นอกจากทรงผมจะมีอิทธิพลต่อใบหน้าแล้ว เส้นผมก็มีความสำคัญไม่แพ้กันเลยค่ะ เพราะการมีเส้นผมที่มีน้ำหนัก ดูสุขภาพดี จะช่วยเสริมให้เรามีบุคลิกภาพที่ดียิ่งขึ้น และไม่ว่าจะตัดผมทรงไหน ผมก็พริ้วสวย ดูมีวอลุ่มแบบไม่ต้องเสียเวลาเซต ซึ่งต้องบอกเลยค่ะว่าการจะตัดสินว่าผมสวยหรือผมเสียนั้น แท้จริงแล้วไม่สามารถตัดสินได้ด้วยตาเปล่า เพราะบางคนหากมองแค่ภายนอกอาจมีเส้นผมที่นุ่มลื่น เงางามก็จริง แต่โครงสร้างภายในอาจจะพังกว่าคนที่มีผมแห้งแตกปลายเสียอีก
วันนี้ Wongnai Beauty เลยถือโอกาสพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเส้นผมของตัวเองให้มากขึ้น ผ่านการทำ Hair Porosity Test หรือการทดสอบความพรุนของเส้นผม ที่สามารถบ่งบอกได้ว่าสภาพเส้นผมของเราเป็นอย่างไร พร้อมแจกโพยเลือกแฮร์แคร์ให้เหมาะกับสภาพเส้นผมแต่ละประเภท
คุณสมบัติของเส้นผมที่แข็งแรง
สำหรับคุณสมบัติที่เส้นผมแข็งแรง ดูสุขภาพดีควรมี สามารถแบ่งออกได้ 4 ประการ ดังนี้
- ความเงางาม (Shiny) : คุณสมบัติประการแรกที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คือ “ความเงางาม” ซึ่งความเงางามของเส้นผมเกิดจากการ
กระจายและการสะท้อนแสงผิวนอก (Cuticle) ของเส้นผม ประกอบขึ้นจากเซลล์เคราตินที่มีลักษณะเป็นเกล็ดใส ๆ ซ้อนเรียงกัน ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเส้นผมจากความร้อน สารเคมีและมลภาวะ ซึ่งการที่จะมีเส้นผมเงางามดูสุขภาพดีได้นั้น เกล็ดผมจะต้องปิดเรียงตัวซ้อนกันลงมาอย่างหนาแน่นและสวยงาม ทำให้เส้นผมสะท้อนแสง แต่ในทางกลับกันหากเกล็ดผมเปิด ส่งผลให้มีปัญหาผมแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น ก็จะทำให้เส้นผมไม่สามารถสะท้อนแสงได้นั่นเองค่ะ - ความยืดหยุ่น (Elasticity) : โครงสร้างเส้นผมมนุษย์ประกอบไปด้วย 3 ชั้น คือ ผิวนอก (Cuticle), เนื้อชั้นนอก (Cortex) และแกนผม (Medulla) ซึ่งชั้นที่มีผลต่อความแข็งแรงของเส้นผมคือ “เนื้อชั้นนอก” เป็นชั้นที่มีความหนาที่สุด มีส่วนประกอบเป็นเซลล์รูปกระสวยลายเส้นใยเรียงอัดแน่นตามแนวยาว มีช่องอากาศ (Air Space) โปรตีน เคราติน และเส้นใยโปรตีนที่เกาะรวมกัน จึงเป็นชั้นที่ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้แก่เส้นผม ช่วยให้เส้นผมทนต่อแรงกระทำจากภายนอกในการเปลี่ยนรูปทรง และทำให้เส้นผมมีความยืดหยุ่นสามารถดีดตัวกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยไม่เสียหาย
- ความทนต่อแรงดึง (Tensile Strength) : เส้นผมที่มีความแข็งแรงจากระดับโครงสร้าง จะมีความทนต่อแรงดึงได้ดีในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการหวีหรือการสางผม แต่หากผมเส้นอ่อนแอและแห้งเสีย เมื่อใช้มือสางหรือหวีผมก็อาจทำให้เส้นผมเปราะหัก หรือขาดได้ง่ายกว่าปกติ
- ความพรุน (Porosity) : ความสามารถในการดูดซึมและกักเก็บความชุ่มชื้นของเส้นผม ซึ่งโดยทั่วไปเส้นผมที่แข็งแรงและสุขภาพดีควรมีความพรุนต่ำ (Low Porosity) เกล็ดผมที่มีลักษณะปิดแน่น ทำให้สามารถดูดซึมสารอาหารและกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในเส้นผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความพรุนของเส้นผม สำคัญไฉน?
เชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูกับคำว่า “ความพรุนของเส้นผม” กันสักเท่าไร ก่อนอื่นต้องขอขยายความอีกครั้งค่ะว่า ความพรุน (Porosity) คือ สัดส่วนของช่องว่างต่อปริมาณทั้งหมดของวัตถุ ซึ่งวัตถุแต่ละประเภทก็จะมีความพรุนที่แตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกับความพรุนของเส้นผม (Hair Porosity) ที่เป็นการวัดความสามารถในการดูดซึมและกักเก็บความชุ่มชื้นของเส้นผม เป็นตัวชี้วัดว่าน้ำและความชื้นสามารถซึมผ่านเส้นผมได้ดีแค่ไหน โดยปกติแล้วความพรุนของเส้นผมจะถูกกำหนดโดยพันธุกรรม แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้จากปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด การใช้ความร้อน และการทำเคมีเป็นประจำ เป็นต้น
ระดับความพรุนของเส้นผม
สามารถแบ่งความพรุนของเส้นผมได้ 3 ระดับ ดังนี้
- เส้นผมที่มีความพรุนต่ำ (Low Porosity) คือ เส้นผมที่เกล็ดผมเรียงตัวปิดสนิท ทำให้สามารถดูดซับน้ำและความชุ่มชื้นได้ยาก แต่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในเส้นผมได้อย่างยาวนาน ส่งผลให้ต้องใช้เวลาในการเป่าแห้งค่อนข้างนาน ทนต่อการทำสีและทำเคมีกับเส้นผม เพราะมีแนวโน้มที่จะดูดซึมสารเคมีค่อนข้างน้อย
- เส้นผมที่มีความพรุนปานกลาง (Medium Porosity) คือ เกล็ดผมที่เปิดเพียงเล็กน้อย ทำให้สามารถดูดซับน้ำและความชุ่มชื้นได้ดี สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในเส้นผมได้ในระดับปานกลาง
สำหรับเส้นผมที่มีความพรุนปานกลางจะสามารถรับมือกับจัดแต่งทรงผม การทำสี และทำเคมีได้ดี แต่ในขณะเดียวกันหากใช้ความร้อน หรือทำเคมีบ่อยเกินไปก็อาจจะทำให้ความพรุนของเส้นผมเพิ่มขึ้นได้
- เส้นผมที่มีความพรุนสูง (High Porosity) คือ เส้นผมที่เกล็ดผมเปิดออกมาก ทำให้สามารถดูดซับน้ำและความชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันก็จะทำให้สูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย จึงค่อนข้างอ่อนไหวต่อสภาพอากาศ เช่น หากอยู่ในสภาพอากาศชื้นก็อาจจะทำให้เส้นผมชี้ฟูและพันกัน หรืออาจรู้สึกว่าผมแห้งกร้าน เมื่ออยู่ในสภาพอากาศแห้ง
โดยเส้นผมที่มีความพรุนสูงจะค่อนข้างแห้งเร็ว ชี้ฟูได้ง่าย และมีแนวโน้มที่จะเกิดความเสียหายได้ง่ายจากการใช้ความร้อน การทำสี และการทำเคมี
Hair Porosity Test
Hair Porosity Test คือ การทดสอบความพรุนของเส้นผมด้วยการสังเกตจากความสามารถในการดูดซึมและกักเก็บความชุ่มชื้นของเส้นผม เริ่มต้นด้วยการนำเส้นผมที่เพิ่งสระมาแช่ลงในแก้วน้ำ ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2 - 3 นาที จากนั้นจึงสังเกตการลอยหรือจมของเส้นผมที่ใส่ลงไป
- เส้นผมลอยน้ำ : เส้นผมลอยน้ำโดยไม่จมลงไปในน้ำ เพราะเกล็ดผมเรียงตัวปิดสนิท ทำให้เส้นผมดูดซึมความชุ่มชื้นได้ยาก ส่งผลให้เส้นผมจึงลอยตัว ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเส้นผมที่มีความพรุนต่ำ
- เส้นผมค่อย ๆ จมอย่างช้า ๆ : หลังจากปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2 - 3 นาที แล้วสังเกตเห็นว่าเส้นผมค่อย ๆ จมอย่างช้า ๆ เป็นเพราะเกล็ดผมที่เปิดเพียงเล็กน้อย ทำให้สามารถดูดซับน้ำและสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในเส้นผมได้ดี จัดอยู่ในกลุ่มเส้นผมที่มีความพรุนปานกลาง
- เส้นผมจมน้ำ : เส้นผมที่เกล็ดผมเปิดออกมาก ทำให้สามารถดูดซับน้ำและความชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันก็จะทำให้สูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายเช่นกัน จึงทำให้เส้นผมจมลง และเมื่อนำขึ้นมาจากน้ำจะสังเกตเห็นได้ชัดเลยว่าเส้นผมแห้งเร็วภายในเวลาไม่กี่นาที เพราะเป็นเส้นผมที่มีความพรุนสูงนั่นเอง
