เอ...แล้วทำไมเราต้องสครับด้วยล่ะ?
ก็เพราะการสครับผิวนั้นเป็นการทำความสะอาดได้ล้ำลึกยิ่งขึ้นพราะจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วรวมถึงสิ่งสกปรกต่างๆที่อุดตันรูขุมขนอยู่ให้หลุดออกไปทำให้ผิวเนียนขึ้น กระจ่างใสและเวลาทาครีมก็จะซึมเข้าสู่ผิวได้ดีมากยิ่งขึ้น

นอกจากจะช่วยให้ผิวสะอาดแล้วยังช่วยในเรื่องของการหมุนเวียนโลหิตภายในให้หมุนเวียนได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผิวพรรณของคุณดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล
แล้วสครับมีกี่ชนิด?
หลักๆ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดค่ะคือสครับที่ผลิตจากธรรมชาติและสครับที่ผลิตจากกระบวนการทางเคมี
1.สครับที่ผลิตจากธรรมชาติ :

เนื้อสครับจะทำจากวัตถุดิบธรรมชาติเช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชซึ่งเราสามารถทำเองได้มีความปลอดภัยต่อผิว ไม่แพ้และไม่ระคายเคือง
2.สครับที่ผลิตจากกระบวนการทางเคมี :

เนื้อสครับจะทำมาจากสารสังเคราะห์เป็นเม็ดพลาสติกเคลือบ (Micro bead)ลักษณะเป็นเม็ดทรงกลมสาวๆ ต้องระวังเรื่องการแพ้และระคายเคืองมากกว่าสครับที่ผลิตจากธรรมชาตินะจ๊ะ
แต่รู้หรือไม่? ว่าถ้าสครับผิดวิธีก็อาจจะส่งผลเสียที่ทำลายผิวได้ง่ายๆ นะ

แล้วต้องสครับยังไงถึงจะถูกวิธีล่ะ?
สาวๆ ต้องสำรวจตัวเองก่อนนะคะว่าสภาพผิวของเราเป็นอย่างไรจะได้เลือกสครับให้เหมาะกับตัวเองยังไงล่ะ
ผิวแห้งจริงอยู่ว่าการสครับจะยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้นไปอีก แต่จริงๆ แล้วผิวแห้งก็ต้องการ การสครับเหมือนกันค่ะอาจจะต้องใช้เป็นสครับที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวและต้องเป็นเนื้อสครับที่อ่อนโยนและควรทำการสครับเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้ว

ผิวมัน
ผิวมันมักจะมีปัญหารูขุมขนกว้างและสิวเสี้ยนจึงควรเลือกสครับที่ช่วยกำจัดสิวเสี้ยนและช่วยกำจัดคราบไขมันในรูขุมขนออกไปสามารถสครับได้ถึง 2 ครั้งต่อสัปดาห์แต่ไม่ควรขัดถูแรง เพราะจะทำให้รูขุมขนกว้างยิ่งขึ้น

ผิวแพ้ง่ายคนที่มีผิวแพ้ง่ายต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมและแอลกอฮอล์เวลาที่สครับผิวต้องทำอย่างเบามือสุดๆไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ค่ะ

ผิวเป็นสิวพยายามหลีกเลี่ยงสครับที่มีกรดธรรมชาติสูงๆเช่น กรด AHA และ BHAเพราะอาจจะทำให้ผิวเกิดการอักเสบหรือทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้และควรหลีกเลี่ยงการสครับในบริเวณที่เป็นสิวเพราะอาจทำให้สิวเกิดการอักเสบแต่ทางที่ดีรอสิวหายแล้วค่อยสครับดีกว่าเนอะ

การสครับผิวใสให้ถูกวิธีต้องทำตามนี้นะ!!
● สครับผิวด้วยความนุ่มนวล และไม่ควรทำบ่อยจนเกินไปสครับหน้าเพียง 1-2 ครั้ง ต่อสัปดาห์ไม่งั้นริ้วรอยถามหาแน่ส่วนการสครับผิวกายแค่ 2 ครั้งต่อเดือนก็เพียงพอแล้วค่ะ

● สครับขัดหน้ากับขัดตัวควรแยกกันจริงๆ ถ้าจะเอาสครับขัดหน้ามาขัดตัวก็พอหยวนๆ นะแต่ถ้าเอาสครับขัดตัวมาขัดหน้านี่ไม่ควรอย่างยิ่งเพราะส่วนผสมอาจจะเข้มข้นกว่าหรือมีความหยาบมากกว่าหน้าพังได้ง่ายเลยนะจ๊ะสาวๆ

● จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเทสต์ไม่ว่าจะเป็นสครับขัดหน้าหรือขัดตัวควรที่จะมีการทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนโดยนำมาทดลองขัดที่หลังมือถ้าไม่แพ้ ไม่แสบผิว ก็โอเค ใช้ได้เลย

● ในขณะกำลังสครับผิวหน้า ควรขัดเบาๆโดยใช้มือขัดในลักษณะถูเป็นวงกลมเล็กๆไล่ให้ทั่วใบหน้า โดยเน้นที่บริเวณหน้าผากจมูก และคางเป็นพิเศษ เนื่องจากในบริเวณดังกล่าวมักจะเกิดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งทำให้เกิดสิวขึ้น

● ไม่ควรสครับผิวหน้านานจนเกินไปควรใช้เวลาในการขัดประมาณ 10-15 นาทีหรือน้อยกว่านั้นก็เพียงพอแล้ว

● ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการสครับผิวมากที่สุดคือ เวลากลางคืน เพราะหลังจากที่เราทำการสครับผิวเสร็จแล้ว ในขณะที่นอนหลับเซลล์ผิวของเราจะได้ทำการซ่อมแซมฟื้นฟู จากการสูญเสียที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำการสครับ

● หลังจากสครับผิวหน้าและกายเสร็จแล้วควรบำรุงผิวด้วยครีม หรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวของเรา

● ควรหลีกเลี่ยงการสครับผิวหากจำเป็นต้องไปในสถานที่ที่มีแสงแดดจัด เช่น ทะเลไม่ควรสครับผิวอย่างน้อย 48 ชั่วโมงก่อนไปในบริเวณที่มีแสงแดดจัดๆเพราะการสครับจะทำให้ผิวเราบางลงผิวจึงมีความไวต่อแสงแดดมากขึ้นตามไปด้วย

● แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็จำเป็นต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 15 ขึ้นไปเมื่อจำเป็นที่จะต้องออกไปข้างนอกบ้าน

● ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์สครับที่มีส่วนผสมของกรดอัลฟา ไฮดรอกซี (Alpha hydroxyl acids)ที่มากจนเกินไป เพราะถึงแม้ว่ากรดดังกล่าวจะมีฤทธิ์ในการช่วยผลัดเซลล์ผิวแต่หากใช้ในปริมาณมากจนเกินไปจะเกิดการกระตุ้นให้ผิวหนังผลัดเซลล์อยู่ตลอดเวลาผิวจึงถูกทำลายมากกว่าที่ควรจะเป็น

เป็นยังไงจ๊ะ กับเคล็ดลับการสครับผิวให้สวยใสราวกับสาววัยละอ่อน ทำตามได้ไม่ยากใช่มั้ยล่ะ

แต่ถ้าสาวคนไหนไม่สันทัดการสครับหน้าเองที่บ้านลองไปใช้บริการนวดหน้าที่ HERS Clinic ดูสิเธอมันฟินมว๊ากกกก คอนเฟิร์ม!!!!!!!!
ภาพประกอบจาก : //www.pinterest.com