ต่อให้จะตกรถ ตกเรือ หรือ บีทีเอสเสีย จะงอนกับแฟน หรือ แมวไม่สนใจ ทุกอย่างก็ดีขึ้นได้เพียงแค่ได้ตักไอศกรีมเข้าปาก ของหวานเย็น ๆ ช่วยดับใจร้อนรุ่มได้เป็นอย่างดี การันตีความเป็นสุดยอดขวัญใจ มีวันเฉลิมฉลองเป็นของตัวเอง นั่นก็คือ วันไอศกรีมแห่งชาติ 15 กรกฎาคม เราเลยมาชวนเพื่อน ๆ ไปล้วงลึกให้หมดทั้งลูก พอละ #ไม่พูดมากเจ็บคอ ขึ้นไทม์แมชชีนตามเรามาเลย!
1ต้นกำเนิดของไอศกรีม
ย้อนกลับไปเมื่อสมัย 200 ปีก่อนคริสตศักราช ชาวจีนในสมัยกษัตริย์ทังแห่งราชวงศ์ซาง ผสมแป้ง,นมวัว,นมแกะ หรือ นมควาย และการบูร อัดใส่แท่งเหล็กแช่ไว้ให้แข็งตัว ต่อมา 54-68 ปีก่อนคริสตศักราช คิงเนโรห์แห่งอาณาจักรโรมัน ให้เหล่าทาสไปขุดน้ำแข็งจากถ้ำ นำมาผสมกับน้ำผึ้งและผลไม้ และปี ค.ศ. 1254-1324 นักเดินทางชาวอิตาลี มาร์โคโปโล นำวิธีการทำไอศกรีมจากจีนกลับไปยังยุโรป ปรับสูตรจนกลายเป็นเจลาโตอันโด่งดัง
เดินทางกันต่อมาในปี ค.ศ. 1686 ฟรานเชสโก้ โปรโกปิโอ้ เดย โกลเตลลี (Francesco Procopio dei Coltelli) ได้เปิด คาเฟโปรคอป (Café Procope) มีการขายเจลาโตขึ้นเป็นครั้งแรก ที่เมืองปารีสประเทศฝรั่งเศส ส่วนมากจะเป็นชนชั้นสูงเท่านั้นที่มีโอกาสได้ลิ้มรสชาติแห่งความสุขนี้
ไอศกรีมเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ราว ค.ศ.1700 เป็นที่โปรดปรานของผู้คนเป็นอย่างมาก และจุดเปลี่ยนที่ทำให้ทุกคนมีโอกาสได้ชิมรสชาติของความสุขเย็นชื่นใจ เกิดขึ้นหลังปฏิวัติอุตสาหกรรม ค.ศ. 1916 มีการคิดค้นเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ ทำให้การทำและกินไอศกรีมเข้าถึงง่ายสำหรับทุกคน

2ประเภทของไอศกรีม
รู้หรือไม่ ว่าของหวานเย็นขื่นใจที่เราเรียกติดปากกันว่า "ไอศกรีม" นั่นจริง ๆ สามารถแบ่งประเภทได้ตามส่วนผสมและขั้นตอนการทำออกมาได้อีกเยอะเลย ในที่นี้เราเลยขอยกตัวอย่างประเภทของไอศกรีมคุ้นเคยยอดฮิต 5 ประเภทหลัก ๆ ให้เพื่อน ๆ รู้จักกัน

1. ไอศกรีม (Ice cream) ของหวานเย็นชื่นใจที่เราคุ้นเคย ทำมาจากนม ครีม น้ำตาล ส่วนไข่ ถ้าย้อนกลับไปตามสูตรดั้งเดิมแล้ว ไอศกรีมของอเมริกาแต่ก่อนจะไม่ใส่ไข่ ไม่เหมือนกับสูตรของฝรั่งเศส แต่ปัจจุบันจะใส่หรือไม่ใส่ก็แล้วแต่สูตรใครสูตรมันเลย ไอศกรีมจะมีสัดส่วนของไขมันอยู่ที่ 10 - 18 %

2. เจลาโต (Gelato) สัดส่วนของไขมันอยู่ที่ 10 % เนื่องจากใส่นมมากกว่าครีม จะใช้การปั่นอย่างช้า ๆ เพื่อให้ได้ผิวสัมผัสแบบครีม ๆ เข้มข้นและเนียนนุ่ม ชาวอิตาเลียนคลั่งเจลาโตมาก ในระดับที่ว่าสามารถหากินได้ทุกหัวมุมถนน

