“รวมความอร่อยของอาหารอีสานและอาหารใต้มาไว้ในร้านเดียวกัน”
“ระเบียงแซ่บ” ร้านอาหารที่รวมความอร่อยของอาหารสองภาค คือ “ อาหารอีสาน” และ “อาหารใต้” ที่ขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติจัดจ้านมาไว้ในร้านเดียวกัน โดยมีพ่อครัวอาหารใต้และพ่อครัวอาหารอีสานคอยปรุงอาหารของทั้งสองภาคโดยเฉพาะ ไม่ปะปนกัน จึงทำให้อาหารของ “ระเบียงแซ่บ” มีรสชาติเหมือนต้นตำรับแท้ๆ ไม่มีผิดเพี้ยน และวัตถุดิบต่างๆ ที่ใช้ในร้าน “ระเบียงแซ่บ” ก็มั่นใจได้ในคุณภาพและความสด เพราะเจ้าของร้านลงทุนไปเลือกวัตถุดิบที่ตลาดไทด้วยตนเอง เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้วัตถุดิบที่ดีที่สุดมาทำอาหารเสิร์ฟลูกค้า นอกจากนี้ทางร้านยังมีห้องเย็นไว้ใช้เก็บรักษาวัตถุดิบต่างๆ อีกด้วย ของทุกอย่างจึงยังคงความสดและใหม่อยู่เสมอ เช่น เนื้อปูก้อนใน “น้ำยาปู” เป็นต้น
และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อาหารของร้าน “ระเบียงแซ่บ” อร่อยแบบขอดก้นจาน คือ การพิถีพิถันเลือกใช้วัตถุดิบมาปรุงเป็นอาหารแต่ละจาน ซึ่งจะต้องมีเคล็ดลับในการเลือกสรรกันเล็กน้อย เช่น การใช้มะนาวอ่อนๆ เปลือกเขียวที่ให้กลิ่นหอมกว่ามะนาวเปลือกเหลืองหรือมะนาวสุก มะขามแก่ที่ให้กลิ่นและรสมะขามชัดเจน หรือหัวปลีลูกโตที่ให้รสมันกว่าหัวปลีลูกเล็ก และการใช้ปูนาสด ที่สะอาดกว่าปูนาดอง สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ในการจะปรุงอาหารให้อร่อย ซึ่ง “ระเบียงแซ่บ” ใส่ใจถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ จึงทำให้อาหารทุกจานอร่อยแบบมีมิติในรสชาติ ไม่เพียงแค่เค็ม เปรี้ยว หวาน หรือเผ็ดแบบพื้นๆ เท่านั้น แต่ในความเค็ม เปรี้ยว หวาน และเผ็ดนั้น ยังมีรสชาติลับๆ ซุกซ่อนอยู่ ซึ่งเกิดจากการเลือกใช้วัตถุดิบต่างๆ อยากหลากหลายนั่นเอง
“คัดสรรวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยลงตัว”
เริ่มที่เมนูแรกกันเลย เป็นเมนูกินเล่นเพลินๆ แต่อร่อยจริงจัง “ทอดมันหัวปลีออร์แกนิค” (ราคา 150 บาท) ที่เลือกใช้หัวปลีที่มีขนาดใหญ่ เพราะให้รสชาติที่มันกว่าหัวปลีมีขนาดเล็ก ความอร่อยของเมนูนี้ นอกจากจะอยู่ที่ความมันของหัวปลีแล้ว ยังเกิดจากการคลุกเคล้าหัวปลีเข้ากับแป้งผสมกับน้ำพริกแกงแดง แล้วนำไปทอดจนกรอบ กลายเป็นทอดมันหัวปลีรสชาติเค็มๆ มันๆ เหมือนเฟรนช์ฟรายแบบไทยๆ จะกินเปล่าๆ ก็อร่อย หรือจะจิ้มกับน้ำจิ้มทอดมันเปรี้ยวอมหวานแล้วยิ่งเข้ากัน
