ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลงนะครับ แต่เห็นเป้งกระดี๊กระด๊าแบบนี้ รอบนี้เรียกได้ว่าขึ้นแบบสุด ๆ พุ่งปรี๊ดถึงดวงดาวเลยทีเดียว เพราะหลังจากหาเวลาว่างจากงานมากินอย่างเนิ่นนานและกว่าจะจองคิวที่ร้านสุดแน่นได้ (นานกว่าหาวันว่างอีก) ในที่สุดเราก็ได้เวลามาสัมผัสประสบการณ์ซูชิเทพ ๆ ที่ Sushi Zo ที่ซ่อนตัวอยู่ชั้น G ของตึก Athenee Tower ย่านเพลินจิตกันแล้วครับ!
Sushi Zo เป็นร้านซูชิที่ก่อตั้งโดยเชฟ Keizo Seiki เชฟชาวโอซากา-โตเกียว ผู้มีประสบการณ์ในวงการซูชิกว่า 25 ปี ร้านสาขาแรกบินไปเปิดไกลถึง Los Angeles สหรัฐอเมริกา ก่อนจะดังเป็นพลุแตกเมื่อได้รับดาวมิชลินในปี 2009 และเปิดสาขาต่อ ๆ มาในกรุง New York พร้อมรับดาวมิชลินในสาขาที่ 2 ในปี 2016 มีดาวมิชลินถึงสองสาขาขนาดนี้ เรียกว่าไม่ธรรมดามาก ๆ เลยครับ

สำหรับ Sushi Zo สาขากรุงเทพฯ เป็นที่แรกในเอเชียครับ ตกแต่งอย่างเรียบ ๆ เป็นซูชิบาร์สไตล์ญี่ปุ่น มี 12 ที่นั่งเท่านั้น Executive Chef ของที่นี่คือคุณ Toshi Onishi เชฟมากฝีมือชาวฮอกไกโดพร้อมประสบการณ์กว่าสิบปีในวงการซูชิเช่นกัน เชฟได้รับความไว้วางใจจากคุณ Keizo ให้ดูแลสาขานี้ โดยเมนูของที่นี่เป็น “Omakase” (7,000 บาท++) หรือ “เมนูตามใจเชฟ” 18 คอร์ส ซึ่งต้องจองคิวพร้อมแจ้งจำนวนคนกับทางร้านล่วงหน้าครับ วัตถุดิบของที่นี่รับรองได้ว่าเป็นวัตถุดิบชั้นยอดที่จับสด ๆ จากทะเลทั่วญี่ปุ่น ซึ่งทางร้านคัดสรรและสั่งในวันเดียวกันที่จับ บอกเลยว่าปลาเป็นปลา หอยเป็นหอยแน่นอน


มาดูเมนูของ Sushi Zo กันเลยครับ คู่แรกเริ่มกันเบา ๆ กับ “Mozuku” จากโอกินาวาที่ใช้สาหร่ายโมสึกุเป็นเส้น ๆ หมักในซอสเปรี้ยว ผสมกับหอมแดง แตงกวาและดอกชิโสะ รสเปรี้ยวประเดิมเรียกน้ำย่อยได้ดีทีเดียว และ “Uni Ika” ที่ทางร้านใช้ไข่หอยเม่นบาฟุนสด ๆ จากฮอกไกโด คลุกกับเนื้อปลาหมึกกล้วยคิวชูที่หั่นเป็นเส้นแบบราเมง โรยด้วยเกลือทรัฟเฟิลสองชนิด ให้เราได้สัมผัสความนุ่มหนึบของเนื้อหมึก พร้อมเจือรสเค็มนิด ๆ และความหอมของทั้งเกลือทรัฟเฟิลขาวและทรัฟเฟิลดำ ที่ใส่ลงไปอย่างละครึ่งให้เกิดสมดุลของรสชาติ