3. ซอร์เบต์ (Sorbet) ซอร์เบต์มีส่วนผสมหลักเพียงแค่สองอย่าง คือ ผลไม้ และ น้ำตาล โดยจะไม่มีผลิตภัณฑ์จากนมเข้ามาใส่เพิ่มด้วย รสชาติก็จะออกเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ตามผลไม้ที่เอามาผสม ชื่นใจสุด ๆ แถมยังไขมันยังน้อยอีกด้วย มักนิยมนำมากินคั่นระหว่างเมนูในคอร์สอาหาร เพื่อเปิดรสสัมผัสก่อนเข้าจานหลัก

4. เชอร์เบต (Sherbet) หรือ ซอร์เบต์คนเดิม เพิ่มเติมคือใส่ นม ไข่ขาว และเจลาติน ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่ม และออกจะครีม ๆ กว่า แต่ยังคงความรู้สึกเบาบาง ไม่หนักนมเท่าถ้าเทียบกับไอศกรีม โดยเชอร์เบตนั้นจะมีส่วนผสมของไขมันน้อยกว่า 2 %

5. ซอฟต์ครีม (Soft cream) หรือ ซอฟต์เสิร์ฟ (Soft serve) ฮิตติดลมบนกันสุด ๆ กับรสสัมผัสเนียนนุ่มฟูฟ่อง ยิ่งกินยิ่งเพลิน ซอฟต์ครีมจะใช้ตู้ปั่นเฉพาะที่เรียกว่า “Soft Cream Freezer” ช่วยในการปรับระดับอากาศ เรียกว่า “Overrun” ถ้าปริมาณอากาศน้อยไปจะทำให้เกิดเกล็ดน้ำแข็งไม่เนียนนุ่ม ถ้ามากเกินจะทำให้เกิดฟองอากาศซอฟท์ครีมก็จะเหลว มีไขมันอยู่เพียง 3 - 6

3การกิน “ไอศกรีม” แบบต่าง ๆ
นอกจากเราจะเพลิดเพลินกับช่วงเวลาการจ้วงตักไอศกรีมจากถ้วย หรือเลียลิ้มรสความสุขเย็นเจี๊ยบจากโคนกรุบกรอบ ความคิดสร้างสรรค์ของเหล่ามนุษยชาติ กับการครีเอตเมนูดัดแปลงต่าง ๆ ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เราขอแนะนำ 4 การกินสุดฮิต หวานจี๊ดสะใจ

1. อัฟโฟกาโต (Affogato) ในภาษาอิตาลี แปลว่า “จม” เป็นการผสมผสานรสชาติกันระหว่างคู่ซี้คนละขั้วอย่าง ช็อตเอสเปรสโซและไอศกรีมรสวานิลลา เข้ากันได้ดีเกินกว่าจะห้ามใจไหว รสชาติหวานขมชวนฝัน ลึกล้ำเกินจะบรรยาย ตามสูตรแล้วมักจะกินปิดท้ายมื้ออาหารเป็นการล้างปาก

2. ไอศกรีมคุกกี้ (Ice cream cookie) ถึงเราจะรักการเอ็นจอยไอศกรีมรสโปรดบนขนมปังเนื้อนุ่ม แค่ไหน เราก็รักการช่วงเวลาที่ได้อ้าปากกว้าง ๆ กัดลงบนคุกกี้ชิ้นโต ประกบไอศกรีมรสโปรดแค่นั้น ขวัญใจมายาวนานตั้งแต่ยุค 40s ร่วมเฉลิมฉลองวันไอศกรีมคุกกี้แห่งชาติ ในวันที่ 2 สิงหาคม

3. มิลก์เชก (Milk Shake) หวานชื่นใจเกินกว่าใคร ตั้งแต่ปี ค.ศ 1885 มีส่วนผสมวิสกีขายกันในบาร์ ที่มาของคำว่า "เชก" ในชื่อเมนู คือ การเชกแฮนด์กับบาร์เทนเดอร์ เมื่อเราถูกใจมิลก์เชกแก้วนั้น แต่ถ้าไม่ก็อดได้ทิปไปละกันนะ วิธีทำก็ง่ายแสนง่าย ขอเพียงแค่ มี นมกับน้ำแข็ง นอกนั้นชอบอะไรก็หยิบใส่เครื่องปั่นเลย สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การโปะไอศกรีมรสโปรดลงไปสักลูกเป็นการปิดท้ายอย่างสวยงาม