จากนั้นมาต่อกันที่ “เนื้อแดดเดียว” (ราคา 150 บาท) ซึ่งที่ร้าน “ระเบียงแซ่บ” ใช้เนื้อโคขุนส่วนเนื้อหนอก ซึ่งเป็นส่วนที่มีไขมันแทรกเป็นลายหินอ่อนตลอดทั้งชิ้น เนื้อจึงค่อนข้างมีความนุ่มกว่าเนื้อส่วนอื่น ที่สำคัญเนื้อหนอกนี้มีความพิเศษตรงที่ จากวัวทั้งตัวจะได้เนื้อส่วนนี้เพียงแค่ประมาณ 4 กก. เท่านั้น ซึ่งทางร้านจะนำเนื้อมาหมักแล้วเอาไปตากแดดจนแห้ง กลายเป็นเนื้อแดดเดียวเหนียมนุ่มเคี้ยวเพลิน โรยหน้าด้วยใบมะกรูดทอดและพริกแห้งทอดกรอบกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ
และเมนู “เนื้อแดดเดียว” จะยิ่งอร่อย ถ้าสั่งส้มตำรสจัดๆ อย่าง “ตำแซ่บแน่” (ราคา 150 บาท) มากินคู่กัน เพราะส้มตำจานนี้เป็นส้มตำปูปลาร้าที่ใช้มะละกอพันธุ์ดำเนินเนื้อสดกรอบ แล้วปรุงรสให้แซ่บซี้ดจัดจ้านด้วยปลาร้าอย่างดีและปูนาสด ปรุงรสให้เปรี้ยวด้วย “มะนาวเปลือกเขียว” เท่านั้น เพราะมะนาวเปลือกเขียวจะให้กลิ่นที่หอมกว่ามะนาวที่เปลือกเป็นสีเหลือง หรือมะนาวที่สุกแล้ว แล้วเสริมรสชาติของส้มตำให้อร่อยซับซ้อนยิ่งขึ้น ด้วยมะเขือเครือที่รสออกเปรี้ยว ตามด้วยะมะอึกที่มีรสขื่นเล็กน้อย แต่เมื่อใส่ลงในส้มตำแล้ว มะอึกกลับช่วยชูรสให้ส้มตำอร่อยยิ่งขึ้น...อัดแน่นไปด้วยเครื่องปรุงตามมาตรฐานอีสานแท้ๆ ขนาดนี้ “ตำแซ่บแน่” จึงมีน้ำส้มตำเป็นสีดำเข้มข้น ซึ่งเป็นสิ่งที่บอกให้คนชอบกินส้มตำรู้ว่า “ส้มตำ” จานนี้อร่อยแน่ๆ นัวแน่ๆ
มาที่อาหารใต้กันบ้าง กับเมนูที่หอมกลิ่นเครื่องแกงลอยมาแต่ไกล อย่าง “ขนมจีนน้ำยาปู” (ราคา 250 บาท) ขนมจีนน้ำยาสูตรปักษ์ใต้แท้ รสชาติเข้มข้น เพราะเครื่องแกงส่งตรงมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราชกันเลยทีเดียว ทำให้ได้กลิ่นและรสชาติที่เผ็ดร้อนแบบแกงใต้ขนานแท้ ผนวกเข้ากับกลิ่นขมิ้นที่ยิ่งทำให้หอมหวลชวนลอง แถมยังเพิ่มความหอมและรสชาติเฉพาะตัวด้วยใบชะพลูและโหระพา น้ำยาปูถ้วยนี้จึงยิ่งมีกลิ่นหอมหวลชวนให้หิว บวกกับการเลือกใช้เนื้อปูก้อนที่คัดมาแล้วว่าสดจริง ความอร่อยก็ยิ่งดับเบิ้ลเสิร์ฟพร้อมขนมจีนนุ่ม และผักสดช่วยดับความเผ็ด
