1ประวัติศาสตร์ “น้ำตาล”
รู้หรือไม่ว่า “น้ำตาล” เครื่องปรุงให้รสหวานที่เป็นที่นิยมและขาดไม่ได้ในทุกครัวเรือนนั้น มีแหล่งกำเนิดที่ไกลจากประเทศไทย และชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก นั่นก็คือ หมู่เกาะปาปัวนิวกินี มาจากพืชชนิดหนึ่งนั่นก็คือ “ต้นอ้อย หรือ ต้นน้ำตาล” โดยชาวโพลีนีเซียนเป็นคนกลุ่มแรกที่รู้จักรสหวานจากน้ำตาลอ้อยและเพาะปลูกต้นอ้อยเมื่อราวๆ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล จากนั้นต้นอ้อย ก็ได้แพร่กระจายผ่านหมู่เกาะโซโลมอนไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไปจรดยังอินเดีย ซึ่งในช่วงแรกนั้นมนุษย์ได้ความหวานจากต้นอ้อยโดยการเคี้ยว ก่อนที่จะมีการค้นพบวิธีทำให้น้ำหวานของอ้อยตกผลึกเป็นน้ำตาลเกล็ด ซึ่งทำให้ง่ายต่อการขนส่งและการจัดเก็บมากยื่งขึ้น และคำว่า Sugar ที่เราคุ้นเคยกันนั้นก็ได้รากศัพท์มาจากคำว่า Sarkar ที่แปลว่าเกล็ด, เมล็ดเล็ก ๆ นั่นเอง


และวันนี้เราขอพามารู้จักน้ำตาลอีก 1 ชนิดที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นจากเทรนด์การใส่ใจสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารที่มาจากธรรมชาติ ผ่านการปรุงแต่งน้อย นั่นก้คือน้ำตาลอ้อยธรรมชาตินั่นเอง มาดูกันว่าน้ำตาลอ้อยธรรมชาติมีกระบวนการผลิตที่คงความเป็นธรรมชาติอย่างไร
2กระบวนผลิตน้ำตาล จากน้ำหวาน มาเป็น เกล็ดผลึก
โดยปกติแล้วกระบวนการผลิตน้ำตาลนั้นจะเริ่มจากการสกัดอ้อยสด จนได้ออกมาเป็นน้ำอ้อยเหมือนกัน ซึ่งกากอ้อยที่ผ่านการสกัดน้ำอ้อยออกแล้วจะถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตน้ำตาลทรายอีกด้วย อย่างมิตรผล น้ำตาลอ้อยธรรมชาติ เมื่อผ่านกระบวนการสกัดจนได้น้ำอ้อยแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการกรองจนได้น้ำอ้อยใสที่สะอาดไร้สิ่งเจือปน จากนั้นจะนำไปเข้ากระบวนการ ต้ม เคี่ยว ปั่น และอบแห้ง จนได้เป็นเป็นผลึกน้ำตาลที่คงความหอมหวาน คงสีสัน และยังคงคุณค่าจากอ้อยธรรมชาติไว้ 100%

3แล้วน้ำตาลอ้อยธรรมชาติใช้ได้ในเมนูไหนบ้างล่ะ

จริง ๆ แล้ว น้ำตาลอ้อยธรรมชาติให้ความหวานใกล้เคียงกับน้ำตาลทรายขาว แต่จะเพิ่มกลิ่นหอมและสีสันจากอ้อยธรรมชาติเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เรียกว่าใช้แทนกันได้หลากหลายเมนู และโดยปกติแล้วถ้าพูดถึงการใช้น้ำตาลนั้น คนเรามักจะนึกถึงเมนูที่เป็นขนมหวาน ไม่ก็จะเป็นเครื่องดื่มที่เย็นชื่นใจ แต่อาหารคาวนั้น คนเรามักจะหลงลืมการให้ความสำคัญของน้ำตาลที่ทำหน้าที่ช่วยทำให้รสชาติของอาหารจานนั้น ๆ กลมกล่อมขึ้น ถ้าเราลองไม่ใช้น้ำตาลให้การปรุงอาหาร ก็อาจจะไม่เกิดรสชาติที่สมบูรณ์เท่าที่ควรจะเป็น วันนี้ Wongnai เราขอเสนอเมนูที่เรียกได้ว่า ถ้าขาดน้ำตาลไปก็เหมือนขาดใจ และยิ่งถ้าได้เติมความกลมกล่อมด้วยน้ำตาลอ้อยธรรมชาติ ก็จะยิ่งเพิ่มสีสัน และความหอมจากอ้อยธรรมชาติ ชูความอร่อยให้ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นไปอีก
- สามชั้นต้มซีอิ๊ว
- พะโล้ไข่ยางมะตูม
- กะเพราหมูสับพริกแห้ง
- บัวลอยไข่หวานกะทิ (ขอเปลี่ยนเมนูเป็นกล้วยบวชชีหรือบัวลอยค่า)
- ขนมปังเนยน้ำตาล
สามชั้นต้มซีอิ๊ว

