ส่งที่
หมูสะเต๊ะ แม่บุญมี ตำนาน 80 ปี & กาแฟ วงศ์สว่าง
ปิดอยู่
จะเปิดในเวลา 09:30
เมนูและราคา
Official
ค้นหาเมนู
ประเภทอาหาร
เมนูแนะนำ
ออเร้นค้อฟ
เป็นกาแฟอาราบิก้าขั้วเข้ม ของเราเอง ชงด้วยเครื่องชงกรุป E1 ของ expobar ทำให้สามารถดึงครีมม่า ของกาแฟออกมาได้มากที่สุด ผสมผสานลงตัว กับน้ำส้มคั้นสด ให้ความหอมหวานสดชื่น รับยามเช้าที่แจ่มใส
฿75
หมูสะเต๊ะ ไซด์ S
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿79
หมูสะเต๊ะ ไซด์ M
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿139
หมูสะเต๊ะ ไซด์ L
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿199
หมูสะเต๊ะ ไซด์ XL
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿259
หมูสะเต๊ะ ไซด์ XXL
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿319
ขนมปังปิ้ง
฿7
หมูสะเต๊ะ ไซด์ 3XL
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿449
หมูสะเต๊ะ ชุดสุดคุ้ม
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿539
เครื่องดื่ม
เอสเปรสโซ่ เย็น
เป็นกาแฟขั้วเข้ม ของเราเอง ชงด้วยเครื่องชงกรุป E1 ของ expobar ทำให้สามารถดึงครีมม่า ของกาแฟออกมาได้มากที่สุด เพิ่มความเข้มข้นของกาแฟ โดยเอสเปรสโซ่ จะเป็นสูตรที่กาแฟใส่นมที่มีนมผสมจำนวนน้อยที่สุดI
แนะนำ 1
฿55
คาปูชิโน่ เย็น
เป็นกาแฟขั้วเข้ม ของเราเอง ชงด้วยเครื่องชงกรุป E1 ของ expobar ทำให้สามารถดึงครีมม่า ของกาแฟออกมาได้มากที่สุด เพิ่มความเข้มข้นของกาแฟ โดยคาปูชิโร่ จะเป็นสูตรที่กาแฟใส่นมที่มีนมผสมเพิ่มมากกว่า เอสเพรสโซ่ จึงทำให้มีความนุ่มละมุนมากกว่า
฿55
ลาเต้ เย็น
เป็นกาแฟขั้วเข้ม ของเราเอง ชงด้วยเครื่องชงกรุป E1 ของ expobar ทำให้สามารถดึงครีมม่า ของกาแฟออกมาได้มากที่สุด เพิ่มความเข้มข้นของกาแฟ โดยลาเต้ จะเป็นสูตรที่กาแฟที่มีส่วนผมของนมมากที่สุด ถูกใจกาแฟสายนมแน่นอน
฿55
อเมริกาโน่ เย็น
เป็นกาแฟอาราบิก้าขั้วเข้ม ของเราเอง ชงด้วยเครื่องชงกรุป E1 ของ expobar ทำให้สามารถดึงครีมม่า ของกาแฟออกมาได้มากที่สุด ความหอมเข้มโดยตรง เป็นเมนูที่มีแคลอรี่ต่ำ เหมาะกับสาย healthy
฿50
ออเร้นค้อฟ
เป็นกาแฟอาราบิก้าขั้วเข้ม ของเราเอง ชงด้วยเครื่องชงกรุป E1 ของ expobar ทำให้สามารถดึงครีมม่า ของกาแฟออกมาได้มากที่สุด ผสมผสานลงตัว กับน้ำส้มคั้นสด ให้ความหอมหวานสดชื่น รับยามเช้าที่แจ่มใส
฿75
หมูสะเต๊ะ
หมูสะเต๊ะ ชุดสุดคุ้ม
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿539
หมูสะเต๊ะ ไซด์ M
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿139
หมูสะเต๊ะ ไซด์ L
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿199
หมูสะเต๊ะ ไซด์ XL
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿259
หมูสะเต๊ะ ไซด์ XXL
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿319
ขนมปังปิ้ง
฿7
หมูสะเต๊ะ ไซด์ 3XL
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿449
หมูสะเต๊ะ ไซด์ S