วิธีดูแลเส้นผมตามระดับความพรุน
เส้นผมที่มีความพรุนต่ำ (Low Porosity)
- เลือกใช้ครีมนวดผมที่ปราศจากส่วนผสมของโปรตีน เนื่องจากผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะสามารถซึมซาบเข้าสู่เส้นผมได้ดี
- มองหาส่วนผสมของกลีเซอรีนในแชมพูและครีมนวดผม เพราะกลีเซอรีนมีคุณสมบัติเป็นสารที่ดูดซับความชื้นได้ดี มีฤทธิ์เป็นสารกักเก็บและดูดความชื้นสู่พื้นผิว (Humectant)
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักจะซึมซาบเข้าสู่เกล็ดผมได้ยาก
- ใช้ครีมนวดผมในขณะที่ผมเปียก เพราะจะทำให้ครีมนวดผมซึมซาบเข้าสู่เส้นผมได้ง่ายขึ้น
- ใช้ความร้อนในการบำรุงผม ปัญหาของเส้นผมที่มีความพรุนต่ำ คือ เส้นผมดูดซึมความชุ่มชื้นได้ยาก ด้วยเหตุนี้แค่การหมักผมทั่วไปอาจจะยังไม่เพียงพอ แนะนำให้ชโลมทรีตเมนต์ หรือครีมหมักผมให้ทั่วเส้นผม จากนั้นจึงคลุมผมด้วยหมวกคลุมผม หรือใช้เครื่องอบไอน้ำ เพื่อให้สารอาหารและความชุ่มชื้นซึมซาบเข้าสู่เส้นผมได้ดียิ่งขึ้น
เส้นผมที่มีความพรุนปานกลาง (Medium Porosity)
- ถึงแม้จะไม่ได้มีปัญหามาก แต่ผมที่มีรูพรุนปานกลางก็ยังต้องการการบำรุงอย่างล้ำลึก ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูความเสียหาย โดยแนะนำให้เลือกใช้แชมพู หรือครีมนวดผมที่มีคุณสมบัติช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไขมันบนหนังศีรษะ ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม และเสริมสร้างเกราะป้องกันตามธรรมชาติของเส้นผม
- เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมสูตรอ่อนโยน ที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ โดยปราศจากสารที่เป็นอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะ
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของโปรตีน และสารให้ความชุ่มชื้น เช่น ว่านหางจระเข้ กรดไฮยาลูรอนิค และยูเรีย เป็นต้น เพื่อรักษาสมดุลความชุ่มชื้นให้กับหนังศีรษะและเส้นผม
เส้นผมที่มีความพรุนสูง (High Porosity)
- หลีกเลี่ยงการสระผมด้วยน้ำร้อน เนื่องจากความร้อนจะทำให้เกล็ดผมเปิดและดึงเอาความชุ่มชื้นออกไปจากเส้นผม ซึ่งทำให้ผมแห้งกร้านกว่าเดิม
- ปัญหาของเส้นผมที่มีความพรุนสูงคือความแห้งกร้าน ด้วยเหตุนี้จึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่มีเนื้อสัมผัสค่อนข้างหนัก โดยมีส่วนผสมของน้ำมันหรือบัตเตอร์ เพื่อเติมเต็มและกักเก็บความชุ่มชื้นให้เส้นผมยาวนานตลอดวัน
- เลือกใช้ครีมนวดผมแบบไม่ต้องล้างออก (Leave-In) ช่วยฟื้นบำรุงผมแห้งกร้านให้ชุ่มชื้นขึ้นทันที พร้อมกักเก็บความชุ่มชื้นให้เส้นผมได้ตลอดวัน อีกทั้งยังช่วยให้เส้นผมดูมีน้ำหนัก เงางาม จัดทรงง่าย พร้อมป้องกันปัญหาผมชี้ฟูและพันกันระหว่างวันด้วย
- เส้นผมที่มีความพรุนสูงจะค่อนข้างเซนซิทีฟกับความร้อนมากเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์กันความร้อนทุกครั้งก่อนใช้ความร้อนกับเส้นผม เพื่อปกป้องผมไม่ให้เเห้งเสียจากความร้อน
สำหรับ Hair Porosity Test เป็นเพียงแนวทางพื้นฐานในการเช็กความสามารถในการดูดซึมและกักเก็บความชุ่มชื้นของเส้นผมเท่านั้น ซึ่งปัญหาผมเสียอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ทั้งนี้ หากต้องการมีผมสวย เงางาม ดูสุขภาพดีจากภายใน ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำร้ายเส้นผม พร้อมเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพเส้นผมของตัวเอง