จะนัดเพื่อน นัดแฟน หรือนัดครอบครัวกินข้าว ปัญหาระดับชาติที่ตามมาคือ เมนูอาหารที่อยากกินไม่เหมือนกัน คนหนึ่งจะกินซูชิ อีกคนอยากกินอาหารไทย บางคนก็ใกล้สิ้นเดือนเงินกำลังช็อตอยากเลือกร้านถูก ๆ ต่างคนต่างความคิด กว่าจะเลือกร้านกันได้ปาไปครึ่งวัน จากมื้อกลางวันกลายเป็นมื้อเย็นซะงั้น ดีไม่ดีทะเลาะกันจนเทนัดไปเลยก็มี
แต่ทุกปัญหามีทางแก้ค่ะ วันนี้แพรขอเสนอทางออกแห่งสันติ ที่ “Central Food Hall Chidlom” นั่งโต๊ะเดียวเลือกกินได้ทั้งโซน มีตั้งแต่ ซูชิ สเต๊ก ซีฟู้ด ไปจนถึงข้าวเหนียวหมูปิ้ง ตอบโจทย์คนที่กำลังตามหาร้านอาหารอิ่มจบที่เดียวครบอย่างแน่นอน

ที่นี่เขาแบ่งเป็น 3 โซนหลัก ๆ คือ New Dining Experience, Street Food, และ Sweet Bar ซึ่งมีทั้งโต๊ะและบาร์ให้เลือกนั่งกัน จะนั่งตรงไหนก็สามารถสั่งอาหารได้ทุกโซนเลยค่ะ แล้วจะมีพนักงานมอบแทปเล็ต แล้วเราก็นั่งจิ้มเลือกอาหารที่อยากโดนกันตามสบายเลยเจ้าค่ะ
มาเริ่มกันที่ “New Dining Experience” กันก่อน โซนนี้เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากห้างคาเดเว ซึ่งถือเป็นห้างสรรพสินค้าชื่อดังในประเทศเยอรมัน กับการกินอาหารสไตล์เคาท์เตอร์บาร์ที่ได้รวบรวมอาหารหลากหลายจานพิเศษระดับโลกมาไว้ที่เดียวกัน สำหรับวันนี้แพรได้เลือกชิม 4 ร้านเด็ดทั้งคาวและหวาน รับประกันเลยว่าใครเห็นก็อยากมาลิ้มรสชาติอย่างแน่นอน

ขอเริ่มแบบเบา ๆ กันที่ร้าน “Thammachart Seafood” กับการคัดสรรวัตถุดิบซีฟู้ดระดับพรีเมียม สดใหม่เหมือนเพิ่งยกขึ้นมาจากทะเลยังไงยังงั้น แพรเองก็อยากจะลองพิสูจน์ความสดนี้ เลยขอท้าทายร้านด้วยเมนู “6 Oysters with 1 Joy Sparkling Brut Glass” (990 บาท) โปรโมชันสุดคุ้มที่จะได้ลิ้มรสหอยนางรมสด ๆ ถึง 6 ชนิด ทั้ง Fine De Claire, Gillardeau, Tsakaya, Tasmanian, Kumamoto, และ Marennes-Oleron เสิร์ฟคู่ Joy Sparkling Brut Wine 1 แก้ว ซึ่งหอยนางรมเขาเนี่ยพูดเลยว่าตัวใหญ่และสดมากกกกกก เนื้อนุ่มเด้ง ไม่มีกลิ่นคาว รสชาติเค็มหน่อย ๆ ตัวหอยมีความหวานธรรมชาติ กินคู่กับซอสหอมแดง บีบเลมอนเบา ๆ กินคู่กับ Sparkling Brut Wine เข้ากันสุด ๆ ฟินจนอยากกราบเชฟเลยค่ะ
ต่อกันที่เมนู “LA (Lobster&Avocado) Sandwich” (550 บาท) กับล็อบสเตอร์ชิ้นโตที่อัดแน่นมาในขนมปังกรอบนอกนุ่มใน คลุกเคล้ากับอะโวคาโด, หอมแดง, แคปเปอร์, และมะเขือเทศสด ๆ เพิ่มความสดชื่น ตัดเลี่ยนอย่างลงตัวด้วยซอสซีฟู้ดมายองเนส และที่ฟินมาก ๆ คือเขาเสิร์ฟมาคู่กับมันฝรั่งทอดแบบโฮมเมดที่ดีงามมากเวอร์ มีความกรอบนอกแต่ข้างในยังนุ่มฟู ได้เทกซ์เจอร์ของมันฝรั่งจริง ๆ ไม่เหมือนที่เราเคยกินแบบแช่แข็งมา ขอยืนยันนอนยันเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน