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนจังหวัดราชบุรี ท่านเกิดที่อำเภอ ดำเนินสะดวก พุทธศักราช 2472 ท่านมีพี่น้องร่วมกันทั้งหมดสามคน แม่ผมเป็นพี่สาวคนโต ดูให้คุณยายเป็นคนไทยและคุณตาเป็น ชาวจีน คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสูตรหมูสะเต๊ะที่คุณแม่ได้มาได้ซสืบทอดออกมาจากคุณยาย โดยคุณยายเล่าว่าได้รับวิธีการทำและสูตรต่างๆ มาจากเพื่อนของคุณยายซึ่งเป็นต้นห้องเครื่องเสวยที่อยู่ที่อัมพวา ซึ่งคุณยายไปเป็นเพียงลูกมือ ในการช่วยหมักและปรุงรสโดยไม่ได้มีการสอนแต่อย่างไดใช้เพียงวิธีการครูพักรักจำเท่านั้นแล้วคุณยายก็ได้มาทำเป็นสูตรเป็นของตัวเองและได้ให้สูตรนี้กับคุณแม่มาอีกต่อหนึ่ง ซึ่ง คุณแม่ก็ได้นำสูตรนั้นมาใช้หมักและปรุงแต่ด้วยช่วงเวลานั้นของหลายอย่างอาจจะหายากอีกทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรบางอย่างเป็นของพื้นถิ่น คุณแม่จึงปรับปรุงสูตรนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคุณแม่เป็นครอบครัวคนจีน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่กับ อากง จึงได้นำเครื่องเทศจีนมาเพิ่มในส่วนผสมของเครื่องหมักและยังคงเครื่องเทศหลักของเดิมอยู่ อีกทั้งยังปรับปรุงสูตรน้ำพริกซึ่งใช้ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ โดยเป็นสูตรต้นตำรับคุณแม่เอง ในสมัยก่อนเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหมักและการทำน้ำพริกคุณแม่ต้องนำมาคั่วให้หอมแล้วจึงค่อยนำไปตำให้ละเอียด ซึ่งขั้นตอนการทำเหล่านี้จะมีความยุ่งยากมากในการเตรียมเครื่องหมัก ต้องใช้เวลา 1-2 วัน ในเวลานั้นผมก็เป็นเพียงลูกมือที่ช่วยคุณแม่เหมือนเดิม ในเวลานั้น เราขายหมูสะเต๊ะแค่เพียงไม้ละ 2 บาทเท่านั้นผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า เราทำของยากขนาดนี้ แต่เราขายถูกมาก เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมมาตลอด ตอนนั้นเราจะมีลูกค้าประจำ ค่อนข้างเยอะมาก เหมือนกับช่วงเวลานั่นการทานหมูสะเต๊ะ เป็นเหมือนอาหารมื้อหลักเลยด้วยซ้ำ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ตอนนั้นผมสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ และต้องไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ และด้วยคุณแม่ ปีนั้นคุณแม่ อายุ 64 ปีแล้วเราเลยหยุดขายตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาหลายปี จนผมแต่งงานมีครอบครัวและเงินเดือนข้าราชการประจำ นั้นไม่เพียงพอเพราะมีภาระหลายอย่าง ผมจึงได้กลับมาปรึกษาแม่อีกครั้งว่าผมอยากกลับมาขายหมูสะเต๊ะอีกครั้ง จึงเริ่มกลับมาละลึกสูตรกันใหม่ เพราะตอนที่คุณแม่ทำนั้นไม่ได้จดสูตรไว้ใช่เพียงความคุ้นเคยและอัตรส่วนที่ยังพอจำได้ ต้องนั่งคิดอยู่หลายวัน คุณแม่บอกของที่ต้องใช้คือเครื่องเทศที่ใช้หมักหมู และเครื่องเทศที่เราใช้ทำน้ำพริกเพื่
฿79
Powered by
Download Wongnai App Free
Follow Us
สำหรับผู้ใช้ Wongnai
เกี่ยวกับ Wongnai Community
ระดับของผู้ใช้ Wongnai
เกี่ยวกับ Wongnai Elite
ตารางอันดับของผู้ใช้งาน
แนวทางปฏิบัติของผู้ใช้งาน
สำหรับร้านหรือธุรกิจ
แจ้งเป็นเจ้าของร้าน
ลงโฆษณากับ Wongnai
ระบบจัดการร้านอาหาร (Wongnai POS)
รับเดลิเวอรีผ่าน Wongnai x LINE MAN (Wongnai Merchant App)
บทความเทคนิคการตลาด
สำหรับสื่อมวลชน
ข่าว Wongnai
ปฏิทินกิจกรรม Wongnai Event
โลโก้ Wongnai และวิธีการใช้
ร่วมงานกับเรา
ตำแหน่งที่เปิดรับ
Life @ Wongnai
เกี่ยวกับ Wongnai
ประวัติบริษัท
ติดต่อเรา
ศูนย์ช่วยเหลือ
Copyright 2010-2025
Wongnai Media Co., Ltd. All right reserved.
Terms & Conditions
Privacy Policy
TH
EN