ถึงมีเงินก็อย่าสะเออะ กฎหมายขี้เหยียด ห้ามไพร่กินหรูอยู่สบาย
  1. ถึงมีเงินก็อย่าสะเออะ กฎหมายขี้เหยียด ห้ามไพร่กินหรูอยู่สบาย

ถึงมีเงินก็อย่าสะเออะ กฎหมายขี้เหยียด ห้ามไพร่กินหรูอยู่สบาย

ขอต้อนรับเข้าสู่โลกของ Sumptuary Laws กฎหมายที่ไม่ได้มีไว้เพื่อควบคุมเศรษฐกิจ แต่มีไว้เพื่อปลอบประโลมจิตใจอันเปราะบางของชนชั้นสูง
writerProfile
21 พ.ย. 2025 · โดย

ในยุคปัจจุบัน หากคุณถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง คุณสามารถเดินเข้าไปในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ สั่งคาเวียร์มากินเล่นคู่กับไวน์ขวดละแสนได้โดยไม่มีใครว่า (ตราบเท่าที่คุณจ่ายไหว) แต่หากคุณทำเช่นนั้นในยุโรปยุคกลางหรือยุคเรอเนซองส์ การกระทำของคุณจะไม่ใช่แค่ความ “อู้ฟู่” แต่คือ “กบฏ” !

ขอต้อนรับเข้าสู่โลกของ Sumptuary Laws กฎหมายที่ไม่ได้มีไว้เพื่อควบคุมเศรษฐกิจ แต่มีไว้เพื่อปลอบประโลมจิตใจอันเปราะบางของชนชั้นสูง ที่กลัวว่าคนรวยหน้าใหม่จะแต่งตัวดีและกินดีกว่าตนเอง

1. คุณกิน (ตามที่กฎหมายอนุญาต)

วาทกรรม "You are what you eat" ในอดีตนั้นมีความหมายตรงตัวอย่างน่าสะพรึงกลัว รัฐไม่ได้มองว่าอาหารคือโภชนาการ แต่มองเป็น "เครื่องหมายที่แสดงถึงยศ"

ภายใต้กฎหมาย Sumptuary Laws สรีรวิทยาของมนุษย์ถูกบิดเบือนด้วยอคติทางชนชั้น มีความเชื่อเหยียด ๆ (ที่แสร้งทำเป็นวิชาการในยุคนั้น) ว่ากระเพาะของชาวนาถูกสร้างมาให้ย่อยของหยาบ ๆ เช่น หัวผักกาดหรือขนมปังดำ หากริอ่านไปกินไวน์ชั้นเลิศหรือเนื้อสัตว์หายาก ร่างกายจะรับไม่ไหวและป่วยไข้

ช่างเป็นความห่วงใยที่น่าประทับใจจริง ๆ หากไม่ติดที่ว่าความจริงแล้วกฎหมายนี้มีไว้เพื่อกันไม่ให้พ่อค้าเศรษฐีใหม่ (Bourgeoisie) ที่เริ่มรวยขึ้นมาจากการค้าขาย จัดงานเลี้ยงที่หรูหรา "ข่ม" ขุนนางเก่าที่กำลังถังแตก

2. เมนูแห่งความเหลื่อมล้ำ

ความตลกร้ายของกฎหมายนี้คือความ "จุกจิก" ระดับ Micro-management ตัวอย่างเช่น ในรัชสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษ มีการตรากฎหมายในปี 1336 ที่ระบุชัดเจนว่า

"ห้ามมิให้ผู้ใด (ที่ต่ำศักดิ์กว่าอัศวิน) รับประทานอาหารเกิน 2 คอร์สต่อมื้อ และในแต่ละคอร์สจะมีซุปได้เพียง 2 ชนิดเท่านั้น"

ลองจินตนาการถึงตำรวจยุคกลางที่บุกเข้ามาในบ้านคุณ พร้อมตักตวงซุปในหม้อเพื่อเช็คว่า "นี่มันซุปชนิดที่ 3 นี่นา! จับมันไปขังคุก!" มันเหมือนจะฮาและดูไร้สาระในสายตาคนปัจจุบัน แต่ในยุคนั้น การมีซุป 3 ชนิดบนโต๊ะของสามัญชน ถือเป็นการสั่นคลอนความมั่นคงของชาติเลยทีเดียว

เพราะถ้าพ่อค้ากินเหมือนดยุค แต่งตัวเหมือนดยุค แล้วดยุคจะเหลืออะไรให้ภูมิใจนอกจากสายเลือดที่กินไม่ได้? การกินเกินหน้าเกินตา จึงเป็นการทำลาย "อัตลักษณ์" ของชนชั้นสูงโดยตรง นั่นเอง

3. ศีลธรรมเรื่อง "บาปแห่งความตะกละ"