ขอย้ายร้านกันสักหน่อย แต่ยังคงอยู่ในโซน “New Dining Experience” กับร้าน “Grill Bar” บาร์พร้อมเสิร์ฟอาหารจานร้อนสไตล์ปิ้งย่าง สร้างสรรค์เมนูโดยเชฟของ Central Food Hall ที่ได้ทำการคัดสรรวัตถุดิบพรีเมียมคุณภาพสูงและคิดค้นสูตรแต่ละเมนูอย่างพิถีพิถัน ปรุงกันสด ๆ ใหม่ ๆ ทุกจานเลยค่ะ
สำหรับวันนี้แพรคิดว่าคงจะลองกินอีกแบบมหาศาล ก็อยากจะลดปริมาณไขมันลงบ้าง เลยมาตกลงปลงใจกับเมนู “Skirt Steak” (395 บาท) ใช้เนื้อวัวส่วน Skirt ก็คือเนื้อที่อยู่ใกล้ ๆ ส่วนท้อง มีมันแทรกน้อยลดความรู้สึกผิดกันไปได้บ้าง แต่ความดีของรสชาติไม่ลดลงแน่นอนค่ะ จะมีอะไรดีไปกว่าเนื้อที่ย่างมาแบบ Medium สีชมพูนุ่ม ๆ เพิ่มความหอมด้วยการหมักใบไทม์และโรสแมรี กินคู่ซอส Chimichurri สูตรเด็ด เสิร์ฟเคียงผักผัดเนยกับมันฝรั่งทอดแบบโฮมเมดที่กรอบนอกนุ่มในไม่แพ้จานล็อบสเตอร์ แต่พิเศษยิ่งขึ้นเพราะเขาโรยทรัฟเฟิลหอม ๆ มาด้วย พรีเมียมตั้งแต่วัตถุดิบ หน้าตา และรสชาติ เป๊ะเวอร์!


นั่ง ๆ กินอยู่ก็เหลือบไปเห็นเชฟของร้าน “Grill Bar” กำลังรีดเส้นพาสต้ากันสด ๆ สไตล์โฮมเมด นี่ก็ตื่นเต้นมากทำอะไรไม่ถูก เลยสั่งมาลองชิม (ฮ่า ๆ ๆ ) กับเมนู “Italian Sausage Pasta” (195 บาท) เส้นพาสต้าคือเหนียวนุ่มมากกกกกกก ผัดกับซอสมะเขือเทศสูตรพิเศษ เสิร์ฟเคียงผักและชีส ท็อปด้วยไส้กรอกอิตาเลียนที่ใส่เนื้อแบบเน้น ๆ ยังไม่พอโรยพาร์เมซานชีสตบท้ายไปอีก ระดับความฟินพุ่งปรี๊ดทะลุเพดานมากค่ะ!

ขอข้ามโลกมาโซนเอเชียกันบ้างกับร้าน “Nagomi Tei” ซูชิระดับพรีเมียม ที่ใช้ข้าวญี่ปุ่นแท้ ๆ อิมพอร์ตมาจากฮอกไกโด และวัตถุดิบคุณภาพสูงที่คัดสรรส่งตรงจากญี่ปุ่นเท่านั้น! ซึ่งระดับแพรแล้วถ้าให้สั่งเป็นคำ ๆ มากินคงสั่งจนล้มละลายกันไปข้าง เลยเลือกที่จะไม่เสี่ยงและสั่งเป็นเซตกับเมนู “Sushi Deluxe” (900 บาท) ที่สาวกซูชิต้องตาลุกเพราะพูดเลยว่าคุ้มมากกกก กอไก่ล้านตัว จ่ายเพียง 900 บาท แต่ได้ซูชิแบบพรีเมียม 16 คำ! ไม่ว่าจะเป็น Otoro, Chutoro, Aburi Salmon, Toro Salmon, Maguro, Gunkun Ikura, Gunkun Uni, Unagi, Tamagoyaki และ Hotate ซึ่ง Otoro กับ Gunkun Uni เทกซ์เจอร์สดมาก หวานมันละลายในปาก ได้กินแค่สองคำนี้ก็คุ้มแล้วล่ะค่ะ

