#วงในบอกมา
- ร้านตกแต่งสไตล์ Art Deco มีความวินเทจ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งจิบชาในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์อังกฤษ
- ทางร้านใช้ชาของ Ronnefeldt จากประเทศเยอรมนี โดยคัดเฉพาะชาที่มีกลิ่น และรสชาติเป็นเอกลักษณ์เท่านั้น
- “Morgentau Summer” ชาซิกเนเจอร์ที่โดดเด่นเรื่องกลิ่นจากดอกกุหลาบ ดอกทานตะวัน หอมถึงใจ ต้องลอง!

ตั้งแต่เกิดมาคงจะมีไม่กี่ครั้งที่เราจะได้นั่งจิบชาเพลิน ๆ ตามแบบฉบับผู้ดีอังกฤษเหมือนอย่างในหนัง หรือเรียกว่าไม่เคยเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่นับตอนซื้อชาในร้านสะดวกซื้อแล้วมโนเอาน่ะนะ~ วันนี้มีโอกาสที่จะได้เป็นผู้ดีอังกฤษจิบชายามบ่ายพร้อมขนมรสเลิศที่เสิร์ฟมาอย่างอลังการ แต่ใครอยากกินอาหารแบบจริงจังจัดหนักจัดเต็ม ร้านนี้ก็มีอาหารสไตล์อเมริกันคุณภาพไซส์เบิ้มคอยไว้รองรับนักกินอีกด้วย ว่าแล้วก็เข้ามาดูที่ร้าน “Sapphire Bar” กันเลย

ร้าน “Sapphire Bar” ตั้งอยู่ที่ชั้น G ของโรงแรม เดอะ สุโกศล อันหรูหรา เดินเข้าโรงแรมมาก็อยู่ด้านขวามือหาไม่ยากเย็น ร้านตกแต่งสไตล์ Art Deco โทนสีน้ำตาลเข้มจากพื้นไม้ ตู้ และของโบราณ ตัดกับสีครีมของเก้าอี้และพรม พร้อมสอดแทรกเรื่องราวที่น่าสนใจผ่านของโบราณที่ประดับประดาอยู่ในหลายจุดของร้าน ซึ่งคุณ น้อย วงพรู เป็นผู้ออกแบบการตกแต่งนี้ด้วยตัวเอง ทำให้เหมือนอยู่ในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์สักแห่งในประเทศอังกฤษ แถมยังเพิ่มความสวยงามจากแสงสีสว่างไสวของบาร์ที่มีเครื่องดื่มมากมายคอยต้อนรับ


ขอสวมรอยเป็นผู้ดีอังกฤษด้วยการจิบชายามบ่ายกับ “La Vie En Rose Afternoon Tea” (750++ บาท / 1,250++ บาท ได้ Sparkling Wine เพิ่มเข้ามา) เป็นเชตชาคู่กับขนมที่เสิร์ฟมาในภาชนะทรงปิ่นโต 3 ชั้น! โดยที่ร้านใช้ชาของ Ronnefeldt จากประเทศเยอรมนีแบบคัดเฉพาะ เราได้ลองชาซิกเนเจอร์อย่าง “Moegentau Summer” เป็น Green Tea ที่หอมจากดอกกุหลาบ ดอกทานตะวัน และข้าวโพด จิบแล้วหอม แฮปปี้สุด ๆ ~ และชาซิกเนเจอร์ “Rooibos Cream Orange” เป็นชาสมุนไพรที่ให้ความสดชื่น แถมได้กลิ่นส้มอย่างชัดเจน! เพราะมีการผสมส้มอบแห้งลงไปด้วย


ใครหิวแล้วก็เชิญมาทางนี้ เริ่มที่เมนูซิกเนเจอร์อย่าง “Hot Spinach And Bacon Dip” (290 บาท) กินโดยการนำขนมปังที่เสิร์ฟมากินกับ Dip ที่เป็นการนำผักโขม ชีส และเบคอนไปผัดก่อนนำไปอบ และท็อปด้วยเกล็ดขนมปังกรอบ แถมยังมีน้ำมันทรัฟเฟิลเข้ามาทำให้เมนูนี้พรีเมียม และหอมหวนขึ้นไปอีก!

ขอต่อกันยาว ๆ ด้วย “Beef Cheeseburger” (400 บาท) เบอร์เกอร์เนื้อวัวบดสไตล์อเมริกันเสิร์ฟคู่เฟรนช์ฟรายส์ชิ้นโต ตัวเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่มาก สะใจจริง ๆ เนื้อบดก็หอมนุ่มลิ้น บวกกับเบคอนชิ้นบางกรอบ ๆ บอกเลยว่าฟิน! ต่อด้วยเมนูที่ผมก็ชอบเหมือนกันอย่าง “Crispy Calamari” (290 บาท) เป็นปลาหมึกชุบเกล็ดขนมปังทอดสไตล์อิตาเลียน กรอบด้วยแป้งด้านนอก ส่วนตัวหมึกไม่ได้เหนียวแต่จะนุ่มมากกว่า จิ้มซอสออกเปรี้ยวกำลังดี


เมนูต่อมาคือ “Thai Marinated Salmon Cocktail” (310 บาท) เป็นยำแซลมอนกับอโวคาโด บอกเลยว่าจานนี้แซ่บมาก ไม่ได้ทำรสชาติมาเพื่อเอาใจชาวต่างชาติ แต่มันจัดจ้านสำหรับลิ้นคนไทยเลย! ปลาแซลมอนหั่นเต๋าพอดีคำ และสมุนไพรไทยครบเครื่อง เป็นเมนูที่ตัดเลี่ยนได้อย่างดีเยี่ยม!

และเมนูเอาใจคนรักแป้งอย่าง “Grilled Chicken Quesadillas” (290 บาท) อาหารสไตล์เม็กซิกันคล้ายพิซซ่า ตัวแป้งด้านนอกมีความกรอบด้านบน แต่ด้านในเหนียวนุ่ม สอดไส้ไก่ย่างมาเป็นชิ้น และหอมกลิ่นซัลซ่าอย่างลงตัว ขอปิดด้วยเมนูสายแป้งอีกอย่าง “Bruschetta” (200 บาท) ขนมปังชิ้นหนากรอบทาด้วยน้ำมันกระเทียมหอม ๆ ได้รสเค็ม กินพร้อมซัลซ่าสูตรพิเศษได้รสเปรี้ยว ก็กลมกล่อมเอามาก ๆ


หลังจากได้มาเปิดประสบการณ์จิบชายามบ่าย และอาหารอีกมากมายแล้ว ขอบอกเลยว่ามันดีจริง ๆ ในช่วงแรกก็จิบชาหอม ๆ นั่งคุยกับเพื่อนฝูงหรือคนรู้ใจไปอย่างออกรสออกชาติ พร้อมกินขนมรสเลิศสุดพรีเมียมที่คัดสรรมาอย่างดีในแบบฉบับ High Tea พอตกเย็นก็ขอซัดของหนักเข้ากระเพาะให้หนำใจด้วยอาหารหลากหลายสไตล์ที่ได้กล่าวไป ใครที่มองหาร้านชาแบบนั่งชิล ๆ แต่ก็มีอาหารมื้อหลักพร้อมเสิร์ฟ ผมก็ขอแนะนำร้าน “Sapphire Bar” ให้ทุกคนมาลองกันครับ
การเดินทาง
ร้านตั้งอยู่ที่ชั้น G โรงแรม เดอะ สุโกศล ห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีพญาไทเพียง 300 เมตร เท่านั้น หรือใครที่ขับรถมาเอง ทางโรงแรมมีที่จอดรถรองรับครับ