เมื่อเหตุผลเรื่องความมั่นคงทางสังคมดูเห็นแก่ตัวเกินไป รัฐจึงมักหยิบยกเหตุผลทางศาสนามาบังหน้า โดยอ้างว่ากฎหมายนี้มีไว้เพื่อขัดเกลาจิตใจประชาชนให้พ้นจาก "บาปแห่งความตะกละ" (Gluttony)

การห้ามกินนกยูง หงส์ หรือเครื่องเทศราคาแพง จึงถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษห่อของขวัญสวย ๆ ที่ชื่อว่า "ความพอเพียง" (Moderation) แต่เป็นความพอเพียงแบบเลือกปฏิบัติ เพราะในขณะที่พระเจ้าและกฎหมายห้ามไม่ให้ไพร่กินเกินอิ่ม แต่โต๊ะเสวยของกษัตริย์และงานเลี้ยงของบิชอปกลับเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ที่กองพะเนินจนล้นโต๊ะ

นัยสำคัญคือ "บาปของคุณคือบาป แต่บาปของฉันคืออภิสิทธิ์" การกินทิ้งกินขว้างของชนชั้นสูงถูกตีความว่าเป็นการแสดงบารมี (Magnificence) แต่การกินดีอยู่ดีของคนชั้นล่างคือความสุรุ่ยสุร่าย (Extravagance)

4. ราคาที่ต้องจ่ายทำผิดกฎ

แล้วถ้าพ่อค้าผู้มั่งคั่งเกิดหน้ามืดตามัว แอบจัดปาร์ตี้เปิปพิสดารเมนูต้องห้ามล่ะ? รัฐจะจัดการอย่างไร? แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้แค่ส่งใบสั่งปรับไปที่บ้านเพียงอย่างเดียว ศาลสตาเชมเบอร์ (Star Chamber) ในอังกฤษ ในยุคทิวเดอร์ บอกว่า หากคุณฝ่าฝืนกฎหมาย Sumptuary Laws อย่างโจ่งแจ้ง คุณอาจถูกลากขึ้นศาลพิเศษนี้ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความโหดและไม่มีลูกขุน บทลงโทษมีตั้งแต่

4.1 ค่าปรับระดับล้มละลาย ค่าปรับไม่ได้คิดตามราคาสินค้า แต่คิดตาม "ความโอหัง" ของคุณ ยิ่งคุณรวยมาก ค่าปรับยิ่งสูงจนคุณอาจหมดตัว เพื่อเตะตัดขาให้คุณกลับไปจนเหมือนเดิม

4.2 การประจาน (Public Shaming) การถูกจับขังคุกอาจดูเท่เกินไปสำหรับบางคน รัฐจึงมักใช้วิธีบังคับให้ผู้กระทำผิดมายืนประจานตนเองที่จัตุรัสกลางเมือง พร้อมประกาศว่าตนเองเป็นคนตะกละที่ "ไม่เจียมกะลาหัว"

4.3 ยึดทรัพย์และตัดสิทธิ์ อาหารหรูมื้อนั้นอาจแลกมาด้วยการถูกยึดใบอนุญาตทำการค้า หรือถูกถอดถอนสิทธิ์ทางสังคม ทำให้กลายเป็นคนนอกคอกเลยก็เป็นได้

5. มรดกตกทอดสู่ปัจจุบัน

แม้กฎหมาย Sumptuary Laws จะถูกยกเลิกไปแล้วในทางนิตินัย แต่ "วิญญาณ" ของมันยังคงวนเวียนอยู่ในสังคมปัจจุบัน ในรูปแบบของ Taste Shaming หรือการเหยียดรสนิยม

เราอาจไม่มีกฎหมายห้ามคนรวยหน้าใหม่ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมหรือกินโอมากาเสะราคาแพง แต่เรามักจะได้ยินเสียงค่อนขอดจาก "ผู้ดีเก่า" หรือ "ผู้มีรสนิยม" ว่าคนอื่น ๆ นั้น "ไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย”

ท้ายที่สุดแล้ว ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า การพยายามควบคุมการกินของมนุษย์ ไม่เคยเป็นเรื่องของอาหาร แต่มันคือเรื่องของ อำนาจเสมอมา กฎหมายอาจเปลี่ยนไป แต่ความพยายามที่จะบอกว่า "ฉันสูงส่งกว่าเธอเพราะสิ่งที่ฉันกิน" นั้น ดูเหมือนจะไม่เคยจางหายไปจากสันดานดิบของมนุษย์เลย

ปล.บทความนี้เป็นงานเขียนเชิงสร้างสรรค์ที่เรียบเรียงขึ้นใหม่โดยอิงจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกฎหมาย Sumptuary Laws

#Wongnai #WongnaiStory