จานต่อไปนี้แฟนคลับฟัวส์กราส์ต้องร้องกรี๊ด กับเมนู “Fois Gras Donburi with Cavier Topping” (580 บาท) ข้าวญี่ปุ่นนุ่ม ๆ กินกับฟัวส์กราส์ชิ้นโตที่ผ่านการกริลล์มาอย่างดีจนได้กลิ่นหอมของรอยย่าง บวกกับรสชาติมัน ๆ นุ่มลิ้น แทบจะละลายในปาก ราดด้วยซอสหวานสูตรพิเศษ ปิดท้ายความอลังการด้วยการโปะคาเวียร์ลงไปเต็ม ๆ ลองกินสักคำรับรองว่าฟินแบบน้ำตาจะไหล


ปิดท้ายโซน “New Dining Experience” กับเมนูของหวานที่ร้าน “Tapas Bar by Uno Mas” ห้องอาหารสเปนชื่อดังจากโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งทุกเมนูเขาใช้วัตถุดิบที่อิมพอร์ตมาจากสเปนเท่านั้น เพื่อให้ได้รสชาติอาหารสเปนแบบต้นตำรับ และเมนูของหวานจากสเปนจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก “Churros with Dark Chocolate Dip” (110 บาท) หรือปาท่องโก๋แบบสเปนนั่นเองค่ะ ความกรอบนอกนุ่มในของแป้งที่ทอดมาอย่างดี คลุกกับน้ำตาลผสมซินนามอนหอม ๆ จิ้มกินกับซอสดาร์กช็อกโกแลตรสเข้มข้น เด็ดเบอร์แรงจนอยากจะร้องว่า Me Gusta!


เอาใจสายชิลล์ชอบราคาสบายกระเป๋ากันบ้างกับโซน “Street Food” ที่รวบรวมร้านดังในตำนานส่งตรงจากทั่วกรุงมากมาย จะเป็นสายชิลล์หรือสายช็อตก็ฟินได้ทั้งคาวหวาน มาค่ะกินวนยาวไป ยาวไป!

ด้วยความที่แพรเป็นกินดุคนหนึ่งจึงไม่สามารถขจัดความโลภในการกินได้ เลยเดินวนเลือกไม่ถูกอยู่พักใหญ่ ระหว่างคิดว่าจะกินอะไรเลยสั่ง “เจ๊ดาวหมูปิ้ง ตลาด อ.ต.ก.” มากินฆ่าเวลา กับร้านหมูปิ้งในตำนานที่เปิดกันมากว่า 30 ปี ส่วนรสชาติก็ไม่ต้องพูดถึงดีงามพระรามแปดมากค่ะ “หมูปิ้ง” (ไม้ละ 15 บาท) มันแทรกกำลังดี หมักซอสสูตรพิเศษของร้านจนเข้าเนื้อ ปิ้งจนหอมฟุ้งกินกับข้าวเหนียวร้อน ๆ แค่เอาข้าวเหนียวคลุกน้ำหมูปิ้งแล้วกินยังฟินเลยค่ะ
กินหมูปิ้งไปสักพักก็คอแห้ง หันไปเจอร้าน “เอี๊ยะแซเยาวราช” ร้านดังรุ่นใหญ่ การันตีรสชาติจากความเก๋าที่เปิดมาเกือบ 100 ปี! จุดเด่นคือกาแฟคั่วสดใหม่วันต่อวัน พูดกันขนาดนี้ไม่ลองก็คงผิดเลยสั่ง “กาแฟเอี๊ยะแซ” (40 บาท) มาชิมแก้ฝืดคอ กาแฟคือดีมาก เข้มข้น หอมหวานมัน ครบเครื่องในราคาย่อมเยาว์ ไปโดนกันเถอะค่ะ 40 บาทเท่านั้น!


ณ ตอนนี้ความอิ่มเริ่มโจมตีอย่างหนัก แต่เพื่อเพื่อน ๆ แพรจะสู้ต่อไปค่ะ ขอส่งท้ายโซนนี้ไปกับร้าน “ห่านท่าดินแดง” ห่านพะโล้ชื่อดังที่เปิดมาตั้งแต่ พ.ศ.2464 ส่งต่อสูตรเด็ดกันมารุ่นสู่รุ่น เลยขอสั่ง “ห่านพะโล้จานเล็ก” (200 บาท) มาพิสูจน์คำล่ำลือ และผลก็ออกมาเป็นเอกฉันท์ว่าเด็ดจริงอะไรจริงค่ะ เขานำห่านไปต้มทั้งตัวจนน้ำพะโล้เข้าเนื้อ นุ่มชุ่มฉ่ำ จะกินเปล่า ๆ ก็ได้หรือจะกินกับข้าวก็ตอบโจทย์ค่ะ

