3 วิธีรักษาปัญหาหลุมสิว ให้หน้ากลับมาใส เรียบเนียนแบบเห็นผล
  1. 3 วิธีรักษาปัญหาหลุมสิว ให้หน้ากลับมาใส เรียบเนียนแบบเห็นผล

3 วิธีรักษาปัญหาหลุมสิว ให้หน้ากลับมาใส เรียบเนียนแบบเห็นผล

"หลุมสิว" ปัญหาใหญ่ที่ใครก็ไม่อยากให้เกิด เพราะนอกจากจะทำให้หน้าเรากลายเป็นรอย แต่งหน้ายากแล้ว ยัง "หายยาก" ด้วย! มาดูกันว่าเรารักษาด้วยตัวเองได้ยังไงบ้าง
writerProfile
8 พ.ย. 2016 · โดย

"หน้าไม่เนียน" เป็นปัญหาให้ที่ผู้หญิงอย่างเรากลุ้มใจสุด! เวลาแต่งหน้า จะทาแป้งก็ไม่ค่อยติด ต้องคอยเติมแล้วเติมอีก ส่วนหนุ่มๆ ก็ไม่กล้าอวดหน้าใส เพราะหลุมสิวบนหน้าเต็มไปหมดเลย

หลุมสิวคืออะไร?

สิวอักเสบ สิวหัวช้าง ทำให้คอลลาเจนในผิวถูกทำลาย และถึงสิวอักเสบจะหายแล้ว แต่มันก็จะกลายเป็นแผลเป็น ทำให้เกิดพังผืดมารั้งผิวหนังไว้จนทำให้กลายเป็นหลุมสิว

โอกาสทำให้เกิดหลุมสิวคือ?

  1. สิวหัวช้างเม็ดโตๆ
  2. สิวอักเสบรุนแรง
  3. ผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรียลุกลาม

สิวพวกนี้ถ้าขึ้นมานาน แล้วไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะทำให้ใต้ชั้นผิวหนังบริเวณนั้นเป็นหนอง เกิดเป็นโพรงขึ้นมา ยิ่งถ้ารักษาผิดวิธี เช่น หลายคนชอบไปบีบ แคะ แกะ เกา หรือปล่อยให้หายเอง จนเป็นแผล ผิวก็จะยุบตัว ทำให้คอลลาเจนภายในผิวลดลง จนกลายเป็นพังผืดขึ้นมาใต้รอยแผล กลายเป็นหลุมสิว

วิธีการรักษาแบบพื้นฐาน

พอผิวยุบตัวแล้วมีพังผืดมาคลุมแผลด้านบนผิว เราก็ต้องหาทางเอาพังผืดออก แล้วสร้างคอลลาเจนให้ผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม :D อ่านดูแล้วเหมือนจะง่ายนิดเดียว แต่ก็ไม่ง่ายเลยนะคะ

line

หลุมสิวแบ่งเป็น 3 ประเภท

1Rolling scar

แผลหลุมสิวแบบตื้นที่ เกิดจากการแกะ เกา มีขนาดกว้าง แต่ลึกถึงชั้นหนังแท้ เป็นหลุมสิวประเภทที่รักษาได้ง่าย 

หลุมสิว


     

2Box scar

 เกิดจากสิวอักเสบ แผลหลุมลึก ก้นหลุมไม่ลึกถึงรูขุมขน หรือชั้นหนังแท้

หลุมสิว


    

3Ice pick scar

แผลหลุมแบบปากแคบ แต่มีความลึกถึงรูขุมขน เกิดจากการกด หรือบีบสิวอุดตัน มีการทำลายลึกลงไปถึงผิวชั้นหนังแท้ ทำให้ส่วนผลิตคอลลาเจนหายไป ก็เลยจะรักษายากที่สุด

หลุมสิว
หลุมสิว

การรักษาหลุมสิว

หลุมสิวเป็นแผลที่รักษายากมากที่สุดถ้าเทียบกับปัญหาผิวแบบอื่น เวลาเป็น เราก็อยากรักษาให้หายเร็วๆ แต่ถ้าจะรักษาให้ได้ผลระยะยาว แบบไม่ทำร้ายผิว หรือเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด อาจต้องใช้เวลานมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความลึก และชนิดของหลุมสิว เพราะต้องให้คอลลาเจนสร้างเซลล์ขึ้นมาทดแทน เลยต้องมีการกระตุ้น เพื่อเรียกคอลลาเจนให้เนื้อเยื่อกลับขึ้นมา

ทุกวันนี้มีวิธีรักษาหลุมสิวหลายแบบก็จริง แต่การรักษาโดยไม่เจ็บตัว และไม่มีผลข้างเคียงนี่แหละที่เราต้องการ :)

line

การรักษาหลุมสิวมีแบบไหนบ้าง?

