ไม่แน่ใจว่าบ้านอื่นเป็นยังไง แต่บ้านผมเนี่ยแหละ จะมีปัญหาทุกครั้งเวลาที่ผมเคี้ยวข้าวเสียงดัง ฝ่ามืออรหันต์ลงมาประทับเป็นการเตือนพร้อมดุว่า “อย่าเคี้ยวแจ๊บ ๆ สิ” ตอนเด็ก ๆ งงมาก ไม่เข้าใจ แล้วจะต้องเคี้ยวยังไงให้มันไม่มีเสียงในเมื่อฟันกรามมันต้องบดขยี้อาหาร “ปิดปากไว้แล้วใช้กรามเคี้ยว” ผมจำคำนี้ได้แม่น ผมใช้เวลาฝึกระบวนท่านี้มายาวนานกว่าหลายปี แรก ๆ มีเผลอบ้าง หลัง ๆ บอกเลยว่าไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาแม้แต่เดซิเบล
ใช้เวลาไม่นาน ผมก็เข้าใจถึงเหตุผลของมารยาทบนโต๊ะอาหารที่เคยถูกปลูกฝัง เมื่อได้โตมาแล้วมีคนมาเคี้ยวข้าวเสียงดัง “แจ๊บ ๆ” อยู่ข้างหู ความรู้สึกไม่สบายใจปนรำคาญเกิดขึ้นในใจผมทันที นี่สินะเวลาเราทำเสียงดังตอนกินข้าว คนอื่นคงจะรู้สึกแบบนี้นี่เอง แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเหตุผลทางมารยาทเรื่องนี้แท้จริงแล้วมันเป็นกุศโลบายในเรื่องใด รู้แค่ว่าถูกสั่งสอนให้จำมาแบบนั้น และต่อต้านพฤติกรรมแบบนั้นมานานจนเลิกตั้งคำถาม
ทำไมความพึงพอใจหรือความเพลิดเพลินกับกินอาหารนั้นถูกปฎิเสธทั้ง ๆ ที่เราก็กำลังรับประทานอาหาร เรื่องนี้มันผิดจริง ๆ เหรอ แล้วการกินเงียบ ๆ ทำให้อาหารนั้นอร่อยน้อยลง กว่าเคี้ยวเสียงดัง ๆ ไหมนะ? Wongnai Story Ep.120 จะพาคุณไปหาคำตอบบนโต๊ะอาหารเดี๋ยวนี้ทันที
.
(1) มารยาทผู้ดีฝั่งตะวันตก
ฝั่งตะวันตก มารยาทบนโต๊ะอาหารที่รวมไปถึงการเคี้ยวอาหารนั้น เกี่ยวโยงกับสถานภาพทางสังคม ความสงบเสงี่ยม ความสุภาพ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผู้ที่มีสถานะทางสังคมในระดับที่ดี(ในสมัยนั้น) การวางตัวที่เหมาะสมอย่างเช่นความสงบนิ่งเรียบร้อย ถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมที่น่ายกย่อง เพราะเรื่องบนโต๊ะอาหารมักจะไม่ใช่เรื่องแค่ภายในครอบครัว แต่มักจะมีแขกมาด้วยอยู่เสมอ
"Emily Post's Etiquette" หนังสือสุดคลาสสิกจาก Emily Post เป็นหนังสือที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับมารยาทและการปฏิบัติตัวในสังคมตะวันตกซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งปต่ปี 1922 และยังคงได้รับการปรับปรุงมาตลอดจนถึงเวอร์ชั่นปัจจุบัน เรียกว่าเป็นสุดยอดตำราเลยก็ว่าได้
พาร์ทของการเคี้ยวอาหาร ในหนังสือบอกว่า
1.การเคี้ยวอาหารควรทำอย่างเงียบ ๆ ไม่ควรทำให้เกิดเสียงดัง การเคี้ยวอย่างสุภาพ ปิดปากขณะเคี้ยวและไม่แสดงอาหารในปากให้ผู้อื่นเห็น
2.การพูดขณะที่มีอาหารในปากเป็นการกระทำที่ไม่สุภาพและอาจทำให้เศษอาหารกระเด็นออกมาจากปาก เคี้ยวให้เสร็จ กลืน จึงจะพูดคุยต่อได้
3.ควรเคี้ยวอาหารอย่างช้าๆ เพื่อช่วยในการย่อยอาหารและเป็นมารยาทที่ดี การเคี้ยวเร็วๆ หรือรีบกินดูไม่สุภาพ
4.ถ้าหากมีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเช็ดปากขณะเคี้ยว ควรใช้ผ้าเช็ดปาก ไม่ควรใช้มือหรือสิ่งอื่นๆ
โอ้ว เห็นแบบนี้แล้วย้อนกลับมาดูตัวเอง นี่ฉันถูกเลี้ยงมาในสังคมตะวันตกนิยมหรือนี่ แต่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกใจ เพราะครอบครัวคนไทยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกมาตั้งแต่ก่อน
.