ปิดท้ายด้วยเมนูน้ำพริกกินคู่กับผักสดชนิดต่างๆ กันบ้างๆ กับเมนู “ปลาอินทรีทอดน้ำปลา - น้ำพริกมะขาม” (ราคา 250 บาท) น้ำพริกมะขามกลิ่นหอมน่ากิน เพราะใช้มะขามสดๆ ซึ่งเคล็ดลับของร้าน คือต้องใช้มะขามแก่ๆ เท่านั้น จึงจะให้กลิ่นหอมและให้รสชาติมะขามเข้มข้น นำมาตำกับหมูสับและหมูกรอบชิ้นเล็กๆ พอดีคำ เสิร์ฟคู่กับ “ปลาอินทรีทอด” เนื้อนุ่มๆ และผักสดต่างๆ เช่น ขมิ้นอ่อน แตงกวา ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว และถั่วหวาน แล้วยังมีผักพื้นบ้านอย่าง ดอกขจร ผักติ้ว ใบบัวบก มะเขือไข่เต่า และผักกาดสร้อย เป็นเมนูที่ได้อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์จริงๆ โดยเฉพาะเส้นใยและวิตามินนานาชนิดจากผักและน้ำพริกมะขาม
“ของหวานอร่อยๆ ทั้งไทยและเทศ”
จบจากอาหารคาวแล้วก็มาต่อด้วยของหวานกันดีกว่า ถ้าชอบแบบฝรั่ง ก็ต้อง “บราวนี่แมคคาเดเมีย” (ราคา 95 บาท)เป็นบราวนี่ที่เจ้าของร้านสั่งตรงขึ้นเครื่องมาจาก “ต้องตาแอนด์ตะวันเบเกอรี่” ร้านเบเกอรี่แบบเทคโฮมเจ้าดังที่เชียงใหม่ เป็นบราวนี่ที่อร่อยมากๆ แม้จะเดินทางมาไกล แต่ก็เมื่อนำไปอบให้ร้อน เนื้อบราวนี่ก็ยังกรอบนอกนุ่มในแทบจะละลายในปาก รสชาติหวานๆ ขมๆ เต็มรสช็อกโกแลต เสิร์ฟพร้อมวิปครีมนุ่มๆ และกล้วยหอม
แต่ถ้าขอบของหวานแบบไทยๆ ก็ต้อง “ลอดช่องวัดเจษ” (ราคา 60 บาท) เส้นลอดช่องเล็กเรียวเหนียวนุ่ม น้ำกะทิหวานมัน อร่อยไม่ทิ้งมาตรฐานลอดช่องวัดเจษ กินกับน้ำแข็งใสเย็นๆ ที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ ยิ่งอร่อยชื่นใจดับร้อน
ส่วนเครื่องดื่มของร้าน “ระเบียงแซ่บ” ก็อร่อยไม่น้อยหน้าเมนูอาหารคาว เพราะมีเคาน์เตอร์กาแฟตั้งอยู่ภายในร้านด้วย หากเพิ่งเคยมาร้านนี้ครั้งแรก แล้วเห็นแต่เคาน์เตอร์กาแฟ ก็อาจเข้าใจผิดว่า ที่นี่เป็นร้านกาแฟก็ได้ และกาแฟของ “ระเบียงแซ่บ” ก็อร่อยเข้มข้นหอมกรุ่นกลิ่นกาแฟ อาทิ "เลมอนชีส" (ราคา 85 บาท) รสชาติเปรี้ยวอมหวาน หอมมันกลมกล่อมกำลังดี และ "Espresso with Black Jelly" (ราคา 80 บาท) หรือ กาแฟเย็นใส่เฉาก๊วย ที่เข้มข้นเต็มรสชาติกาแฟ เพราะทางร้านใช้กาแฟดอยช้าง กาแฟคุณภาพของไทย แล้วเพิ่มความหวานพร้อมรสสัมผัสหนึบหนับเคี้ยวเพลินของเฉาก๊วยลงไปให้กาแฟแก้วนี้อร่อยมากขึ้นอีกเท่าตัว
Espresso with Black Jelly
เลมอนชีส
” ซึ่งนอกจากจะได้อร่อยกับอาหารจานเด็ดแล้ว ยังได้ผ่อนคลายกับบรรยากาศสบายๆ เหมือนอยู่บ้าน และร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ล้อมรอบตัวร้านอีกด้วยระเบียงแซ่บถ้าชื่นชอบอาหารไทยอีสานและอาหารใต้รสชาติจัดจ้านแบบต้นตำรับแท้ๆ ไม่ควรพลาดร้าน “