สมัยนี้มีวิธีรักษาหลายแบบ ยังไม่มีวิธีไหนช่วยให้หลุมสิวดีขึ้นได้ 100 % แต่เราจะมาแชร์วิธีรักษาที่หลายๆ คนนิยม และค่อนข้างง่ายค่ะ :D

1การทานยา - ทายาร่วมกับการกินวิตามิน

วิธีนี้ใช้เวลาค่อนข้างนานที่สุด หลายคนก็จะทานวิตามินควบคู่ไปด้วย เช่น วิตามินซี B5 และ Zinc แต่ผลเสียคือปากแห้ง ผิวแห้ง และถ้าใช้ต่อเนื่องนานก็จะส่งผลต่อตับ รวมถึงถ้าทายาติดต่อกันนานๆ จะทำให้ภูมิคุ้มกันของผิวเราลดลง ผิวจะบาง แสบ ระคายเคืองง่าย แล้วก็อาจทำให้ผิวติดสเตียรอยด์ได้อีก

2การทำเลเซอร์หรือใช้เครื่องมือช่วยในการรักษา

วิธีนี้จะเห็นผลไว แต่ค่อนข้างแพง ตอนนี้หลายๆ คลินิกก็มีคอร์สให้เลือกเยอะจนแทบเลือกไม่ถูกเลย ผิวบางคนอาจต้องใช้เวลาพักฟื้นผิวซักระยะนึง และอาจมีผลข้างเคียง เช่น แพ้ง่าย ผิวบาง ไวต่อแดด


3การใช้เซรั่มที่ช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลายผิว
อย่าง Dr.Sue Super DNA

dr.sue
dr.sue


ข้อสุดท้ายเป็นข้อที่สาวๆ ทุกคนถามกันเข้ามาเยอะที่สุดเลย ว่ามีอะไรรักษาหลุมสิวได้โดยไม่ต้องเลเซอร์ หรือมีครีมตัวไหนพอจะรักษาได้บ้าง

Serum : ซึ่งเป็น Serum ที่แทรกซึมได้ถึง DNA ของเซลล์ผิว ช่วยรักษา ฟื้นฟูเซลล์ผิวที่ถูกทำลาย เช่น ริ้วรอย ร่องลึก และหลุมสิว ทำให้ผิวมีการสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่จาก DNA ของผิวที่มีสุขภาพดี

โดยส่วนประกอบสำคัญหลักคือ เอนไซม์ T4N5 สกัดจากแบคทีเรีย Micrococcus Lutes ซึ่งอยู่ในสาหร่ายน้ำลึก และใช้ Liposome technology ในการห่อหุ้มส่วนของเอนไซม์ไว้ เพื่อนำเอาเอนไซม์ เข้าไปลึกถึงผิวหนังชั้นที่ลึกที่สุด และใช้ร่วมกันกับ Peeling gel ที่เป็นสารสกัดจาก AHA (กรดจากผลไม้ที่มีวิตามิน A) ซึ่งเป็นการสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวหนังด้านบนให้หลุดออก และดันตัวขึ้นมาบริเวณรอยหลุมสิว และทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ทั้ช่วยซ่อมแซมผิว และดันหลุมสิวให้เรียบขึ้น

ควรผลัดเซลล์ผิวอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง และใช้เซรั่มฟื้นฟูผิวก่อนนอนทุกคืน

dr.sue
line

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงรักษาหลุมสิว

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับฝุ่นละออง ควันรถ หรือควันโดยตรง เพราะจะมีแบคทีเรีย และคราบสกปรกมาอุดตันที่รูขุมขน ทำให้เกิดสิวอักเสบเพิ่มขึ้นอีก
  2. อย่ายุ่งกับใบหน้าเกินมากไป ไม่ว่าจะเป็น การแคะ แกะ เกา ลูบหน้า เช็ดหน้าแรงๆ เพราะในแต่ละวันมือของเราเจอสิ่งสกปรก และเชื้อแบคทีเรียมานับไม่ถ้วน
  3. ห้ามใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพราะจะทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่าย และพยายามกำจัดความันใบหน้า โดยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ เป็นเจล และมีส่วนผมของ Tree Tea Oil ที่ช่วยควบคุมความมัน และลดการเกิดไขมัน
  4. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์พวก Whithening เพราะหลายคนอาจจะยังเป็นสิว หรือมีอาการผิวติดสเตียรอยด์อยู่ จะทำให้ผิวไวต่อแดดได้
dr.sue
line

About Dr.Sue

dr.sue

ดร.ซูเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและอาหารเสริม จบปริญญาเอกจากคณะเภสัชศาสตร์ สาขาด้านเภสัชอุตสาหกรรม และสาขาผลิตภัณฑ์ดูแลผิว จาก แมสซาซูแซท คอลเลจ ออฟ ฟาร์มาซี บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา และสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเภสัชอุตสาหกรรม และได้ก่อตั้งบริษัท เจ.ที.ซี.อินเตอร์เทรด จำกัด (J.T.C. Intertrade Co.,Ltd.) ซึ่งเป็นผู้วิจัยผลิตภัณฑ์พร้อมทั้งรับจ้างผลิตภายใต้แบรนด์ต่างๆ

Website: http://www.drsueshop.com/
Facebook: DR.SUE
Call center: 02-790-1999
LINE ID: drsueshop

ปรึกษาปัญหาผิวได้ที่ : askdoctorsue@drsueshop.com