ้นเคย ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องนึกย้อนกลับไปสมัยก่อน ยิ่งถ้าเป็นคนสูงอายุต้องนึกถึงภาพเก่าๆ สมัยอดีตแล้วมานั่งให้ลูกหลายฟังแน่นอน


เริ่มกันที่เมนู Signature ของทางร้าน “ข้าวซอยน่องไก่” ( 80 บาท ) รสชาติเข้มข้นแต่บางเบา ใส่เทคนิคบางอย่างในน้ำแกงและเครื่องเทศบางตัวที่ทำให้รสชาติไม่โดดมากนัก รวมไปถึงน้ำกะทิสดทำวันต่อวัน การใช้หัวหอมใหญ่หมักในน้ำแกงทำให้หวานกลมกล่อมยิ่งขึ้น เส้นบะหมี่แบนทานง่าย มีทั้งเส้นนิ่มและเส้นกรอบผสมผสานกันอย่างลงตัว ยิ่งกินยิ่งฟิน


มาต่อกันที่แกงพื้นบ้านหากินยากอย่าง “แกงขนุน”( 85 บาท ) ที่มีจุดเด่นที่ความเหนียวนุ่มเฉพาะตัวของขนุนอ่อน รสชาติเข้มข้นแซ่บซี้ดปากเรียกเหงื่อได้ แต่ถ้าใครไม่กลัวอ้วนต้องลอง “แกงฮังเล” ( 95 บาท ) รสชาติเข้มข้นแต่ไม่จัดจ้านมาก เต็มที่ไปด้วยเนื้อหมูสามชั้นแบบเน้นๆ ฟินสุดตรงชั้นมันหนาๆ ที่มากไปด้วยแคลอรี่นี่แหละ หรือจะเลือกเป็นอาหารยอดนิยมของภาคเหนือ “ไส้อั่ว” (80 บาท) ที่ใช้ไส้สดไม่มีแช่แข็ง เครืองแกงของไส้อั่วทำเองเป็นสูตรลับของทางร้าน รสชาติกลมกล่อม กินไปไม่มีเบื่อ

หนึ่งในอาหารยอดนิยมของภาคเหนือ “ข้าวกั้นจิ้น” ( 60 บาท ) เมนูหาทานยากในกรุงเทพฯ ด้วยกรรมวิธีที่ยุ่งยากที่เริ่มจากการขย้ำเลือดหมูกับใบตะไคร้จนเข้ากันแล้วกรองเอาใบตะไคร้ทิ้ง แล้วปรุงรสชาติด้วยเกลือเล็กน้อย แล้วผสมกับข้าวสวยคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ในใบตองแล้วเอาไปนึ่งประมาณ 15-20 นาที จากนั้นโรยด้วยกระเทียมเจียว กากหมู วางต้นหอมกับพริกทอดข้างๆ แล้วกินกันตอนร้อนๆ เป็นรสชาติแปลกใหม่กลมกล่อมสุดๆ เรียกได้ว่ากว่าจะมาเป็นจานนี้ยากมาก วันหนึ่งจึงมีแค่ 20 ห่อต่อวันเท่านั้น ใครอยากลองเมนูหายากนี้ต้องรีบมากันหน่อย


ใครสายเฮลตี้ชอบกินผักแบบเน้นๆ ต้องเลือก “น้ำพริกหนุ่มและผักสด” (60 บาท) น้ำพริกรสเด็ดที่ทางร้านตำเอง ทีเด็ดอยู่ตรงที่ผักหลากหลายให้เยอะแบบเต็มที่ เช่น มะระขี้นก กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว แตงกวา มะเขือเปาะ ยิ่งกินพร้อมแคบหมู สนุกปากอย่าบอกใคร หรือจะเลือกเป็น “ลาบคั่ว” ( 95 บาท ) ที่เสิร์ฟร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายสุดๆ ทานกับผักสดยิ่งฟินไปอีก ใครอยากกินข้าวเหนียวเพิ่มก็สามารถสั่งได้



เพิ่มความสนุกสนานในการรับประทานอาหารด้วยเซ็ทไฮไลท์ของร้านกับ “ปิ่นโตเซ็ท”(180 บาท) ที่เสิร์ฟในปิ่นโตโบราณ ประกอบไปด้วย น้ำพริกอ่อง รสชาติชนะเลิศ ทั้งแห้งและเข้มข้น เผ็ดนิดๆ เด็กสามารถทานได้ แกงฮังเล ชั้นหมูหนาแคลอรี่จัดเต็ม แคปหมู กรอบๆ และ ข้าวเหนียว รวมกันสี่อย่างถือว่าเด็ดสุด


กินกันมาเยอะแล้วรู้สึกหิวน้ำแล้วสั่ง “กาแฟโบราณ” (40 บาท) เครื่องดื่มง่ายๆ รสชาติเข้มข้น หอมหวานมันกลมกล่อม ใครไม่ดื่มกาแฟก็สามารถสั่ง “ชาเย็น” (40 บาท) กลิ่นหอมมากเป็นเพราะชักชาครั้งเดียวแล้วทิ้งทำให้หอมกลิ่นชามากกว่าชาที่อื่น รสชาติจะไม่หวานมาก

ตบท้ายด้วยของหวาน “ลอดช่องกะทิสด” (55 บาท) ใช้น้ำตาลโตนด หอมกลิ่นกะทิสด กินแล้วลื่นคอล้างคาวได้ดี “ลูกตาลลอยแก้ว” (55 บาท) ทางร้านใช้น้ำตาลทรายแดงในการทำ กลิ่นหอมใบเตย ไม่หวานจนเกินไป ชื่นใจสุดๆ

ใครมาก็ต้องติดใจในบรรยากาศที่เป็นกันเองเหมือนอยู่ในบ้าน แถมยังมานั่งคุยรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ ตัดความความวุ่นวายและเร่งรีบไปหมดสิ้น พร้อมพกความสุขแบบดั้งเดิมมาให้คุณเต็มเปี่ยม บ้านสราญรมณ์ ยินดีต้อนรับทุกคนมาแชร์ประสบการณ์นี้ด้วยกัน