แล้วก็เข้าสู่ซูชิของร้าน Sushi Zo นะครับ ข้าวซูชิและน้ำหุงที่นี่นำเข้าจากฮอกไกโด บ้านเกิดของเชฟ Toshi ทั้งหมด ทั้งนุ่มทั้งหอมเลยทีเดียว จานแรกเป็น “Hirame” หรือปลาตาเดียวจากอาโอโมริ ปรุงรสด้วยการโรยเกลือทะเลบาง ๆ เหยาะซอสยูสุและเปลือกส้มยูสุสฝาน เป็นความ melt-in-your-mouth ที่ตัดเลี่ยนด้วยรสเปรี้ยวและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของส้มยูสุ อีกจานเป็น “Bonito” หรือปลาโอลายจากคาโกะชิมะ เบิร์นด้วยเวลาเพียง 2 - 3 วินาทีให้พอเกรียมนอกสดใน ปรุงรสด้วยขิงสับละเอียดให้กลิ่นหอม ต้นหอมและซอสพอนสึรสเปรี้ยวนิด ๆ


จานต่อมาเป็นคู่กันระหว่าง “Chutoro” ซูชิเนื้อปลาทูน่าชิ้นมัน ซึ่งระเบิดความมันและนุ่มแบบไม่ต้องมีฟันก็ฟินได้ครับ นุ่มมากและหอมมันอย่างที่สุด คู่กับ “Akami” ซูชิเนื้อส่วนสีแดงสดปลาทูน่า ซึ่งทางร้านเลือกแล่ออกมาให้ติดมันนิด ๆ ด้วยครับ ทั้งสองชิ้นเป็นปลาทูน่าจากตลาดปลาซึกิจิในโตเกียว ซึ่งคุณ Toshi บอกว่าตัวนี้หนักถึง 280 กิโลกรัมเลยทีเดียว!


ก่อนจะไปถึงช่วงพักครึ่ง จานสุดพีคที่เราได้กินกันในรอบนี้คือ “Smoked Madai” ซูชิเนื้อปลากะพงน้ำลึกจากคิวชูรมควัน แค่ยกเสิร์ฟก็เด็ดแล้วกับฝาครอบ ซึ่งเนื้อปลานั้นแม้จะรมควันมาก่อนแล้ว แต่เพื่อความไม่ขาดตอน ทางร้านจึงอบควันมาให้ด้วยแบบถึงมือเลยครับ เนื้อปลานุ่ม ๆ ออกเค็มและหอมควัน เด็ดมาก ๆ


มาต่อกันกับครึ่งหลังอย่าง “Shima Aji with Shishito Peppers” ซูชิปลาเนื้อขาวเนื้อกรอบจากโตเกียวที่ปรุงรสด้วยพริกชิชิโตะ ให้รสฉุนซ่าลิ้นนิด ๆ ประกอบกับกลิ่นปลา พร้อมกับ “Abalone” หอยเป๋าฮื้อจากฮอกไกโดกรุบ ๆ สด ๆ เสิร์ฟมาในเปลือก พร้อมเพสต์ที่ทำจากตับหอยเป๋าฮื้อเอง เป็นการพบกันระหว่างเทกซ์เจอร์นุ่มกรุบและรสเข้ม ๆ ของเพสต์เป็นเมนูเปิดครึ่งหลังได้อย่างอลังการทีเดียว


ต่อมาเป็นความมันระดับพระกาฬของ “Uni 2 Kinds” ซูชิไข่หอยเม่นสองชนิด คือมุราซากิอุนิ (ด้านซ้าย) ก้อนยักษ์จากฮาโกดาเตะ เป็นไข่หอยเม่นที่มีความครีมมี่และรสชาติจัดกว่า ในขณะที่บาฟุนอุนิ (ด้านขวา) จะเกาะตัวเป็นก้อนมากกว่าและรสชาติคลีนกว่าครับ เชฟ Toshi บอกว่าผู้ชายจะชอบมุราซากิ ในขณะที่ผู้หญิงจะชอบบาฟุนมากกว่า น่าสนใจทีเดียว แต่แน่นอนว่าทั้งสองจานมีความเด็ดในแบบของตัวเอง ระเบิดความมันในปากที่แท้จริง

อีกคำหนึ่งเป็น “Ika” ซูชิหมึกกล้วยเด้ง ๆ จากคิวชู ท็อปด้วยยูสุโคโชที่เสริมความกรุบด้วยกลิ่นหอมของส้มยูสุเจ้าเก่า และ “Mejina with Miso Sauce” ปลาเมจินะเนื้อกรุบจากคิวชูเบิร์นหอม ๆ ด้วยถ่านไม้ราดด้วยซอสมิโสะรสหวานกลมกล่อม ทั้งรสและกลิ่น ประกอบกับผิวปลานุ่ม ๆ คือความฟินอย่างที่สุด