(2) ฝั่งตะวันออกบอกตรงกันข้าม
ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องซับซ้อนอย่างมากในฝั่งภาคตะวันออก ซึ่งมีประเพณียิบย่อยมากว่า โดยรวมแล้วขึ้นอยู่กับบริบทและสถานการณ์เป็นส่วนมาก เราอาจจะเคยดูซีรีส์เกาหลีที่กินซุปกิมจิกับซู้ดซ้าดดูน่าอร่อย หรือกินสามชั้นย่างกับผักแบบเต็มเหนี่ยวไม่สนเสียงใด ๆ และเราก็มักมองว่านั่นมันเจ๋งดี
อย่างในประเทศญี่ปุ่น เวลากินราเมง การซู้ดเส้นเสียงดัง ๆ นี่เป็นเรื่องที่สังคมยอมรับอย่างมาก เป็นสิ่งที่แสดงความพึงพอใจต่อรสชาติอาหาร เชฟจะรู้สึกว่าได้รับการชื่นชม ยิ่งเสียงดังราเมงกูยิ่งอร่อย! นอกจากเรื่องมารยาท การที่เราซู้ดเส้นอย่างเต็มที่เราจะได้ความกลมกล่อมของทั้งเส้นและน้ำซุปราเมงที่เกาะเส้นขึ้นไปด้วยแบบพร้อมกัน ซึ่งเพิ่มอรรถรสการกินอย่างมาก
ในจีน การเคี้ยวอาหารเสียงดังเป็นการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา โชว์ความเพลิดเพลิน และเคารพต่อมื้ออาหาร เพราะนั่นทำให้พวกเขามีความสุข เด็กชาวจีนทุกคนถูกสอนมาว่า “you MUST eat with their mouths open!” นี่ทำให้ครอบครัวไทย-จีน อย่างผมรู้สึกสับสนในเผ่าพันธุ์ตัวเองอยู่เหมือนกัน 555 ส่วนในอินเดียการกินไปพูดไปเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แน่นอนว่าแสดงถึงความสุขบนโต๊ะอาหารอีกเช่นกัน
แต่ทั้งหมดนั่นก็ไม่เสมอไป บางสถานการณ์อย่างเช่นญี่ปุ่นเองในบางเวลาก็มีการรับประทานอาหารแบบเงียบ ๆ และเคี้ยวช้า ๆ เหมือนกัน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจของบ้านเรา แต่ก็พอจะพูดได้ว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
.
(3) กินเสียงดังทำให้อาหารรสชาติดีขึ้น?