วัตถุดิบ
- หมูสามชั้น 300 กรัม
- น้ำตาลทรายธรรมชาติ ตรามิตรผล 3 ช้อนโต๊ะ
- กระเทียม 3-5 กลีบ
- รากผักชี 2 ราก
- พริกไทย 10 กรัม
- ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
- ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
- คะน้า ตามชอบ
- น้ำเปล่า 800 มิลลิลิตร
วิธีทำ
1. โขลกพริกไทย รากผักชี และกระเทียมให้แหลก จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อย นำเครื่องที่โขลกลงไปผัดให้สุกหอม
2. ใส่ น้ำตาลทรายธรรมชาติ ตรามิตรผล ลงไปเคี่ยวให้เกิดเป็นคาราเมล จากนั้นเติมน้ำเปล่าลงไป ตามด้วยใส่หมูสามชั้นลงไปเคี่ยว
3. ปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำและซอสปรุงรส เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนหมูเปื่อยนุ่ม แล้วจัดเสิร์ฟเคียงคะน้าลวก
พะโล้ไข่ยางมะตูม

วัตถุดิบ
- หมูสามชั้น 300 กรัม
- น้ำตาลทรายธรรมชาติ ตรามิตรผล 3 ช้อนโต๊ะ
- เครื่องพะโล้ 1 ซอง
- เต้าหู้ 1 ก้อน
- ไข่ต้มยางมะตูม ตามชอบ
- ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
- ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
- น้ำเปล่า 1 ลิตร
- เกลือ 1 ช้อนชา
- โปยกั๊ก ตามชอบ
- อบเชย ตามชอบ
- กระเทียม 5-7 กลีบ
- พริกไทย 15 กรัม
- น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. โขลกพริกไทยและกระเทียม จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมัน นำเครื่องที่โขลกลงไปผัด ตามด้วยเครื่องพะโล้ โป๊ยกั๊ก และอบเชย ผัดจนหอม
2. ใส่ น้ำตาลทรายธรรมชาติ ตรามิตรผล ลงไปเคี่ยวให้ได้เป็นคาราเมล จากนั้นเติมน้ำสะอาดลงไป ตามด้วยหมูสามชั้น
3. ปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ๊วดำ และซอสปรุงรส แล้วเคี่ยวจนหมูเปื่อย ตามด้วยเต้าหู้และไข่ต้มยางมะตูมเมื่อทุกอย่างเข้ากันดี จัดเสิร์ฟ
กะเพราหมูสับพริกแห้ง

วัตถุดิบ
- หมูสับ 300 กรัม
- น้ำตาลทรายธรรมชาติ ตรามิตรผล 2 ช้อนโต๊ะ
- กระเทียมไทย 7-9 กลีบ
- พริกแห้ง 4-5 เม็ด
- พริกขี้ฟ้าแดง 2-3 เม็ด
- ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
- ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
- ซีอิ๊วดำ 1/2 ช้อนชา
- ใบกะเพรา ตามชอบ
- น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. โขลกพริกแห้ง พริกชี้ฟ้าแดง และกระเทียมให้แหลก จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันนำเครื่องที่โขลกลงไปผัด
2. ใส่หมูสับลงไปผัดพอเริ่มสุก จากนั้นปรุงรสด้วยซอสปรุงรส ซีอิ๊วดำ ซอสหอยนางรม และ น้ำตาลทรายธรรมชาติ ตรามิตรผล
3. ผัดส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน จากนั้นใส่ใบกะเพราลงไปผัด เมื่อใบกะเพราสุกจึงจัดเสิร์ฟ
บัวลอยไข่หวานกะทิ