4. ไอศกรีมซันเดย์ (Ice crean Sundae) มาจากปลายศตวรรษที่ 19 มีข้อห้ามขายไอศกรีมโซดาในวันอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นวันพักผ่อนในประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์ ทางพ่อค้าหัวใสเปลี่ยนการกินคู่โซดาเป็นซีรัป และทำการตั้งชื่อเมนูว่า Ice cream Sunday โดยเปลี่ยนจาก ตัว Y เป็น E แทน

4รู้หรือไม่ “ไอศกรีม”ทำยังไง?
ง่าย ๆ แค่ 3 ส่วนผสม 3 ขั้นตอน
ส่วนใครอยากลองทำไอศกรีมกินเองอย่ารอช้ามาค่ะ มาเสกสวรรค์เข้าปากด้วยสูตรทำไอศกรีมแบบง่าย ๆ ให้ความเย็นยะเยือกมันดับร้อนอากาศเมืองไทยกันซะหน่อย ขอแค่มี วิปปิงครีม, นมข้น และกลิ่นวานิลลา ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน แช่ช่องฟรีซ จัดเสิร์ฟ ได้รสสัมผัสแบบเกล็ดหิมะเบา ๆ เอามือทาบอก...คุณพระมันง่ายมาก แต่บอกไว้ก่อนนะว่าจริง ๆ แล้วสูตรทำไอศกรีมยังมีอีกมาก ตามแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ สำหรับสูตรที่เราเลือกเอามาแชร์ให้เพื่อน ๆ นั้นมันง่ายแสนง่าย แล้วก็ทำให้หายอยากได้จริง ๆ นะเธอ



และถ้าจะกินให้ฟินกันเกินเบอร์กว่าใครเพื่อน ก็ต้องนี้เลย Ben & Jerry’s ไอศกรีมสัญชาติอเมริกัน ตัวจริงเรื่องการครีเอตรสชาติจะสายหวาน หรือสายดาร์ก หน่อย ๆ ก็จูงมือกันไปเลือกชิมกันได้ เพราะมีรสให้เลือกมากมาย เช่น รสขายดีอย่าง Chocolate Fudge Brownie ที่มาพร้อมบราวนีหนึบหนับเต็มคำ,รส Chocolate Chip Cookie Dough ไอศกรีมรสวานิลลา ผสมช็อกโกแลตชิพคุกกี้โดเต็มชิ้น, รส Chunky Monkey รสกล้วย ผสมชิ้นช็อคโกแลตและวอลนัต, รส Strawberry Cheesecake ผสมเนื้อสตรอว์เบอร์รีและเกรแฮมแครกเกอร์ หรือรสใหม่ล่าสุด New York Super Fudge Chunk ไอศกรีมนมรสช็อคโกแลต ผสมช็อกโกแลต มิลก์ฟัดจ์ อัลมอนด์ฟัดจ์ พีแคน และวอลนัต และยังมีเมนูต่าง ๆ พร้อมท็อปปิงแบบครบเครื่องให้เต็มอิ่มกันสุด ๆ เติมความสดชื่นให้ตัวเองได้แล้วทั้ง 2 สาขา สยามพารากอน และเอ็มควอเทียร์ หรือสั่งผ่าน LINE MAN ได้เลย!


References :
Avey, T. (2012, July 10). Explore The Delicious History of Ice Cream. Retrieved from http://www.pbs.org/food/the-history-kitchen/explore-the-delicious-history-of-ice-cream/
Avakian, T. (2016, July 27). Here's the difference between ice cream, gelato, soft serve, frozen custard, sherbet, sorbet, and frozen yogurt. Retrieved from https://nordic.businessinsider.com/difference-between-ice-cream-and-other-frozen-desserts-2016-7/
Carnazzi, S., Cavaleri, A., Novelli, A., Guidi, P., & Casareto, M. (2015, August 10). A short history of ice cream. From ancient Roman snow to love with a heart of cream. Retrieved from http://www.expo2015.org/magazine/en/economy/a-short-history-of-ice-cream--from-ancient-roman-snow-to-love-with-a-heart-of-cream.html
Family, T. P. (n.d.). No-churn Irish cream ice cream recipe - BBC Food. Retrieved from https://www.bbc.com/food/recipes/irish_cream_ice_cream_63791