มีทีมจากหลายมหาวิทยาลัยได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ไว้แล้ว และปรากฎว่ามันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ! การกินอาหารบางประเภทเสียงเคี้ยว กรอบ ๆ ช่วยเพิ่มอรรถรสได้ พวกเขาให้ผู้ทดสอบลองเคี้ยวอาหารที่หลากหลาย ไปจนถึง แครอต แอปเปิล คุกกี้ ผลปรากฎว่าผู้เข้าร่วมทดสอบให้คะแนนว่าอร่อยกว่า เมื่อพวกเขากินเสียงดัง นักวิจัยเชื่อว่าเป็นเพราะเสียงของการเคี้ยวอาจช่วยเพิ่มการรับรู้ถึงเนื้อสัมผัสและความสดใหม่ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรับรู้รสชาติ แต่ก็ใช่ว่าเสียงยิ่งดังยิ่งดี เมื่อผู้ทดสอบถูกขอให้เคี้ยวเสียงดังขึ้นกว่าเดิม กลับคะแนนน้อยกว่ากินแบบเงียบ ๆ นี่แสดงให้เห็นว่า มันก็มีจุดที่พอดีเหมือนกันนะ
.
(4) เปิดปากเคี้ยวให้เต็มที่ไปเลยไหมล่ะ!
ยังไม่พอ! มีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เขาบอกว่า การเคี้ยวอาหารเปิดปาก สามารถปล่อยก๊าซระเหยที่กระตุ้นเซลล์ประสาทสัมผัสของเราได้มากขึ้น
กลิ่น : สารประกอบอะโรมาติกจากอาหารที่อยู่บนเพดานปากจะช่วยส่งเสริมการรับรู้กลิ่นของเรา และสารประกอบเหล่านี้จะถูกปล่อยออกมาเมื่อเราเริ่มเคี้ยว การเปิดปากช่วยเพิ่มความรู้สึกเพลิดเพลินของเราการศึกษาระบุว่าการรับรู้กลิ่นจะสูงขึ้นเมื่อก๊าซเข้าถึงด้านหลังของจมูก
สัมผัส : ส่วนใหญ่เรากินเฟรนช์ฟรายด้วยมือและมักจะมีเกลือติดอยู่ที่นิ้ว และการเลียนิ้วหลังจากกินเฟรนช์ฟรายส์หมายถึงการเปิดปาก นอกจากจะได้สัมผัสอาหารด้วยริมฝีปาก เหงือก และปากทั้งหมด การเปิดปากช่วยในปล่อยน้ำลายมาย่อยอาหารอีกด้วย ไม่ต่างอะไรกับการกินแอปเปิลที่เรายกตัวอย่างไปข้างบน
เสียง : อาหารที่มีเสียงกรอบมันดึงดูดใจเสมอ เสียงกรอบของไก่ทอดเมื่อกัดเป็นตัวอย่างหนึ่ง เมื่อปากเปิด เสียงกรอบจะถูกขยายและวิทยาศาสตร์บอกเราว่าเสียงกรอบจะเพิ่มประสบการณ์การกิน แน่นอนว่าเราจะได้ยินเสียงกรอบได้ดีที่สุดเมื่อริมฝีปากเปิดอยู่
รู้อย่างนี้แล้วก็ไปทดลองเคี้ยวเสียงดัง ๆ บนโต๊ะอาหารดู แต่ะอย่าลืมเอาบทความนี้ไปบอกคุณแม่ที่บ้านดูประกอบด้วย ส่วนถ้าจะโดนฟาดขึ้นมาก็ตัวใครตัวมัน
.
(5) เคี้ยวเสียงดังจนคนรอบข้างป่วยจิต!?