วัตถุดิบ
- แป้งข้าวเหนียว 3 ถ้วย
- น้ำตาลทรายธรรมชาติ ตรามิตรผล 15 ช้อนโต๊ะ
- แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำเปล่า (ผสมแป้ง) 120 มิลลิลิตร
- สีผสมอาหาร (สีแดง,สีเหลือง,สีเขียว) สีละ 2 หยด
- กะทิ 500 มิลลิลิตร
- ไข่ไก่ 3 ฟอง
- เกลือ 1 ช้อนชา
- น้ำเปล่า (ผสมกะทิ) 250 มิลลิลิตร
- น้ำเปล่า (ต้มแป้งบัวลอย) 1,800 มิลลิลิตร
วิธีทำ
1. ผสมแป้งข้าวเหนียวกับแป้งมันให้เข้ากัน จากนั้นแบ่งเป็น 3 อ่างผสม ใส่สีผสมอาหารลงไปอ่างละ 1 สี ทยอยเติมน้ำสะอาดในแต่ละอ่าง แล้วนวดให้เข้ากันจนแป้งไม่ติดมือ แบ่งปั้นก้อนกลมเล็ก นำลงต้มในน้ำสะอาดจนสุกลอยแล้วตักขึ้น
2. ตั้งน้ำสะอาดให้เดือด ใส่ใบเตยลงไป ตามด้วย น้ำตาลทรายธรรมชาติ ตรามิตรผล จากนั้นวนน้ำเป็นวงกลม ใส่ไข่ไก่ลงไปลวกจนสุก แล้วตักขึ้น
3. ตั้งน้ำสะอาดให้เดือด ใส่ใบเตยลงไป จากนั้นใส่กะทิลงไป ปรุงรสด้วย น้ำตาลทรายธรรมชาติ ตรามิตรผล และเกลือ เมื่อกะทิได้ที่นำมาราดลงบนแป้งบัวลอยที่ลวกไว้ ตามด้วยไข่หวาน
ขนมปังเนยน้ำตาล

วัตถุดิบ
- ขนมปังสไลด์ 1 แถว
- น้ำตาลทรายธรรมชาติ ตรามิตรผล 8 ช้อนโต๊ะ
- เนยสด 300 กรัม
วิธีทำ
1. นำเนยสดปาดบนขนมปังสไลด์ จากนั้นย่างบนกระทะให้สุก
2. จากนั้นนำมาหั่นเป็นชิ้นตามต้องการ
3. โรยด้วย น้ำตาลทรายธรรมชาติ ตรามิตรผล เท่านี้ก็พร้อมเสิร์ฟ
มาใส่ใจสุขภาพ แบบไม่ต้องขาดน้ำตาล
ยิ่งในยุคนี้ที่เทรนด์การดูแลใส่ใจสุขภาพกำลังมา หนึ่งในวิธีที่นิยมใช้นั่นก็คือ การเปลี่ยนข้าวขาว เป็นข้าวกล้อง การลดเครื่องปรุง เน้นการปรุงที่น้อย เลือกวัตถุดิบที่สดใหม่ ผ่านกระบวนการแปรรูปน้อย อย่างน้ำตาลอ้อยธรรมชาติ ตรามิตรผล ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ 100 % ให้กลิ่นหอมจากอ้อยธรรมชาติ ช่วยเพิ่มสีสันให้กับจานอาหารอีกด้วย นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ก็อย่าลืมกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ
เมื่อพูดถึงน้ำตาล น้ำตาลที่อยู่คู่สังคมไทยมานาน แบรนด์แรกที่จะคิดถึงนั้นก็จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก “มิตรผล” แบรนด์น้ำตาลคุณภาพที่เชื่อใจได้ทั้งในเรื่องคุณภาพ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติ 100 % เรียกได้ว่าปลอดภัยแบบไม่ต้องกลัวสารเจือปนกันเลย ถ้าใครสนใจก็ก็สามารถหาซื้อได้ง่ายได้ตามห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปได้เลย