นอกจากนี้ยังมี “Iwashi” ซูชิปลาซาร์ดีนจากฮอกไกโดที่จับในช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือช่วงพฤษภาคมถึงสิงหาคม ย่างสด ๆ ด้วยถ่านไม้เป็นก้อนให้มีกลิ่นหอมของไม้และปลาย่าง ปรุงด้วยขิงดอง ต้นหอม ซอสโชยุน้ำส้มยูสุ เป็นประสบการณ์ทั้งกลิ่น เทกซ์เจอร์และรสชาติกลมกล่อมเปรี้ยวตัดเค็มในเวลาเดียวกัน และ “Anago” จากซึชิมะ ระหว่างเกาหลีและญี่ปุ่น มาจากตัวปลาไหลขนาดกว่า 90 ซม. เพื่อความนุ่มและเทกซ์เจอร์ หมักในน้ำสต็อกปลาไหลเป็นเวลา 20 นาทีและปรุงรสด้วยเกลือ รับรองว่าเป็นรสชาติปลาไหลคุณภาพแท้ ๆ เลยครับ


เราเข้าโค้งสุดท้ายของเมนูของคาวกันด้วย “Ikura” ข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอนมัน ๆ จากฮอกไกโด หมักซอสสูตรเฉพาะที่ไม่ต้องบรรยายอะไรให้เสียเวลาถึงรสชาติและความฟิน และปิดท้ายด้วย “Handroll Toro” ซูชิโรลที่ใช้สาหร่ายพันข้าวปั้นจากตลาดซึกิจิ เนื้อ Chutoro สับละเอียด และไชเท้าดองสีเหลืองไว้ด้วยกัน เป็นการพันและพับปลายอย่างเรียบร้อยสามารถถือกินได้เลยครับ กัดเข้าไปจะสัมผัสกลิ่นสาหร่าย เนื้อข้าวนุ่ม ๆ พร้อมความมันแบบเต็มลิ้นของ Chutoro ตัดเลี่ยนด้วยรสเค็มของผักดอง เป็นการปิดมื้อของคาวอย่างสมบูรณ์ครับ


“Miso” ที่กินตอนปิดมื้อเองก็มีความพิเศษด้วยซุปมิโสะที่ต้มพร้อมกับโรยผิวส้มยูสุและพริกป่นญี่ปุ่น เป็นรสกลมกล่อมที่มีทั้งเค็ม เปรี้ยวและรสเผ็ดจาง ๆ แซมให้ซ่าลิ้นเช่นกันแก้เลี่ยนครับ และส่งท้ายประสบการณ์การกิน Omakase อย่างสมบูรณ์แบบด้วย “Dessert” กล่องของหวานที่จัดมาอย่างสวยงาม ประกอบด้วยไอศกรีมนมฮอกไกโด โมจิยูสุชิ้นนุ่มหนึบ ไข่หวานแก้เลี่ยนและผลไม้ตามฤดูกาลครับ พร้อม “Matcha” สูตรพิเศษของทางร้านที่ได้แรงบันดาลใจจากพิธีชงชาแบบดั้งเดิมครับ


จบมื้อไปอย่างสวยงามกับ Sushi Zo หนึ่งในสุดยอด Omakase ระดับมิชลินสตาร์ ทุกอย่างที่คนรักซูชิอยากกินก็ได้กิน ด้วยคุณภาพที่ดีมากจากทั้งวัตถุดิบสด ๆ จากทั่วญี่ปุ่น ผ่านฝีมือเชฟยอดฝีมืออย่างเชฟ Toshi บอกเลยว่าฟินมากแบบถึงจุดสุดยอดทางอาหารญี่ปุ่นเลยทีเดียว ถ้าใครอยากตามมากินกันขอเชิญได้ที่ Sushi Zo ชั้น G ตึก Athenee Tower ครับ ไปเลย!
การเดินทาง
ร้านตั้งอยู่ที่ชั้น G Athenee Tower เดินเข้าตึกจากทาง Plaza Athenee แล้วเลี้ยวซ้ายถึงเลยครับ