คนที่เกลียดเสียงเคี้ยวดัง ๆ จนเวลาได้ยินจะมีอารมณ์ โกรธ รังเกียจ หรือแม้กระทั่งวิตกกังวล สิ่งนี้มีส่วนเชื่อมโยงกับโรคทางจิตเวชอย่างมีนัยยะ เราเรียกว่าภาวะ "Misophonia" ซึ่งเชื่อกันว่าระบบลิมบิกในสมองซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลอารมณ์และความทรงจำมีส่วนเกี่ยวข้องกับ "Misophonia"โดยตรง
นอกจากนี้ Misophonia เกิดจากการเชื่อมต่อที่ไวเกินไประหว่างสมองส่วนที่รับรู้เสียง (auditory cortex) และสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของปากและคอ (premotor cortex) ซึ่งทำให้บุคคลที่มีภาวะนี้รู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินเป็นการบุกรุกเข้ามาในร่างกายโดยไม่สามารถควบคุมได้
ซึ่งนี่ส่งผลแน่นอนต่อการใช้ชีวิตและความสัมพันธ์ เป็นที่น่าตกใจอีกเช่นกันว่าเรายังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะนี้มากนัก และยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม ทางที่ดีการเคี้ยวเสียงดังควรอยู่ในขอบเขตที่ถูกต้อง ไม่รบกวนผู้อื่น เพื่อความเป็นธรรมในสังคม ไม่อย่างนั้นความเป็นธรรมอาจจะมาเยือนคุณในรูปแบบบาทา
.
(6) เคี้ยวดังจนโดนบาทานั้นมีอยู่จริง
มีรายงานข่าวเกี่ยวกับการทะเลาะวิวาทเนื่องจากเสียงเคี้ยวอาหารดังในต่างประเทศ แหล่งข่าวถูกแชร์ลงในTwitter (X) เป็นบทสัมภาษณ์ของตำรวจ โดยสารวัตรตำรวจ Darren Taylor บอกว่า "ทีมของเราเข้าไปจัดการสถานการณ์ที่ค่อนข้างตึงเครียดเมื่อวานนี้ที่ Burgess Hill เนื่องจากผู้เช่าสองคนในที่พักรวมถูกรายงานว่าทะเลาะกัน...เพราะหนึ่งในนั้นกินอาหารเสียงดังเกินไป…”
.
(7) เคี้ยวดังจนเสียการเสียงาน
มีรายงานข่าวจากหลายสำนักทั้ง The Telegraph, Daily Mail และ BBC News เมื่อปี 2011 ชายชาวอังกฤษถูกไล่ออกจากงานเพราะเคี้ยวอาหารเสียงดัง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บริษัทแห่งหนึ่งในเมืองโคเวนทรี ประเทศอังกฤษ พนักงานชายคนหนึ่งถูกไล่ออกเนื่องจากเพื่อนร่วมงานร้องเรียนว่าเขาเคี้ยวแอปเปิลเสียงดังจนสร้างความรำคาญ นี่แสดงให้เห็นว่าเสียงเคี้ยวอาหารสามารถสร้างความขัดแย้งได้ในทุกที่แม้กระทั่งที่ทำงาน
สรุป
สำหรับเรื่องนี้เรามองง่าย ๆ เลยว่าการเคี้ยวหรือกินเสียงดังนั้น เกี่ยวพันกับเรื่องของมารยาทและวัฒนธรรมอย่างชัดเจน การทำพฤติกรรมนี้กับสถานที่บางที่หรือกับคนบางคนอาจเป็นเรื่องที่ดีและน่าชื่นชม แต่ในทางกลับกัน ถ้าผิดที่ผิดทางก็สามารถสร้างความรำคาญใจแก่สังคมและคนรอบตัวไม่น้อย ถามว่าผมควรจะฝึกกินอาหารเสียงดังบ้างไหมหลังจากนี้ มันก็น่าลองนะ แล้วคุณจะลองมาฟังเสียงกินผมไหมล่ะ?
-----------------------------------------
What’s your sound barrier? New study finds nearly one in five people in the UK find everyday sounds intolerable (University of Oxford)
Scientists have worked out the reason why you hate the sound of other people eating (UNILAD)
https://www.howrudethemusical.com/.../chewing-with-your...
https://talkafeels.com/.../is-noisy-eating-considered-bad...