มากันที่โซนสุดท้ายที่สาว ๆ น่าจะกรี๊ดกันเป็นพิเศษ กับโซน “Sweet bar” ขนมหวานแบบจัดเต็มจาก 6 ร้านดัง แต่สำหรับวันนี้แพรขอเลือกมา 2 ร้าน คือความจริงก็อยากจะพลีร่างชิมเพื่อเพื่อน ๆ ให้ได้ทุกร้าน แต่ตอนนี้แพรได้แค่ขยับนิ้วจิ้มแทปเล็ตเพื่อสั่ง เพราะอิ่มจนขยับตัวไม่ได้แล้ว

มาค่ะ! กับร้านแรก “Rosemary by Madame Tuang” ผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารมากนาน ทั้งตำราอาหารและรายการทำอาหาร โดยเปิดร้านนี้เพื่อเติมเต็มความฝันที่อยากมีร้านอาหารเป็นของตัวเองค่ะ ถ้าพูดถึงร้านนี้สายกินแทบทุกคนก็คงต้องเคยเห็นผ่านตากันมาบ้าง กับเมนู “Black Magic with Honey” (2 ชิ้น 130 บาท) ขนมปังสีดำ ที่เพื่อน ๆ ก็คงคิดว่าคงไม่พ้นชาร์โคลล์ที่กำลังฮอตฮิตกันอยู่ตอนนี้ แต่ผิดค่ะ! เพราะร้านนี้เขาใช้สีจากหมึกดำมาทำขนมปังหมึกดำสูตรพิเศษที่นุ่มมากเวอร์ ด้านในสอดไส้ด้วยชีส เสิร์ฟมาตอนยังร้อน ๆ ชีสเลยเยิ้มกันแบบฟินกระจาย กินคู่กับน้ำผึ้งหอมหวานเข้ากันสุด ๆ เมนูนี้ห้ามพลาดจริงจัง จดเอาไว้เลยค่ะ
ขอจบแบบสวย ๆ ด้วยขนมหน้าตาดี๊ดีจากร้าน “PAUL” ขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศสดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงมากว่า 125 ปี สืบทอดสูตรกันมาถึง 5 รุ่นแล้ว แค่ฟังประวัติก็น่าจะการันตีรสชาติได้ไม่ยาก แต่เราอย่าไปเชื่ออะไรง่าย ๆ เลย ต้องกินค่ะจะได้รู้ ฮ่าาา ~ กับเมนู “Millefeuille Nature” (160 บาท) อ่านแบบเก๋ ๆ ว่า มีลเฟย นาตูร์ เป็นการสลับชั้นระหว่างแป้ง Puff Pastry กรอบ ๆ กับวานิลลาคัสตาร์ดครีมนุ่ม ๆ หอมกลิ่นวานิลลาละมุนมากกกก ตัดรสหวานด้วยสตรอว์เบอร์รีที่แทรกตัวอยู่ในคัสตาร์ด และท็อปด้านบนสวย ๆ กินเข้าไปทีอยากย้ายรกรากไปเป็นสาวปารีเซียงที่ฝรั่งเศสกันเลยทีเดียวค่ะ


วันนี้เหมือนได้ทำตามความฝันตามไอดอลเกาหลีสายกินอย่างซูบิน กินของดี ๆ กันจนตัวแตก แล้วกลับไปนอนอ้วนอย่างมีความสุข ~ สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่อยากลองมาเปิดประสบการณ์กินที่บริการดีราวกับร้านอาหาร 5 ดาว แถมไม่มีเซอร์วิสชาร์จ! และยังมีเมนูให้เลือกเพียบตั้งแต่ Street Food ยันซูชิระดับพรีเมียม การเดินทางก็ง่ายเวอร์แค่นั่ง BTS มาลงสถานีชิดลม ทางออก 5 มุ่งหน้าไปชั้น G เดินฝ่าโซนเครื่องสำอางค์เข้าไปก็จะเจอกับทางสู้สววรรค์ของสายกินที่ “Central Food Hall Chidlom” ไปลองแล้วอย่าลืมมาเขียนรีวิวอวดกันที่ Wongnai ด้วยเน้อ สำหรับวันนี้แพรขอไปนอนย่อยซึมซับความฟินก่อน บ๊ายบายค่ะ


