#วงในบอกมา
- "Cuisine de Garden" คือร้านอาหารแนว Molecular Gastronomy ร้านแรกในเชียงใหม่
- ก่อนเชฟแนนจะมาเปิดร้านทำอาหาร ตัวเชฟเองเคยเป็นนักออกแบบเฟอร์นิเจอร์มาก่อน
- อาหารทุกจานได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ตามคอนเซปต์ Nature Inspire Cuisine ของร้าน
สวัสดีครับเพื่อน ๆ ผมมีเรื่องราวที่อยากจะมาอวดที่กินเชียงใหม่ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกันมากเลย เรื่องมันก็มีอยู่ว่าวันนี้ผมได้มีโอกาสไปกินร้านอาหารเชียงใหม่แนว Molecular Gastronomy หรือจะให้อธิบายแบบง่าย ๆ ก็คืออาหารที่นำเอาองค์ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกับศิลปะและการทำอาหาร จนออกมาเป็นอาหารจานเด็ดที่มีความสวยงามและแปลกตา จนบางทีเราก็คาดเดาไม่ได้เลยว่า… เฮ้ย! นี่มันคืออะไรกัน? ว่าแล้วเราก็ไปดูกันดีกว่าครับว่าหน้าตาของอาหาร Molecular Gastronomy ที่ ร้าน Cuisine de Garden เชียงใหม่ ที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้จะว้าวสักแค่ไหน
ร้าน Cuisine de Garden เชียงใหม่ เป็นร้านอาหารเชียงใหม่ แนว Chef’s Table ที่เน้นเสิร์ฟเฉพาะอาหารแนว Molecular Gastronomy โดยเฉพาะ บรรยากาศในร้านนั้นร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพรรณทั่วทั้งบริเวณ ส่วนภายในส่วนห้องอาหาร ก็ออกแบบมาให้รู้สึกผ่อนคลายด้วยการเอาธรรมชาติเข้ามาแทรก รวมถึงจัดโต๊ะแบบห่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้มีความเป็นส่วนตัว
สำหรับอาหารของที่ร้านนี้ปกติแล้วจะขายเป็นคอร์ส โดยใน 1 คอร์สนั้นจะประกอบไปด้วยอาหารจำนวน 12 เมนู ใน ราคา 1,590 บาท/ท่าน ซึ่งในแต่ละช่วงฤดูเชฟก็จะมีการครีเอตเมนูให้ออกมาในแบบที่ไม่ซ้ำกัน โดยอาศัยว่าในช่วงเวลานั้น ๆ เชฟสามารถหาวัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาลเป็นอะไรมาได้บ้าง แหม่...แค่ฟังแค่นี้ก็เริ่มตื่นเต้นแล้วใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะรีวิวให้เพื่อน ๆ ได้ดูตัวอย่างสัก 6 เมนูก็แล้วกันถ้าพร้อมแล้ว เอ้า...กิน!
“Homemade Brioche” สำหรับเจ้าเมนูตัวนี้แค่เห็นหน้าค่าตาแล้ว ก็คงอธิบายไม่ยากว่ามันคือขนมปังรูปใบไม้นั่นเอง ซึ่งเชฟได้แรงบันดาลใจมาจากใบไม้ที่ร่วงอยู่บริเวณรอบ ๆ ของร้าน เสิร์ฟพร้อมกับครีมชีสและผงเห็ด เวลากินก็คือเอาครีมชีสไปทากับขนมปังแล้วก็เคี้ยวครับ ซึ่งจะทำให้เราได้รับรู้ถึงเทกซ์เจอร์ที่มีความเหนียวหนึบของขนมปัง ผสมกลิ่นหอมมันของครีมชีสเรียกว่าเอามาเรียกน้ำย่อยได้ดีเลยแหละ
เอ๊ะ ๆ เห็นเป็นแก้วอย่างนี้อย่านึกว่าเป็นกาแฟนะ เพราะเมนูนี้มีชื่อว่า “Corn Cappuccino” ดูภายในแก้วจะเป็นซุปข้าวโพดเข้มข้น ส่วนด้านบนนั้นก็ท็อปไปด้วยฟองนมสีขาวฟู โดยเวลากินเราจะยกขึ้นมาชดเฉย ๆ เลยก็ได้เพื่อให้ได้สัมผัสถึงรสชาติหวานข้นของข้าวโพดธรรมชาติ ที่ทำมาจากข้าวโพดของโครงการหลวง หรือจะหยิบเอาเวเฟอร์ข้าวโพดรมควันมาจุ่มลงไปแล้วก็กลับเข้าปาก ก็จะทำให้เราได้กลิ่นรมควันอ่อน ๆ ของเวเฟอร์ที่ผ่านการรมควันมาแล้ว ถือว่าเป็นไอเดียที่แปลกและเข้าท่าดีครับ
“ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” นี่คือชื่อของอาหารที่เราเห็นเป็นลูกกลม ๆ 2 ลูกวางอยู่บนจานนี้เลย โดยเจ้าเมนูนี้ทำมาจากเนื้อปลาช่อนสับหยาบคลุกซอสมะขาม แล้วจึงเอามาปั้นเป็นก้อนกลม ก่อนที่จะเอาไปคลุกกับข้าวเหนียวลืมผัวและใบมะขามอ่อนอย่างละลูก เพื่อให้คนกินได้ฟินกับ 2 แนวทางแห่งรสชาติในจานเดียว
สำหรับการต่อไปเนี่ยมันคือ Signature ของร้านนี้เลยครับ มันคือการใช้ศิลปะรวมกับการทำอาหารเพื่อออกมาเป็นเมนูที่มีชื่อว่า “The Nest” เมนูที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องของไข่และไก่ ผ่านกระบวนการความคิดอันแสนจะสร้างสรรค์ จนออกมาเป็นรูปร่างของไข่ที่วางอยู่บนกองฟางอย่างที่เราเห็นกันนี่แหละครับ
สำหรับด้านล่างก็จะเป็นเนื้อไก่ฉีกฝอยคลุกกับซอสที่เคี่ยวจากกระดูกไก่จนมีรสชาติที่เข้มข้น ถัดขึ้นมาที่เห็นเป็นกองฟางนั้นก็คือหมี่สมุนไพรกรอบ และที่อยู่ด้านบนกองฟางก็คือไข่ต้มออนเซ็น เอาละมาถึงวิธีการกินก็ไม่ยากเลยครับ เพียงเราตอกไข่ต้มออนเซ็นแล้ววางมันลงไปบนกองฟางที่ทำมาจากสมุนไพรกรอบ แล้วก็ตักกินเข้าไปแบบพร้อม ๆ กันรวมถึงชั้นล่างที่เป็นเนื้อไก่ฉีกฝอยด้วย ก็จะทำให้เราได้รับรสชาติที่ครบถ้วนมีหวานมีมันมีกรอบ เลิศเวอร์บอกเลย!
พอถึงคิวของหวานตอนที่เชฟเอามาเสิร์ฟให้ผมนี้ตกใจเลยครับ เพราะที่เห็นเนี่ยมันคือถาดที่เต็มไปด้วยก้อนหิน พอผมหันไปหาเชฟ เชฟก็หัวเราะเบา ๆ และบอกว่านี่คือเมนูที่มีชื่อว่า “Stone” โดยในถาดหินที่ผมเห็นอยู่ข้างหน้านี้ จะมีอยู่เพียง 1 ก้อนเท่านั้น ที่เป็นก้อนช็อกโกแลตสีดำสอดไส้ด้วยน้ํากระเจี๊ยบเข้มข้น ซึ่งผมก็เก่งพอที่จะแยกมันออกแล้วหยิบเข้าปาก จนได้เพลิดเพลินกับรสชาติความหอมมันและหวานอมเปรี้ยวจากเจ้าก้อนหินก้อนนี้ครับ
เอาล่ะผมขอปิดท้ายวันนี้เลยก็แล้วกันด้วยเมนู “Panacotta” ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดาครับ เพราะตัวพานาคอตตานั้นทำมาจากนมแพะ ซึ่งมีความหวานมันแบบกำลังดีและที่สำคัญไม่มีกลิ่นคาวนะครับไม่ต้องกลัว เสิร์ฟมาพร้อมกับโฟมนมที่เป็นแผ่นกรอบ (เก๋อีกแล้ว) และก้อนหิมะที่ทำมาจากนม เพิ่มรสชาติด้วยน้ำผึ้ง รวงผึ้ง และแมคคาเดเมีย นับว่าเป็นจานสุดท้ายที่สามารถล้างปากเราได้แบบฟินเวอร์จริง ๆ สำหรับมื้อนี้
นอกจากนี้ผมก็ยังมีเรื่องพิเศษมากระซิบบอกให้เพื่อน ๆ ได้รู้กัน นั่นก็คือ สำหรับลูกค้าที่ติดใจในรสชาติของเมนู Signature อย่าง “The Nest” ก็สามารถสั่งเมนูนี้ในแบบ A La Carte ได้ในราคาพิเศษพร้อมส่วนลด 30% จากปกติ 280 บาท เหลือเพียง 196 บาทเท่านั้น เพียงใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของ UnionPay โปรโมชั่นดี ๆ แบบนี้รู้แล้วอย่ารอช้ารีบ ๆ มาฟินที่ร้าน Cuisine de Garden เชียงใหม่ ด้วยกันดีกว่าครับ
การเดินทาง
- ใครอยากไปร้าน Cuisine de Garden เชียงใหม่ ก็ไม่ยากเลยครับ เริ่มจากถนนเส้นเลียบคันคลองชลประทาน ตรงมาเรื่อย ๆ เลยสี่แยกหนองควายไปทางสันป่าตองประมาณ 50 เมตร จากนั้นจะมีป้ายบอกซอยให้เลี้ยวทางซ้ายมือ ก็ให้เราเลี้ยวเข้าไปแล้วขับตามทางไปเรื่อย ๆ ประมาณ 1 กม. ก็จะเห็นร้านอยู่ทางซ้ายมือ
- เวลาเปิด-ปิด :: เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 12:00 - 15:00 น. และ 18:00 - 22:00 น.
- เบอร์ติดต่อ :: 081-774-1479